บทที่ 263 สถานการณ์ (1)
“หยุดนะ!” ซั่งหยางคุนอวิ๋นตะโกนอย่างโมโห
แต่ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจเขา เป็นแค่คุณชายไม่กี่คน เมื่อครู่แค่พูดไปสองสามประโยคก็รู้สึกเสียเวลาแล้ว
หลังจากฝึกฝนร่างมารอัคคีแค้นสำเร็จ เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากายเนื้อของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ความร้อนและเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงนั้นทำให้เขารู้ว่า เขาในวันนี้ก้าวข้ามจากสภาพผู้ทำลายล้างซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อก่อนหน้าไปถึงขอบเขตใหม่แล้ว
นี่ยังแค่ฝึกฝนร่างมารเพิ่มร่างเดียว ทั้งยังเหลือร่างมารอีกหกร่าง ถ้าหากว่าฝึกฝนสำเร็จทั้งหมด ไม่รู้ว่าพลังจะเพิ่มขึ้นถึงขั้นไหนในตอนสุดท้าย
เขาคาดหวังยิ่ง
ซั่งหยางเพ่ยเพ่ยมองพวกคุนอวิ๋นอย่างเห็นใจ นางได้ยินเรื่องของซั่งหยางรั่วกับซั่งหยางคุนอวิ๋นมาก่อนแล้ว คุณชายจากตระกูลย่อยผู้นี้ตกหลุมรักคุณหนูซั่งหยางรั่วมานาน กลับนึกไม่ถึงว่าผู้เป็นตาหรือผู้อาวุโสในครอบครัวฝ่ายหญิงกลับไม่ชอบเขา แต่เลือกลู่เซิ่งคุณชายลู่ที่มีศักยภาพแทน
ถึงแม้สุดท้ายจะไม่สำเร็จเพราะตัวซั่งหยางรั่วขัดขวางเอง แต่เรื่องนี้นับว่าบุรุษสองคนสร้างความแค้นต่อกันแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คนนึกไม่ถึงก็คือ ลู่เซิ่งจำไม่ได้แม้แต่ซั่งหยางรั่ว ลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
“กลับมาเดี๋ยวนี้!” ซั่งหยางคุนอวิ๋นถูกสหายฉุดดึงตัวไว้ แม้ปากจะตะโกนอย่างไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็สู้แรงคนมากไม่ไหว ท้ายที่สุดลู่เซิ่งก็ออกจากป่าไผ่ไปอย่างเชื่องช้า โดยที่ซั่งหยางคุนอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังทำอะไรไม่ได้
เขาเปิดถุงที่ได้มาออก ด้านในบรรจุขวดเล็กๆ และถุงหนังจำนวนไม่น้อย ด้านบนติดคำเรียกชื่อตัวยาแต่ละชนิดไว้ ส่วนใหญ่ในนี้เอาไว้เสริมพลังหยาง ที่เหลือเป็นของบำรุงที่เอาไว้เสริมการขาดสมดุลของร่างกาย
เพ่ยเพ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มขึ้นที่ด้านข้าง
“น่าเสียดายที่คุณชายลู่ไม่ได้ลองฤทธิ์ยาในศาลาแดง…” นางใช้หน้าอกเสียดสีกับศอกของลู่เซิ่ง “ไม่อย่างนั้นให้เพ่ยเพ่ยช่วยคุณชายทดลองอานุภาพของผงยาเหล่านี้ที่นี่ดีหรือไม่” เสียงของนางอ่อนโยนไร้เรี่ยวแรง ตางามดั่งผ้าไหม แทบจะแนบตัวติดร่างลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งจะทดลองผงยาที่มีความเป็นมาไม่แน่นอนนี้ได้อย่างไร นอกเสียจากว่าตัวเขาควบคุมการกลั่นด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางใช้ร่างกายตัวเองทดลองยาที่มาจากภายนอกเหล่านี้มั่วซั่ว
