บทที่ 264 สถานการณ์ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 264 สถานการณ์ (2)

ผ่านไปยี่สิบอึดใจ

พื้นดินเละเทะกระจัดกระจาย หญ้าปลิวว่อน เนินเขาถล่ม เลือดสาดกระจายเต็มพื้น

แสงสีแดงจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ไกลออกไป ย้อมอาณาเขตผืนนี้เป็นสีแดงราวโลหิตมากกว่าเดิม

จิตรกรโยนร่างซุนเมิ่งในมือไปอีกทาง มองปากแผลสายหนึ่งบนแขนที่ถูกกรีด

“ฝีมือใช้ได้” เขากล่าวอย่างชื่นชม “ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะแพ้พวกเจ้าจริงๆ น่าเสียดายที่มาเจอข้าเข้า”

ซุนเมิ่งที่ถูกฉีกแขนขาดไปข้างหนึ่ง กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าด้วยร่างโชกเลือด

อิ๋นจื่อนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นโดยไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย มีแต่แส้สีขาวที่ขาดไปหลายท่อนตกกระจายอยู่บนพื้น

หลี่ซุ่นซีกุมหน้าอกขณะประคองเหลียนจี กระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง ดูท่าทางบาดเจ็บไม่น้อย

“จัดการเสร็จแล้วหรือยัง จงอวี้” มีคนสองสามคนเดินออกมาจากในความมืด คนที่นำหน้าสวมเครื่องแบบเหมือนจิตรกร เป็นจิตรกรอีกคนหนึ่ง

“ใกล้แล้ว ยังเหลือคนสุดท้าย” บุรุษที่ถูกเรียกว่าจงอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ลงมือมานาน ถูกพวกมันเล่นงานจนแขนบาดเจ็บจนได้ หัวหน้า ต้องให้เงินซื้อยาหน่อยกระมัง” เขายกแขนขึ้นให้อีกฝ่ายดู

บุรุษที่เป็นผู้นำกวาดตามองเขาอย่างเย็นชา

“จับตัวไป บุรุษโยนเข้าไปในศาลากล้วยไม้ สตรีโยนเข้าไปในศาลาแดง”

“รออีกหน่อยได้หรือไม่ หัวหน้าหรง”

ทันใดนั้นไม่ไกลออกไปมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินออกมาจากในเงามืด ผู้พูดคือสตรีงดงามที่สวมกระโปรงยาวสีขาว

บุรุษที่เป็นผู้นำเห็นแวบแรกก็ทราบถึงสถานะของอีกฝ่าย

ซั่งหยางเพ่ยเพ่ย ผีเสื้อสังคมที๋โด่งดังในตระกูล มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับบุคคลยิ่งใหญ่จำนวนมาก

“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูเพ่ยเพ่ยนี่เอง พวกเราจับกุมผู้ต้องสงสัยได้หลายคน อาจเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ กำลังจะพาตัวไปไต่สวนพอดี ถ้าท่านไม่มีเรื่องใด ก็ขอให้ไปพักผ่อนที่หอรับแขกด้านหน้า”

บุรุษที่เป็นผู้นำมองชายหนุ่มข้างกายซั่งหยางเพ่ยเพ่ย เขาไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ว่าสายตาอีกฝ่ายอยู่บนตัวผู้ต้องสงสัยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตลอดเวลา

“คนพวกนี้สมควรไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย หัวหน้าหรงเห็นแก่หน้าข้าปล่อยพวกเขาสักครั้งเถอะ ก็แค่โจรไม่กี่คนเท่านั้น ไหนเลยมีคุณสมบัติให้ท่านไต่สวนด้วยตัวเอง” ซั่งหยางเพ่ยเพ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มบาง

