บทที่ 262 งานเลี้ยง (4)
“ศาลาแดงหรือ หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ที่นี่มีคุณหนูที่อายุน้อยและเลอโฉมของตระกูลซั่งหยางอยู่มากมาย หลังท่านเข้าไป ด้านในจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบปิดโดยสมบูรณ์ ท่านสามารถลิ้มลองเด็กสาวทุกคนที่ท่านเจอได้ ไม่ว่าพวกนางจะมีสถานะอะไร อยู่ในสภาพไหน ท่านจะทำอะไรก็ได้” เพ่ยเพ่ยกล่าวพลางยิ้มบาง “ไม่ว่าจะเป็นฮูหยิน คุณหนู หญิงรับใช้ แม่ครัว พี่น้อง หรือบุตรีที่อยู่ด้านใน ท่านเลือกได้ตามใจ เวลาคือหนึ่งคืน”
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พวกนางล้วนเป็นคนของตระกูลซั่งหยางใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ล้วนเป็นผู้กระทำความผิดในอดีตของตระกูล หลังทำผิดพลาดก็จำเป็นต้องรับการลงทัณฑ์ ถ้าท่านทำให้พวกนางตั้งครรภ์ได้ จะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ที่พวกนางจะได้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์” เพ่ยเพ่ยยิ้มอ่อนขณะกล่าววาจาโหดร้าย “หอแดงแห่งนี้เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ ทุกคนที่จะเจอด้านในล้วนเป็นอิสตรี อีกทั้งยังมีรูปโฉมไม่เลว พวกนางใช้ชีวิตอย่างราบเรียบธรรมตอนที่ไม่มีใครเข้าไป มีแต่ช่วงเวลาพิเศษจึงจะได้รับการเตือนความทรงจำเกี่ยวกับศาลาแดง แบบนี้จะหลอมรวมเข้ากับชีวิตได้กว่าเดิม ท่านจะต้องชอบแน่”
นี่เป็นโถงสวรรค์อย่างแท้จริง
ทว่าพอลู่เซิ่งนึกถึงว่าศาลาแดงนี้ต้องไม่ได้ต้อนรับเขาแค่คนเดียวเด็ดขาด ก็รู้สึกรังเกียจ หนำซ้ำตระกูลซั่งหยางจะต้องไม่ได้มีแค่ที่แบบนี้ที่เดียวแน่
“ขอเปลี่ยนเป็นค่าชดเชยได้ไหม” เขาถามเสียงทุ้ม
“น่าเสียดายยิ่ง…” เพ่ยเพ่ยส่ายหน้าอย่างอับจน “แต่ถ้าท่านไม่ต้องการ ก็ไปตรงกลางศาลาแดงก็ได้ ตรงนั้นมีโอสถชั้นเลิศสำหรับส่งเสริมร่างกาย ต่อให้ไม่สนใจสิ่งอื่น แต่ตัวยานี้ก็มีส่วนช่วยท่านอย่างมหาศาล”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ลู่เซิ่งก็ประหลาดใจอยู่บ้างว่าศาลาแดงนี้เป็นแบบไหนกันแน่ ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เพ่ยเพ่ยพาลู่เซิ่งมาถึงด้านหน้าถ้ำใต้เนินเขาแห่งหนึ่งที่ในส่วนลึกของป่าไผ่ สนทนาเบาๆ กับองครักษ์สองสามประโยค จากนั้นก็นำเขาเข้าไปในถ้ำ ก่อนจะลัดเลาะตามบันไดหินไปยังส่วนลึกใต้ดิน
นางเหมือนมองความคิดของลู่เซิ่งออกแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกมากเกินไป ความจริงแล้วสตรีที่อยู่ที่นี่ถูกเปลี่ยนความทรงจำมาทั้งนั้น พวกนางคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ในประเทศของสตรี และไม่ต้องบำรุงก็มีความงดงามตามธรรมชาติ มีแต่ตอนที่ท่านเข้าไปและได้พบพวกนาง พอพวกนางได้ยินคำสั่งของท่าน ความทรงจำที่เกี่ยวข้องก็จะฟื้นขึ้นมา ทั้งนี้นอกจากศาลาแดงก็ย่อมมีศาลากล้วยไม้ซึ่งอยู่ตรงข้าม ถ้าท่านมีความสนใจต่อสหายต่างเพศ ถ้าหากให้ความสำคัญกับครอบครัว การเปิดศาลากล้วยไม้ให้ผู้เข้มแข็งเพศหญิงก็เป็นเรื่องที่สมควร”