“ช่างเถอะ จริงด้วย งานชุมนุมที่เจ้าพูดถึงเล่า” ลู่เซิ่งไม่สนใจสตรีที่เห็นได้ชัดว่าเข้าสังคมเก่งประเภทนี้แม้แต่น้อย
“เจ้าค่ะ…งานชุมนุมอยู่นอกป่าไผ่ ใกล้กับหอคอย ด้านข้างมี…”
อยู่ๆ เพ่ยเพ่ยก็หยุดพูด สายตามองไปยังทิศทางของศาลาแดงที่อยู่ไกลๆ อย่างงุนงงอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งหันไปดู กลับพบว่าตอนนี้ศาลาแดงที่เพิ่งสงบเงียบ มีเปลวเพลิงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า ควันสีดำกับความร้อนที่เกิดจากไฟแผ่ลามไปรอบๆ อย่างช้าๆ
ทั้งยังได้ยินเสียงแตกปะทุดังเปรี๊ยะๆ อย่างแผ่วเบาจากที่ไกลๆ
“ไฟไหม้หรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย
…
หลี่ซุ่นซีกระชับหน้ากากปีศาจกระทิงบนศีรษะ ขณะพาคนที่เพิ่งช่วยออกมาจากศาลาแดงเดินออกจากถ้ำ พร้อมกับซุนเมิ่งที่มีฉายาว่าไฟราตรีอย่างเงียบๆ
สิ่งที่บังเอิญก็คือ ยอดฝีมือสองคนที่เฝ้าประตู ผละจากไปเพราะเรื่องอื่น ไม่สังเกตเห็นคนที่เดินออกมาจากด้านใน
เปลวเพลิงที่ถูกจุด ย้อมท้องฟ้ายามราตรีสีดำสนิทไปมากกว่าครึ่ง เสียงขอให้ช่วยดับไฟอันสับสนดังมาแต่ไกล
หลี่ซุ่นซีมองไฟด้านล่าง พลางระบายลมหายใจเบาๆ
“ดีที่ทางอิ๋นจื่อทำสำเร็จ ไฟสามกำเนิดนี้ไม่อาจใช้น้ำธรรมดาดับได้ อีกความรุนแรงแบบนี้ก็ยากจะควบคุมได้เหมือนกัน แต่ว่าหนึ่งในเก้าตระกูลอย่างตระกูลซั่งหยางมีพลังเต็มเปี่ยม จะวัดด้วยหลักการทั่วๆ ไปไม่ได้เด็ดขาด พวกเราต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด”
ซุนเมิ่งพยักหน้า เวลานี้ยอดฝีมือผู้โหดเหี้ยมที่ถูกหลี่ซุ่นซีลักพาตัวออกมาจากตระกูลผู้นี้ ไม่มีความดุร้ายเหมือนที่เจอในตอนแรกอีกแล้ว เป็นแค่คนหนุ่มผู้เป็นโรคหมกมุ่นธรรมดา
ต่อให้เขามีพรสวรรค์เหนือใคร แต่พอได้พบเจอกับหลี่ซุ่นซี ที่เขาถือว่าเป็นสหายอย่างแท้จริง ก็ยังยินยอมเข้าร่วมในความวุ่นวายนี้
ทั้งสองบุกเข้าศาลาแดงในสวนปัญญาของตระกูลซั่งหยาง เพียงเพื่อช่วยเหลือเหลียนจีเด็กสาวที่รู้จักกันไม่นานและประสบเรื่องราวที่น่าเศร้า
ตอนนี้พอหลี่ซุ่นซีนึกถึง ก็หวาดกลัวอยู่บ้าง ยามอยู่ด้านในศาลาแดงหากไม่ระวังนิดเดียว จะถูกผู้เฝ้าดูค้นพบ พลังรังสีของบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์สี่แห่งที่โอบล้อมอยู่นั้น ไม่ใช่ของที่จะล้อเล่นด้วยได้
“ยังดีที่ตอนนี้ออกมาได้แล้ว พวกเราจะจากไปทันที ทางอิ๋นจื่อพวกเรามีวิธีแจ้งข่าวอยู่ ไปเถอะ”
“พี่ใหญ่หลี่ จริงๆ…จริงๆ พวกท่านไม่ต้องสนใจข้าก็ได้…นี่เป็นชีวิตของข้า” เหลียนจีทำหน้าเศร้าสร้อยน่าสงสาร
