บทที่ 265 มหันตภัย (1)
“ไหนบอก…ไหนบอกว่าจะต่อให้หัวหน้ากระบวนท่าหนึ่งไง” จิตรกรคนหนึ่งกล่าวอ้ำอึ้ง
ลู่เซิ่งกวาดตามองเขาเรียบๆ
“ขออภัย ข้าลืมไป”
เงียบงันพักใหญ่
พวกจิตรกรไม่รู้ว่าสมควรรับมืออย่างไร ถ้าหากชุยเหลียนจวินต้านได้สักพัก พวกเขาอาจมีความกล้าเข้าไปต่อสู้ด้วย แต่ตอนนี้หัวหน้าพ่ายแพ้เร็วเกินไป หมายความว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการ
ดังนั้นต่อให้รอบๆ ยังมีจิตรกรอีกหลายคน ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหววู่วามอยู่ดี
หลังเงียบอยู่สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงปรบมือประปรายดังมาจากฝูงชนรอบๆ
ผู้ที่ปรบมือล้วนเป็นคนจากตระกูลอื่นที่มาเป็นแขก ในนี้มีคนในเก้าตระกูลอยู่ด้วย และมีแต่สถานะนี้จึงกล้าวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้ภายในตระกูลซั่งหยางโดยไร้ความกลัวเกรง
“พอแล้วๆ จิ่วหลี่ ให้คนของเจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อย ทางจิตรกรก็เหมือนกัน” บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งผลักฝูงชนเดินออกมา คนผู้นี้ไว้เคราสั้นงดงาม สวมเสื้อคลุมตัวหนาสีเทาเงิน ทั้งยังสวมแหวนสีดำไว้เต็มสองมือหยาบใหญ่
“ท่านอาขุยหลี” ซั่งหยางจิ่วหลีรีบทักทายกับอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
ซั่งหยางขุยหลีรับผิดชอบงานด้านการป้องกันของตระกูลย่อยสองตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ กับตระกูลซั่งหยาง ถึงแม้เขาจะไม่ได้ดูแลจิตรกร แต่ว่าหัวหน้าจิตรกรก็มีความสนิทสนมกับเขา ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนคิดยุยงให้จิตรกรกับซั่งหยางเฟยเป็นปฏิปักษ์กัน เขาย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย
“ทุกคนแยกย้ายเถอะ อีกเดี่ยวหอทางด้านนั้นจะจัดชุมนุมประชันดนตรี พวกเราเชิญนักดนตรีชื่อดังมาเข้าร่วมไม่น้อย จะต้องทำให้ทุกท่านสนุกสนานได้แน่” ซั่งหยางขุยหลีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายตระกูลหวง สหายตระกูลจ้าวและตระกูลหวังได้โปรดแยกย้ายด้วย”
เขาเรียกทีละชื่อ
“ในเมื่อท่านอาขุยหลีออกหน้า อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ ได้ยินว่าปรมาจารย์ชิงเซี่ยจะเข้าร่วมการประชันเพลงด้วยตัวเอง” หวงเซิ่งหลิงสตรีผมสั้นสีแดงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ปรมาจารย์ชิงเซี่ยมาเอง จะไม่ให้เกียรติไปรับชมได้อย่างไร” คนหนุ่มของตระกูลจ้าวกล่าวเสริม
คนของตระกูลหวังพยักหน้าให้ขุยหลีโดยไม่คัดค้าน จากนั้นก็พาคนมุ่งหน้าไปยังหอที่จัดชุมนุมประชันดนตรี
คนจากตระกูลหลักแยกย้าย แม้แต่ขุมกำลังที่อยู่ข้างกายพวกเขาก็ติดตามไปด้วย คนที่เหลือก็ไม่กล้ารั้งอยู่ต่อเช่นกัน พากันผละจากไป
แต่ว่าลู่เซิ่งของตระกูลซั่งหยางกลับอาศัยเรื่องราวในครั้งนี้ ประทับภาพลักษณ์และชื่อเสียงเอาไว้ในใจของคนทุกคนอย่างล้ำลึกแล้ว
“เรื่องราวในวันนี้ วันหน้าจะต้องทวงถาม!” จิตรกรคนหนึ่งประคองชุยเหลียนจวินขึ้นมาพร้อมกล่าวคำขู่ ก่อนจะพาคนล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจ จิตรกรก็แค่โครงสร้างอำนาจระดับกลางถึงต่ำของตระกูลขุนนางเท่านั้น ถ้าเป็นตุลาการเขาคงหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่จิตรกรนั้น…
รอคนจากไปจนเกือบหมด ซั่งหยางจิ่วหลี่ค่อยตบบ่าลู่เซิ่งอย่างแรงพร้อมกับยิ้มอย่างชื่นชม
“เจ้าคิดถึงกระบวนท่าเตะตัดขานี้ได้อย่างไร ครั้งนี้ได้ผลไม่เลวทีเดียว หลังจากนี้ไปเกรงว่าจะมีคนไม่น้อยในตระกูลใหญ่รู้จักชื่อของเจ้าแล้ว” นางกดเสียงพูดเบาๆ