“ตระกูลอื่นๆ เล่า ล้วนมีโครงสร้างคล้ายกันหรือ”
ลู่เซิ่งอดถามไม่ได้
“นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล พวกเรายังดี เพียงแค่คัดเลือกภายใน แต่ก็มีอยู่สองสามตระกูลที่ต่างออกไป ว่ากันว่ายังมีการสร้างเมืองใต้ดินแห่งหนึ่งที่ชื่อเมืองสุขาวดี เอาไว้เป็นสถานที่สำหรับสืบพันธุ์โดยเฉพาะ” เพ่ยเพ่ยถอนใจพร้อมกล่าวชมเชย “ยากจะจินตนาการถึงภาพอันอลังการแบบนั้นจริงๆ”
ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่าทำไมเก้าตระกูลแห่งจงหยวนจึงมีคนมากกว่าตระกูลขุนนางตระกูลอื่น
วิธีการที่เลี้ยงคนในตระกูลตนเองเหมือนสุกรหรือเนื้อนี้ ไม่อาจบรรยายด้วยความว่าโหดเหี้ยมได้แล้ว หากเป็นคำว่าวิปริต
เพื่อให้กำเนิดคนที่โดดเด่นซึ่งมีสายเลือดของตัวเอง ผู้มีอำนาจในตระกูลขุนนางเหล่านี้ได้ใช้ทุกวิถีทาง ทำได้ทุกอย่าง
ส่วนจะเป็นคนในตระกูลจริงๆ หรือไม่ ผู้ใดทราบเล่า บางทีอาจเป็นคนธรรมดาที่ถูกรังสีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยิงใส่ก็ได้ บางทีอาจเป็นเชลยเลอโฉมที่จับมาก็ได้ แต่ขอแค่ให้กำเนิดทายาทได้ ก็จะถูกรับเข้าตระกูลขุนนาง แค่คิดก็เห็นถึงความบิดเบี้ยวของจิตใจกับระดับความผิดปกติแล้ว
ลู่เซิ่งเพิ่งสัมผัสความโหดเหี้ยมไร้น้ำใจของโลกใบนี้ในระดับที่ลึกขึ้นเป็นครั้งแรก
เขาหวนนึกถึงสตรีอย่างซั่งหยางจิ่วหลี่กับซั่งหยางเฟย พวกนางคงไม่ได้เกิดมาแบบนี้แน่ เก้าตระกูลจงหยวนจะต้องมีระบบการสืบพันธุ์ที่แยกย่อยไปอีกแบบหนึ่งสำหรับใช้ในระดับปกครอง
‘หมายความว่ามีระดับสองระดับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงดำรงอยู่ในเก้าตระกูลจงหยวน’ ลู่เซิ่งเข้าใจเลาๆ แล้ว
เขาติดตามเพ่ยเพ่ยไปด้านหน้า ไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าประตูหินสีดำอันหนักอึ้งที่ส่วนลึกของถ้ำ
“มิใช่บุปผา มิใช่ใบไม้ มิใช่บึงใส เป็นอารมณ์ เป็นจิตใจ เป็นชายฝั่ง” นางท่องคำพูดประโยคหนึ่งอย่างแผ่วเบา
ประตูหินค่อยๆ สั่นไหว แสงอ่อนจางสายหนึ่งแวบผ่าน จากนั้นเกิดเสียงตุ๋มเสนาะหู
เพ่ยเพ่ยยื่นมือไปผลักเบาๆ ประตูหินแง้มออกอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นคฤหาสน์ที่สว่างไสวและกว้างขวางอยู่ภายใน
เสาทำจากไม้แดง มีทั้งสีดำสนิทและสีแดง พื้นปูอิฐศิลาพื้นเรียบสีดำอ่อน ด้านในคฤหาสน์มีผู้คนเดินขวักไขว่ มองไปด้านในเป็นสตรีที่รูปร่างหน้าตาไม่เลวทั้งหมด