“พวกเราเป็นสหาย ในเมื่อเป็นสหาย ก็ไม่ควรมองเจ้าตกสู่เหวลึกอยู่เฉยๆ”
หลี่ซุ่นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพาคนทั้งสองหลบขุมกำลังป้องกันของตระกูลซั่งหยางที่ทยอยกันออกมา โดยอาศัยการทำนายของหยกลี้ลับ
เหลียนจีซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อ พูดอะไรไม่ออก แต่ซุนเมิ่งที่เห็นภาพนี้อยู่ด้านข้างกลับเม้มปาก
ตอนนั้นหลี่ซุ่นซีก็หลอกเขาแบบนี้เช่นกัน
ทั้งสามมีความเร็วอย่างน่าประหลาด ไม่นานก็ออกจากป่าไผ่ เข้าสู่อาณาเขตเนินเขา จากนั้นก็ผ่านปากถ้ำที่ขนาดแตกต่างกันหลายแห่ง ในที่สุดเงาร่างของแขกเหรื่อจำนวนมากของตระกูลซั่งหยางก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า การซ่อนกลิ่นอายด้วยความสามารถของหยกลี้ลับ เพื่อเข้าไปปะปนกับแขกก็แค่ความสามารถพื้นฐาน ขอแค่เข้าไปอยู่ท่ามกลางแขกได้ ก็จะปลอดภัยขึ้นมาก
ทั้งสามซ่อนตัวพร้อมพุ่งไปยังหอที่แขกเหรื่ออยู่
ระยะห่างยิ่งมายิ่งใกล้
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นมีเงาคนสีขาวเงินสายหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ แล้วทิ้งตัวลงบนพื้นตรงหน้าทั้งสามอย่างหนักหน่วง
คนคนนี้เป็นสตรีวัยเยาว์ที่สวมเกราะน้ำแข็งสีขาวไว้ทั้งร่าง เพียงแต่ว่าตอนนี้ผิวบนแขนสองข้างถูกถลกออก เลือดสดๆ ไหลริน ท้องน้อยถูกแทงเป็นรูขนาดเท่าปากชามจนเห็นอวัยวะภายในที่ขยับอยู่ด้านใน
เกราะน้ำแข็งบนตัวนางมองออกได้ว่าตอนแรกงดงามยิ่ง แต่ตอนนี้เหมือนกับเป็นเกราะที่พังไม่มีชิ้นดี เหลือแค่ครึ่งเดียวที่ยังเกาะอยู่บนตำแหน่งไม่สำคัญ และตรงตำแหน่งสำคัญถูกทำลายไปหมดแล้ว
“อิ๋นจื่อ!” เมื่อหลี่ซุ่นซีเห็นคนคนนี้ก็แตกตื่น รีบพุ่งเข้าไปประคองนางด้วยมือข้างหนึ่ง “เจ้าเป็นอะไรไหมอิ๋นจื่อ!”
นางเป็นสหายที่ร่วมปฏิบัติการณ์กับเขาในช่วงเวลานี้ เล่ออิ๋นอสรพิษผนึกน้ำแข็ง เดิมทีนางเป็นยอดฝีมือพเนจรผู้โดดเดี่ยว มีวิชาแส้กับวิชาลับเร้นกายที่ร้ายกาจถึงขีดสุด
นางกระอักเลือดออกมาหลายคำ หยัดกายลุกขึ้น
“ยัง ยังไม่ตาย”
“ยังไม่ตาย แต่ก็ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว” ซุนเมิ่งที่ไม่ถูกกับนางมาโดยตลอดเยาะเย้ย แต่ก็เอาร่างกายบังไว้ด้านหน้าอิ๋นจื่อโดยไม่รู้ตัว พร้อมทั้งสอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
“ซุนจื่อ เจ้าอยากให้ท่านย่าของเจ้าตายขนาดนี้เชียวหรือ ไม่รู้หรือว่าก่อนหน้านี้ท่านย่ารักเจ้าขนาดไหน” อวิ๋นจื่อโต้กลับอย่างแน่วแน่ แสดงความปากร้ายอย่างเต็มที่
ซุนเมิ่งอดกลั้นไว้ ไม่หันกลับไปกระทืบนางจนตาย
“ถ้าครั้งนี้เจ้าไม่ตาย กลับไปข้าจะทำให้เจ้าเห็นดีแน่!”