“เกรงว่าจะไม่ได้ ถ้าหากคุณหนูเพ่ยเพ่ยขอความเมตตาให้พวกมันในเวลาปกติ ข้าน้อยย่อมยินดีตอบรับ แต่วันนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ” ซั่งหยางหรงกล่าวอย่างราบเรียบโดยไม่เห็นแก่หน้าซั่งหยางเพ่ยเพ่ย

“หัวหน้าหรง!” เพ่ยเพ่ยกลอกตา “เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าได้ดื่มสุรากับใต้เท้าหลิวซาง เขาเอ่ยว่าหัวหน้าหรงตรงไปตรงมา เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถที่หายากในหมู่ผู้นำของจิตรกร วันนี้ได้เห็น เป็น…”

“ท่านอย่าเอาซั่งหยางหลิวซางมาข่มข้า” ซั่งหยางหรงกล่าวอย่างเย็นชา “เวลาข้าทำอะไรล้วนมีหลักการของตัวเอง ถ้าคุณหนูเพ่ยเพ่ยไม่มีเรื่องอะไรก็ไปดื่มสุราดอกไม้เป็นเพื่อนแขกดีกว่า การสอดมือเข้ามาในเรื่องแบบนี้อย่างส่งเดชไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่”

“ท่าน!” ซั่งหยางเพ่ยเพ่ยขมวดคิ้วงาม รู้สึกโมโหอยู่บ้าง คิดกล่าวอะไร แต่ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นปราม

“ข้าคือลู่เซิ่งสังกัดซั่งหยางจิ่วหลี่” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “มาสู้กันสักครั้งเถอะ”

เขาค่อยๆ เดินออกมา แสงไฟสาดลงบนร่างเขา พร้อมกับขับเส้นสายกล้ามเนื้อที่กำยำดั่งเหล็กกล้า

“พวกท่านเข้ามาพร้อมกัน จำเป็นต้องให้ข้ามัดมือไหม”

ใบหน้าของซั่งหยางหรงแดงก่ำขึ้นมา หนึ่งในห้าหัวหน้าจิตรกรที่ยิ่งยง ถูกคนยั่วยุต่อหน้าถึงขั้นนี้เชียวหรือนี่

นี่เป็นความอับอาย! ความอับอายของแท้!

ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น บริวารหลายคนซึ่งเป็นจิตรกรที่อยู่ด้านหลัง และซั่งหยางจงอวี้เมื่อก่อนหน้านี้ต่างก็หน้าแดงอย่างควบคุมไม่ได้ เยื่อดำขยับบนตัว เตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลาถ้าวาจาไม่ลงรอย

หลี่ซุ่นซีซึ่งไม่ได้โมโหเหมือนพวกเขาทั้งยินดีทั้งตกใจ เขาเกือบจะใช้ความสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาสำหรับช่วยชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายอยู่แล้ว

แต่ในพริบตาที่เห็นลู่เซิ่งเดินออกมา เขาก็รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว

การปกป้องพวกเขาสมควรไม่มีปัญหาอะไรนัก

ลู่เซิ่ง นายน้อยของตระกูลลู่ที่เข้าร่วมพรรควาฬแดงจากแดนเหนือและเข้าสังกัดตระกูลซั่งหยาง ด้วยสถานะของเขา การปกป้องพวกเขาสมควรไม่มีปัญหา

เขาข่มใจไม่เงยหน้าขึ้นทักทายลู่เซิ่ง คอยฟังคำสนทนาระหว่างพวกจิตรกรกับลู่เซิ่ง

“ลู่เซิ่ง!” ตอนนี้คนที่ได้รับความตกใจมีอยู่ไม่น้อย ซั่งหยางจิ่วหลี่มาถึงเป็นคนแรก ทั้งยังได้ยินคำพูดที่ลู่เซิ่งโพล่งมาพอดี นางขมวดคิ้วในพริบตา พร้อมกับมองไปยังจิตรกรสองคนและหลี่ซุ่นซี