ในนี้ไม่มีคนอายุมาก ที่แก่ที่สุดดูเหมือนจะอายุสามสิบกว่าปี สตรีทุกคนมีผิวพรรณเนียนนุ่ม พวกนางกระทำเรื่องของตัวเองคล้ายไม่เห็นลู่เซิ่งกับเพ่ยเพ่ยที่เดินออกมาจากประตูหินโดยสิ้นเชิง
“คฤหาสน์หลังนี้ก็คือศาลาแดง พวกนางมองไม่เห็นพวกเรา มีแต่ตอนที่ท่านสัมผัสพวกนางในความเป็นจริง จึงจะเกิดการกระตุ้นความทรงจำ แล้วเห็นการดำรงอยู่ของพวกเรา” เพ่ยเพ่ยอธิบาย “ที่นี่ต้องเก็บเป็นความลับอย่างเด็ดขาด จะให้มีใครมาตรวจสอบไม่ได้ รอบๆ มีบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ห้าบ่อ พลังรังสีที่ปล่อยออกมาตามธรรมชาติห่อหุ้มที่นี่เอาไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้เป็นผู้ถืออาวุธก็รบกวนพวกเราตระกูลซั่งหยางด้วยการแอบมองที่นี่ไม่ได้ ท่านไม่ต้องกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยใดๆ”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ของอยู่ที่ไหน”
“อยู่ตรงกลางคฤหาสน์แห่งนี้ จริงสิ ถ้าหากเริ่มเสพสุขกับศาลาแดง จะต้องรอผ่านไปหนึ่งคืนถึงจะออกมาได้ ขอให้ท่านจำไว้ด้วย” เพ่ยเพ่ยกำชับ
ที่นี่คือซ่องอย่างสมบูรณ์แบบแท้ๆ ลู่เซิ่งส่ายหน้า เขาไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย อันตรายกำลังมาถึง เขาไม่มีอารมณ์ลุ่มหลงกับการละเล่นประเภทนี้
“เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าไปครู่เดียวก็กลับ”
ไม่รอเพ่ยเพ่ยเอ่ยตอบ ลู่เซิ่งก็ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง กระโจนตัวขึ้นไปกลางอากาศอย่างแผ่วพลิ้ว ข้ามกำแพงคฤหาสน์หลายแห่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนภูเขาจำลองตรงกลางคฤหาสน์อย่างแผ่วเบา
ถุงใบหนึ่งแขวนอยู่บนภูเขาจำลอง คล้ายมีของบรรจุอยู่มากมายจนตุง
ลู่เซิ่งมองสัญลักษณ์รอบๆ แล้วหยิบมัน หมุนตัวกระโจนกลับมา
เพ่ยเพ่ยมองเขากระโดดไปมาด้วยสายตาประหลาด คล้ายกับนึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษเพศจะยังมีคนปฏิเสธความยั่วยวนในระดับนี้ได้ ในศาลาแดงแห่งนี้โฉมสะคราญหลากหลายรูปแบบที่มีรูปร่างหน้าตาและอายุแตกต่างกัน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจความยั่วยวนระดับนี้
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งไม่รอนางพูด ก็หมุนตัวกลับไปทางประตูหิน
ซั่งหยางเพ่ยเพ่ยชะงัก คล้ายนึกอะไรออก ก่อนหน้านี้นางเคยต้อนรับแขกแบบนี้มาก่อน พวกเขามีความต้องการในการครอบครองสูงสุดขีด ไม่ชอบของที่คนอื่นเคยใช้แล้ว
จะรับมือกับแขกแบบนี้ ต้องใช้วิธีการอีกอย่างหนึ่ง
นางนึกขึ้นได้ว่ามารดารองของตนมีน้องสาวคนหนึ่งซึ่งได้กระทำความผิดพลาดใหญ่หลวง นี่อาจเป็นโอกาส…แนะนำให้คุณชายลู่เซิ่งผู้นี้ได้