“ถ้าครั้งนี้ไม่ตาย ข้าจะเผากระดาษให้เจ้าเอง ไม่ต้องห่วง” ใบหน้าของอิ๋นจื่อซีดขาว แต่ปากยังไม่ปรานีปราศรัย
“พวกเจ้าสองคนเอาจริงเอาจังกันหน่อยได้ไหม!” หลี่ซุ่นซีเห็นดังนั้นก็อยากด่าคนบ้างแล้ว “รอพวกเราออกไปได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
“ข้าจริงจังแล้ว เพียงแค่รู้สึกว่ารอบนี้หนีไม่รอดแน่ จึงอยากกล่าวถ้อยคำที่อยากกล่าวออกมาให้หมดก่อนตาย” ใบหน้าของอิ๋นจื่อเรียบเฉย ใช้มือข้างหนึ่งอุดปากแผลตรงหน้าท้องของตัวเอง เพื่อให้มันสมานตัวด้วยความเร็วสูง แต่อาการบาดเจ็บที่สาหัสอย่างแท้จริงของนางไม่ใช่ตรงนี้ หากเป็นพลังประหลาดสายหนึ่งที่ถูกซัดใส่เข้ามาในร่าง เป็นพลังอันแข็งแกร่งที่มีเฉพาะในตระกูลซั่งหยาง
“ปกติเจ้าเชื่อมั่นในตัวเองมากไม่ใช่หรือ ทำไมครั้งนี้ถึงมองโลกในแง่ร้ายนัก” ซุนเมิ่งอดหันไปมองนางไม่ได้
“นั่นเป็นเพราะนางรู้แล้วว่าพวกเราแตกต่างกันมากขนาดไหน…”
พริบตาที่ซุนเมิ่งหันหน้าไป เงาคนสีขาวสายหนึ่งก็โผล่ขึ้นตรงหน้าเขาตอนไหนก็ไม่ทราบ
คนผู้นี้ เหมือนเคล้ายย้ายมาในพริบตา รอบๆ เป็นเนินเขาเปิดโล่งที่มองเห็นได้ ไม่มีสถานที่ให้คนซ่อนตัว
แต่ว่าเขากลับโผล่ขึ้นมาตรงหน้าคนทั้งสี่อย่างกะทันหันและไร้เค้าลางแม้แต่น้อย
นี่เป็นบุรุษอาภรณ์ขาวที่สวมกวนหยกสีขาวทรงสามเหลี่ยม ใบหน้าซึมเซาอยู่บ้าง มีรอยแผลเป็นบนแก้มซ้ายที่เหมือนกับถูกสัตว์ร้ายข่วนใส่
ร่างกายผอมบาง ถือพู่กันเหล็กยาวครึ่งหมี่เล่มหนึ่ง
“จิตกรของตระกูลซั่งหยาง?!” หลี่ซุ่นซีตกใจ อดถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้ ใบหน้าเคร่งขรึมลง
เก้าตระกูลขุนนางล้วนมีเครื่องมือทำศึกระดับสูงสุดของตัวเอง เช่นตระกูลหลินมีเทพนางแอ่น ตระกูลซั่งหยางมีตุลาการ ทว่านักรบระดับสูงสุดเหล่านี้ไม่มีทางเคลื่อนไหวเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในยามปกติพวกเขาทุกคนมีอาณาเขตที่ตัวเองต้องดูแล ผู้นำสักคนไม่อาจลงมือง่ายๆ
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เล่าลือกันในหมู่มือดีระดับต่ำส่วนใหญ่ เป็นกองกำลังเคลื่อนที่ของเก้าตระกูลที่ระดับอ่อนแอกว่าหนึ่งขั้น
แม่ทัพที่รับหน้าที่ป้องกันในตระกูลซั่งหยางถูกเรียกรวมกันว่าจิตรกร
มีแต่ยอดฝีมือระดับฉลักษณ์ในขอบเขตพันธนาการเป็นต้นไปเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์รับตำแหน่งจิตรกร โอกาสที่จะเลื่อนจากระดับฉลักษณ์ถึงระดับอสรพิษมีไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วน ยอดฝีมือส่วนใหญ่ติดอยู่ในระดับฉลักษณ์หรือสัตตะลักษณ์ตลอดกาล บ้างก็แก่ตายในสถานที่กักตัว
เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางหรือสำนักก็ไม่มีข้อแตกต่าง
ดังนั้นนี่จึงทำให้คนของกลุ่มจิตรกรมีไม่มากนัก ชื่อเสียงที่มีจึงเหนือกว่าตุลาการไปโดยปริยาย
“เป็นอย่างที่คิดไว้ ข้าเพียงแค่ให้นางหนีไปเรื่อยๆ ดูว่าจะตกสหายของนางสักสองสามคนได้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จจริงๆ” บุรุษอาภรณ์ขาวกล่าวอย่างราบเรียบ