“หยุดอาละวาดได้แล้ว” นางบ่นใส่ลู่เซิ่ง จากนั้นก็โบกมือไปทางพวกซั่งหยางหรง “ยังไม่รีบไปอีก! จะมัวรอยืนรอความตายอยู่ที่นี่หรือ”

ซั่งหยางหรงจับจ้องลู่เซิ่งอย่างเย็นชาสักพัก ท้ายที่สุดก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของซั่งหยางจิ่วหลี่

“ขอตัว คุณหนูจิ่วหลี่”

“ขุนพลในสังกัดใต้เท้าจิ่วหลี่โอหังมากจริงๆ” เวลานี้มีเสียงตุ้งติ้งดังมา

ตอนนี้มีคนไม่น้อยล้อมวงอยู่ ต่างเป็นแขกเหรื่อจากแต่ละตระกูลที่มารับชมความครึกครื้น

“ท่าทีของเขากำลังบอกว่าจิตรกรรุ่นเยาว์ของเราเป็นขยะหรือ ไม่เพียงให้เข้าไปลงมือพร้อมกัน ยังต่อให้สองมือด้วยหรือ เหอะๆ”

“ใครไม่ยอมรับ จะมาเองก็ได้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ “พวกท่านเข้ามาพร้อมกันก็ไม่มีปัญหา”

ทันใดนั้นทั่วบริเวณพลันเงียบงันลง ทุกคนมองออกว่าลู่เซิ่งบ้าคลั่งยิ่ง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะบ้าคลั่งถึงขั้นนี้

จิตรกรเป็นอัจฉริยะในตระกูลที่อยู่ในระดับอย่างต่ำฉลักษณ์ขึ้นไป ต่อให้อยู่ในตระกูลยิ่งใหญ่อย่างตระกูลซั่งหยาง ระดับฉลักษณ์ก็เป็นอัจฉริยะผู้สูงส่งอยู่ดี

และในหมู่จิตรกรที่เร่งรุดมา แม้มีไม่ถึงห้าคนก็มีถึงสามคน ลู่เซิ่งกลับให้พวกเขาเข้าไปพร้อมกันอีกหรือ

ซั่งหยางจิ่วหลี่แค่นเสียงอย่างเย็นชาพลางกวาดตามองรอบๆ

พอนางได้ยินก็รู้ทันทีว่ามีคนจ้องเล่นงานนางในที่ลับ ลู่เซิ่งแค่โดนลูกหลงไปด้วยก็เท่านั้น

“ไม่กล้าเรอะ เช่นนั้นก็ไสหัวไป!” เดิมทีนางมีนิสัยโอหังไม่กริ่งเกรงอะไรอยู่แล้ว หากกล่าววาจาไม่ลงรอยก็กล้าคว่ำโต๊ะ ตอนนี้มีคนยั่วยุขุนพลใต้การบัญชาการของตนในที่ลับ ย่อมโมโหและไม่สนใจอะไรอีก

เนื่องจากพลังและสถานะของนางในปัจจุบัน พอเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ก็ไม่มีใครกล้าโต้ตอบ

แม้จะมีคำบ่นในใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าสัมผัสความร้ายกาจของซั่งหยางจิ่วหลี่ในเวลานี้

“ไปเถอะ” คนของซั่งหยางจิ่วหลี่เดินออกไปยกพวกหลี่ซุ่นซีวางไว้บนแคร่ไม้ เตรียมจะยกไป

“ข้าเอง!” ในตอนนี้เองก็มีชายฉกรรจ์หัวล้านร่างกำยำเดินออกมา “คุณหนูจิ่วหลี่ ข้าน้อยสงสัยว่าคนพวกนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับคดีวางเพลิงเมื่อก่อนหน้า ดังนั้นขออภัยด้วย”

ชุยเหลียนจวินซึ่งเป็นผู้นำของขุมกำลังในสังกัดของผู้อาวุโส ไม่ใช่คนในตระกูลซั่งหยาง หากเป็นคนที่แต่งเข้ามาในตระกูล