ทั้งสองกลับขึ้นไปบนพื้นดินอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพัก
“ข้าเข้าใจความคิดของคุณชายลู่แล้ว” เพ่ยเพ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านไม่สนใจศาลาแดง อย่างนั้นวันนี้ก็ไป…”
“เจ้าคือลู่เซิ่งหรือ” ขณะที่ทั้งสองคุยกันอยู่ ก็มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกถ้ำไกลๆ คล้ายเป็นบุรุษคนหนึ่ง
อีกฝ่ายรีบเข้ามา พวกลู่เซิ่งค่อยเห็นหน้าตาของพวกเขา
บุรุษหล่อเหลาหน้าผากเถิกและสองตาล้ำลึกมีประกายคนหนึ่งเดินอยู่ด้านหน้าสุด ด้านหลังเขาคือคุณชายอายุน้อยที่กำลังโบกพัดจีบ ทั้งยังมีบุคลิกสง่างามหลายคน
“ที่แท้คือคุณชายคุนอวิ๋น” เพ่ยเพ่ยย่อเข่าคำนับด้วยรอยยิ้ม
“เพ่ยเพ่ยนี่เอง เจ้าพาใครมาศาลาแดงอีกแล้ว” ซั่งหยางคุนอวิ๋นคุยกับเพ่ยเพ่ย แต่สายตาไม่ได้ละจากตัวลู่เซิ่งสักวินาทีเดียว
นับตั้งแต่ข่าวที่ซั่งหยางรั่วเกือบจะได้แต่งงานกับลู่เซิ่งกระจายออกไป เขาก็กลายเป็นตัวตลก
ที่ทุกคนในแวดวงรู้จัก
สหายหลายคนที่เป็นลูกของขุนนางตุลาการพู่กันเหล็กเหมือนกัน ต่างล้อเขาว่านี่มันเป็นการแย่งสตรี ซั่งหยางคุนอวิ๋นฝืนข่มความโกรธ ทั้งยังรู้สึกอัปยศเหลือแสน ตาของซั่งหยางรั่วคิดว่าเขาเทียบกับคนหยาบที่มาจากแดนเหนือไม่ได้ นี่มันมีเหตุผลตรงไหนกัน!
เขาอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองโดดเด่นกว่าอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด วิธีการเพียงหนึ่งเดียวคือตามหาตัวลู่เซิ่ง แล้วบดขยี้อีกฝ่ายซึ่งหน้า
แม้ตัวเองมีพลังไม่เพียงพอ อย่างนั้นก็หาคนที่แข็งแกร่งพอมา ชาติกำเนิดก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังไม่ใช่หรือ
ดังนั้นพอได้ข่าวว่าลู่เซิ่งมายังหอปัญญา เขาก็รีบนำคนเร่งรุดมาสอบถามไปทั่ว ในที่สุดก็ขวางลู่เซิ่งที่เพิ่งออกมาจากทางเข้าศาลาแดงได้
“ท่านคือ…?” ลู่เซิ่งไม่รู้จักอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
ซั่งหยางคุนอวิ๋นทำหน้าเรียบเฉย “ข้าคือซั่งหยางคุนอวิ๋น เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง”
“ซั่งหยางคุนอวิ๋นหรือ” ลู่เซิ่งทำหน้างุนงง “พวกเราไม่เคยพบกันมาก่อนกระมัง” อีกฝ่ายทำท่าทางดุร้าย เขาเลยกำลังคิดอยู่ว่าตัวเองไปล่วงเกินอีกฝ่ายตรงไหน
พอเขาพูดแบบนี้ออกไป ก็เห็นใบหน้าของซั่งหยางคุนอวิ๋นที่อยู่ด้านตรงข้าม แดงก่ำขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกอับอายแทบตาย
“คนแบบเจ้าไม่คู่ควรกับรั่วรั่วหรอก ข้าขอเตือนให้เจ้าตัดใจไปเร็วๆ เสีย! ถึงกับให้คุณหนูจิ่วหลี่ออกหน้าขอร้องไห้ คนหน้าไม่อายอย่างเจ้า ข้าซั่งหยางคุนอวิ๋นเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต!” ซั่งหยางคุนอวิ๋นกล่าวเสียงคับแค้นพลางกำสองหมัดแน่น ดวงตาที่มองลู่เซิ่งแทบจะมีไฟพวยพุ่งออกมา