หลี่ซุ่นซีที่ใส่หน้ากากยังดี เพราะกลิ่นอายบนร่างเร้นลับ จึงไม่มีใครสัมผัสออกว่าสถานะของเขาคือผู้ถือครองหยกลี้ลับ
แต่คนที่เหลือไม่เหมือนกันแล้ว
โดยเฉพาะตอนที่จิตรกรเห็นเหลียนจีที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา
“ที่แท้ก็เป็นนังโจรนี่เอง ที่วางแผนชั่ว…” จิตรกรหัวเราะเย็นชา “ถึงกับตีชิงตามไฟ โจมตีตระกูลซั่งหยางของเรา”
เขาถือพู่กันเหล็กพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาคนทั้งสี่
“ครั้งนี้ยุ่งยากแล้ว…” พวกหลี่ซุ่นซีถอยหลังติดต่อกัน แม้ว่าจะมีซุนเมิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาสี่คน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้านนอก หากอยู่ด้านในหอปัญญาอันเป็นอาณาเขตขุมกำลังของตระกูลซั่งหยาง
ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วถูกรั้งตัวไว้ล่ะก็…
“ที่นี่ข้าจัดการเอง พวกเจ้าหนีไปก่อน!” ซุนเมิ่งเดินออกไปอย่างแน่วแน่พร้อมกล่าวเสียงเย็นชา
“หนีหรือ มีข้าอยู่ พวกเจ้ายังคิดหนีอีกหรือ” จิตรกรพลันพุ่งตัวไปด้านหน้า เอี้ยวตัวพลางแทงพู่กันใส่ซุนเมิ่งจากด้านขวา
ยอดฝีมือของตระกูลขุนนาง ความจริงนอกจากใช้วิชาเร้นลับแต่ละชนิดเป็นท่าไม้ตายแล้ว ปกติพวกเขาจะใช้วรยุทธ์พื้นฐาน วรยุทธ์พื้นฐานของพวกเขาแตกต่างกับคนทั่วไป ทักษะการเคลื่อนไหวของพวกเขามีรูปแบบเฉพาะตัวเป็นส่วนใหญ่ เพื่อแสดงความได้เปรียบในพลังทางสายเลือดของตัวเองให้มากที่สุด คนธรรมดาเลียนแบบไม่ได้
ตอนนี้การเคลื่อนไหวของจิตรกรเป็นเช่นนี้
เขาอ้อมผ่านการขัดขวางของซุนเมิ่งได้อย่างน่าประหลาด ก่อนจะสะกิดพู่กันใส่เบาๆ
ฟู่ว!
แสงสีดำมีพิษร้ายหย่อมหนึ่งระเบิดออกมา ซุนเมิ่งใช้มืออีกข้างที่กลายเป็นสีทองแดงอมเหลืองต้านรับไว้
เคร้ง
เกิดเสียงดังลั่น ตอนสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรง
ใบหน้าของซุนเมิ่งเปลี่ยนไปในทันที เขาแค่นเสียงคำหนึ่ง รู้สึกได้ว่ามีพลังอันดุร้ายสายหนึ่งไหลตามฝ่ามือไปถึงหัวใจ
เขาอดกลั้นไม่ไหว อ้าปากกระอักเลือดออกมา
“ไป!”
หลี่ซุ่นซีตัวสั่น ข่มกลั้นไว้ไม่พุ่งเข้าไป อุ้มอิ๋นจื่อไว้ ก่อนจะพาเหลียนจีหนีไปอีกทาง
“โง่เง่า!” ร่างของจิตรกรพลันทะลวงผ่านการป้องกันของซุนเมิ่งได้อย่างพิสดาร แล้วสะกิดพู่กันใส่หลี่ซุ่นซี
“ข้ายังไม่ตาย! ไสหัวไปซะ!” อิ๋นจื่อที่อ่อนแออิดโรยพลันระเบิดพลังออกมา แส้พิสดารเส้นหนึ่งที่เหมือนแสงสีขาวเกี่ยวสองขาของจิตรกรเอาไว้จากด้านล่างอย่างฉับพลัน
“นี่มัน…?!” จิตรกรเสียสมดุล ใช้มือข้างหนึ่งยันพื้น แล้วตีลังกาหลายครั้ง ก่อนจะร่วงลงบนพื้นอย่างมั่นคง
ทว่าแส้เส้นนั้นยังคงมัดขาเขาไว้ ไม่อาจแกะหลุด
“ข้าซ่อนฝีมือไว้นานเพื่อรอโอกาสนี้นี่แหละ…” อิ๋นจื่อหัวเราะอย่างเย็นชา “ถูกอสรพิษผนึกน้ำแข็งของข้ามัดร่างไว้ ต่อให้เจ้าดิ้นหลุดจากพันธนาการของแส้ พลังก็จะลดลงถึงระดับที่ยากรับไหวอยู่ดี”
นางกำแส้ในมือแน่น สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้น
“ตอนนี้ ไปตายซะ!” อิ๋นจื่อกับซุนเมิ่งพุ่งเข้าหาจิตรกรพร้อมกัน
……………………………………….