แต่ว่าพลังในความเป็นจริง กลับแข็งแกร่งโดยไม่มีอะไรต้องกังขา เป็นหนึ่งในห้าหัวหน้าจิตรกรที่รับตำแหน่งในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงกล้าไม่เห็นแก่หน้าซั่งหยางจิ่วหลี่

ซั่งหยางจิ่วหลี่ยังคิดจะกล่าวคำพูด แต่ว่าลู่เซิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้

“ครั้งนี้สหายข้าทำผิดก่อน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจะยืนรับกระบวนท่าหนึ่งของท่านตรงนี้ก่อน” ลู่เซิ่งพูดเหมือนกับบอกว่าวันนี้ตอนเย็นจะกินอะไร ไร้แรงกดดันและไร้ความหวั่นไหวแม้แต่น้อย

ชุยเหลียนจวินที่หัวล้านถูกยั่วยุจนโมโหแล้ว

“แล้วจะนับผลแพ้ชนะอย่างไร ถ้าข้าเผลอฆ่าท่านตายจะทำอย่างไร”

“ฆ่าข้าหรือ” ลู่เซิ่งหงุดหงิดแล้วเช่นกัน ยกยิ้มมุมปาก แล้วชี้ไปที่ขมับตัวเอง

“โจมตีใส่ตรงนี้ ถ้าฆ่าข้าได้ ไม่เพียงไม่ต้องรับผิดชอบ ของที่ข้าเพิ่งเอามาจากศาลาแดงจะเป็นของท่านทั้งหมด!”

ล้อเล่นหรือ เขาในตอนนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน เปลี่ยนเป็นซั่งหยางจิ่วหลี่อาจจะพอมีโอกาสหลายส่วน

ซั่งหยางจิ่วหลี่ขยับริมฝีปาก แต่ยังคงไม่พูดห้าม

คนที่อยู่รอบๆ ส่งเสียงฮือฮา

“มาเลย” ชุยเหลียนจวินดวงตาดุร้ายขึ้นมา ชักดาบใหญ่หัวผีออกมาจากด้านหลัง แล้วค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงข้ามกับลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง เริ่มสะกดพลังของตัวเองลง ถึงประมาณเยื่อดำระดับฉลักษณ์ จึงค่อยหยุดลง

ฟู่ว

ม่านแสงสีดำพลิกขึ้นมาบนตัวทั้งสองพร้อมกัน นั่นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เยื่อดำแสดงให้เห็น

แขกเหรื่อสองคนจากตระกูลหวงมองการต่อสู้นี้อย่างเงียบๆ ในฝูงชน

“ท่านว่าฝั่งไหนจะชนะ” สตรีผมสั้นสีแดงคนหนึ่งในนี้ถามเบาๆ

อีกคนไว้ผมสีแดงยุ่งเหยิง คล้องห่วงแขนหลากหลายรูปแบบไว้บนแขน เป็นบุรุษที่ท่าทางมากประสบการณ์คนหนึ่ง

“จิตรกรจะพ่ายแพ้” บุรุษกล่าวอย่างราบเรียบ

“อ้าว? ทำไมหรือ ข้าว่าชุยเหลียนจวินออกจะแข็งแกร่ง” สตรีผมสั้นงุนงง จากนั้นก็ถามยิ้มๆ

บุรุษเงียบงันเล็กน้อย

“ข้าเห็นเบื้องลึกของชุยเหลียนจวิน แต่ลู่เซิ่งผู้นั้น คาดเดาไม่ออกเลย”

“แม้แต่ท่านก็มองไม่ออกหรือ น่าเสียดายวันนี้ท่านแม่ยุ่งอยู่ ไม่อย่างนั้นถ้าให้นางมาซื้อตัวด้วยตัวเอง จะต้องสำเร็จเป็นแน่” สตรีผมสั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เสียงยังไม่ทันขาดลง กลางวงก็เริ่มการต่อสู้อย่างเป็นทางการแล้ว