“รั่วรั่วหรือ” ลู่เซิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก “ใครกัน ข้าว่าท่านจำคนผิดแล้วกระมัง” เขาตอบกลับอย่างมีมารยาท
“เจ้า!” ซั่งหยางคุนอวิ๋นโกรธแค้นกว่าเดิม มาถึงขั้นนี้แล้ว คนผู้นี้ยังคงเสแสร้งอยู่อีก
“อาหวัง!” เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงตะโกนขึ้นอย่างฉับพลัน
เงาคนสายหนึ่งปรากฏวาบขึ้นในความมืดมิด แล้วโจมตีใส่ด้านหลังลู่เซิ่งอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียง
เงาคนร่างนั้นนึกสะท้อนใจ ถ้าหากนายน้อยไม่ได้เรียกชื่อเขาตรงๆ อานุภาพในครั้งนี้อาจเพิ่มขึ้นหลายเท่า น่าเสียดาย…
ทว่าแม้อานุภาพจะลดลง แต่สมควรรับมือกับคู่ต่อสู้จากสำนักในระดับเบญจลักษณ์ได้แล้ว
ฟิ้ว
ฝ่ามือแห้งผากของเขากลับไถลลงล่างอย่างน่าประหลาด แล้วฟาดใส่ความว่างเปล่าในอากาศ
เขาเบิกตาโพลง ยังไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา แถมเขายังฟาดฝ่ามือตัวเองใส่กลางหลังอีกฝ่ายตรงๆ ทว่าเมื่อครู่กลับลื่นไถลโดยอธิบายไม่ได้ ก่อนจะฟาดใส่ความว่างเปล่า
‘อีกครั้ง!’ เขาโคจรวิชาลับด้วยความเร็วสูง พร้อมกับฟันสองมือในมุมที่คาดคิดไม่ถึงใส่กลางหลังลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
โดน!
ครั้งนี้ฟันโดนแล้ว แต่กระนั้นลู่เซิ่งกลับเหมือนเงาลวงตา อีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่หลังจากเขาโจมตีโดนแล้ว กลับไม่ให้ความรู้สึกจับต้องได้แม้แต่น้อย
‘นี่มัน’ อาหวังแตกตื่น ผลักสองแขนและสองขาออกไป พริบตาเดียวก็โจมตีออกไปแล้วหลายสิบครั้ง และทุกครั้งก็ฟาดโดนตัวลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้า
ด้านในป่าไผ่
“อาหวัง! อาหวัง!?” ซั่งหยางคุนอวิ๋นร้องตะโกนอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งหันหน้าไปมองชายชราชุดดำที่ต่อยตีไผ่ต้นหนึ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านหลัง
“ข้าว่าท่านควรพาเขาไปหาหมอ” เขาชี้ศีรษะของตัวเอง “ตรงนี้ของเขาอาจจะมีปัญหา”
ซั่งหยางจิ่วหลี่อับอายแทบบ้า ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง
แต่ว่าอาหวังกำลังต่อยตีไผ่ต้นหนึ่งอย่างคลุ้มคลั่งเหมือนโดนของ ลู่เซิ่งที่เป็นเป้าหมายอยู่ข้างๆ กระนั้นเขากลับมองไม่เห็น
“พวกเราไปกันเถอะ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เพียงแค่ปล่อยสนามพลังรบกวนจิตใจของอสรพิษริษยาออกมาเพียงเล็กน้อย แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีประสิทธิภาพแข็งแกร่งขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดตรงนี้ออกไป
……………………………………….