จิตรกรเป็นตัวแทนขุมกำลังฝ่ายผู้อาวุโส ส่วนซั่งหยางจิ่วหลี่เป็นตัวแทนฝ่ายซั่งหยางเฟย

ชุยเหลียนจวินถือดาบใหญ่หัวผีเดินอ้อมลู่เซิ่ง คล้ายกับกำลังหามุมลงมือ

เยื่อดำที่ทั้งสองแสดงออกมาล้วนเป็นจุดสูงสุดของระดับฉลักษณ์ การต่อสู้ครั้งนี้อาศัยทักษะของตัวเองและความสามารถในการจับจังหวะ

ชุยเหลียนจวินฮึกเหิมเล็กน้อย การได้อวดตัวเองต่อหน้าบุคคลยิ่งใหญ่มากมายขนาดนี้ เป็นโอกาสที่พันปียากพบพาน ถ้าหากแสดงพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ จะต้องสร้างภาพประทับใจให้คนในระดับสูงได้แน่

เขาเพ่งมองลู่เซิ่ง

‘เรามีวิชาลับท่าไม้ตายสามอย่างคือวกวน ฟันสังหาร ถลกเฉือน ใช้ฟันสังหารทางซ้าย ยึดครองช่องว่างทางซ้ายก่อน จากนั้นใช้วกวนปรับมุม ให้มันเดาไม่ออกว่าครั้งต่อไปจะลงมือที่ตำแหน่งไหน จากนั้นถ้าใช้ฟันสังหารทางซ้าย ตามด้วยถลกเฉือนก็จะเหมาะเหม็งดี แบบนี้จะทำให้มันคาดไม่ถึง ด้วยมุมและระดับความยากของการใช้ฟันสังหาร มันจะต้องคิดแน่ว่าเราจะฟันสังหารใส่ทางขวา’

พอคิดได้ ชุยเหลียนจวินก็กระทืบเท้าข้างหนึ่ง เยื่อดำข้างใต้เท้าระเบิดออก กลายเป็นแรงผลักพุ่งใส่ข้างลำตัวลู่เซิ่ง ก่อนจะฟันออกไปดาบหนึ่ง

“ฟันสัง…!”

“ตูม!”

ลู่เซิ่งชักหมัดซ้ายกลับมา มองอีกฝ่ายที่ถูกต่อยจนเกือบพิการ ทุกอย่างจบลงแล้ว

ชุยเหลียนจวินกลายเป็นมนุษย์เลือดอยู่บนพื้นหญ้า โดยที่เลือดทะลักออกมาจากทั่วร่าง ดาบหัวผีในมือหักไปไม่รู้กี่ท่อน คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง

หมัดนั้นต่อยใส่ดาบของเขาซึ่งหน้า จากนั้นก็โดนแก้มของเขา เลือดเนื้อและกระดูกบนใบหน้าของเขาระเบิดแหลกเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน ทั้งเปลี่ยนรูปร่าง โดนบีบอัด และถูกป่นเป็นผง ตอนนี้เหลือใบหน้าไม่ถึงครึ่ง

รอบๆ เงียบเป็นเป่าสากอยู่ชั่วขณะ ทุกคนนึกไม่ถึงว่าผลแพ้ชนะจะออกมาไวขนาดนี้ ชุยเหลียนจวินที่เป็นหัวหน้าจิตรกรยังไม่ทันใช้กระบวนท่าจบก็พ่ายแพ้แล้ว

ต่อให้ซั่งหยางจิ่วหลี่เคยเห็นพลังประหลาดระดับนี้ของลู่เซิ่งมาไม่น้อย แต่ก็ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี พลังประหลาดระดับนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ตระกูลซั่งหยางให้ความสำคัญกับลู่เซิ่ง

แม้แต่นางก็ยังอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะชนะไวขนาดนี้ เพราะอีกฝ่ายก็เป็นระดับฉลักษณ์เหมือนกัน

……………………………………….