ลู่เซิ่งหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง เขาแค่อยากจะช่วยคนจริงๆ
“เอาล่ะ เอาคนไปให้หมด ดูแลให้ดีด้วย” ซั่งหยางจิ่วหลี่กำชับบริวาร จากนั้นก็ตบตัวลู่เซิ่ง
“เจ้าตามข้ามา”
ลู่เซิ่งมองหลี่ซุ่นซีที่ถูกยกขึ้นบนแคร่ไม้ ขยิบตาให้เขา ก่อนจะหมุนตัวติดตามซั่งหยางจิ่วหลี่จากไป
พวกหลี่ซุ่นซีโล่งใจ การเปลี่ยนแปลงนี้หักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ลู่เซิ่งปรากฏตัวขึ้น ไปจนถึงการลงมือคุมเชิงในตอนหลัง จากนั้นก็เป็นการล้อมวงชมดู
ทุกคนคิดว่าต้องตายแน่แล้ว แต่ว่าในสายตาพวกซั่งหยางจิ่วหลี่ ความตายของพวกเขา หรือแม้แต่ความตายของเหลียนจีล้วนเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ผลลัพธ์อีกแบบที่ได้มาจากความขัดแย้งในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ซั่งหยางจิ่วหลี่พาลู่เซิ่งกับเพ่ยเพ่ยเดินตัดทะลุพื้นหญ้า แล้วเดินเข้าไปจากสนามหญ้าที่อยู่รอบนอกงานเลี้ยง ถือโอกาสหยิบสุราผลไม้ไปด้วยสองสามจอก
หลังจากนั้นก็นั่งลงตรงมุมหนึ่ง เพ่ยเพ่ยบอกลาอย่างรู้ใจ เหลือแค่ลู่เซิ่งกับซั่งหยางจิ่วหลี่
“ในช่วงเวลานี้อาณาเขตที่พวกเราดูแลเกิดปัญหาอย่างหนึ่ง” นางคีบเนื้อย่างบนโต๊ะมายัดใส่ปาก แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ
“ปัญหาอะไรหรือขอรับ” ลู่เซิ่งรู้ว่านางไม่มีทางปล่อยลูกศรโดยไร้จุดหมาย คงไม่แจ้งเรื่องที่ไร้ความเกี่ยวข้องกับเขาแน่
“เคยได้ยินเรื่องหยกลี้ลับหรือไม่”
“หยกลี้ลับหรือ เคยขอรับ ว่ากันว่าเป็นอาวุธเทพที่แข็งแกร่ง และยังมีความสามารถในการทำนาย” ลู่เซิ่งพยักหน้ากล่าว
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าการจะใช้หยกลี้ลับจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน” ซั่งหยางจิ่วหลี่พูดยิ้มๆ “ไม่นานมานี้พวกเราเก้าตระกูลได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายเกี่ยวกับภัยพิบัติใหญ่ มันพูดว่าแนวป้องกันสังหารเทพที่ต้าซ่งเฝ้ารักษามาเป็นพันปีจะเกิดปัญหาในช่วงนี้”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“จดหมายบอกไว้อย่างมีเหตุมีผลว่า มีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะปรากฏภัยพิบัติมาร น่าเสียดายข่าวลือที่มีเจตนาทำให้กลัวแบบนี้ หมดความนิยมไปหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้เกิดข่าวลือที่คล้ายๆ กันมากมายแพร่หลายเช่นกัน สุดท้ายก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นแค่ข่าวโคมลอย ถ้าหากไม่ได้อ้างถึงหยกลี้ลับ จดหมายฉบับนี้คงส่งมาไม่ถึงมือข้าด้วยซ้ำ” ซั่งหยางจิ่วหลี่ยิ้ม แต่ว่าไม่นานนางก็หน้าขรึมลง บอกต่อไปว่า
“แต่เมื่อคำนวณเรื่องใหญ่อย่างละเอียด ทางด้านตระกูลหลินอาจจะเกิดเรื่องจริงๆ ก่อนหน้านี้หลินเปยไคถูกไต่สวน แต่เรื่องราวจบลงโดยไร้ข้อสรุป ทางระดับสูงของตระกูลหวงก็เรียกระดมกำลังทั้งหมด ราคาสิ่งของเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีความเป็นได้ที่เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดแล้ว เจ้าระวังตัวไว้ด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้วว่า…” ลู่เซิ่งกำลังคิดจะพูดบางอย่าง แต่ตอนนี้มีคนขึ้นไปบนเวทีแล้ว
สตรีผิวขาวผ่องที่ใบหน้าน่าเอ็นดูและบริสุทธิ์คนหนึ่งเดินขึ้นเวทีสูงตรงกลางห้องโถงอย่างเชื่องช้า
“ข้าน้อยซั่งหยางเฟย ขอบคุณที่ทุกท่านมาเยือน ครั้งนี้ข้าได้เชิญปรมาจารย์และนักดนตรีที่มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยมา หวังว่าทุกท่านจะสนุกอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ขอให้ทุกท่านโปรดมายังชุมนุมพูดคุยในภายหลังด้วย”
ลู่เซิ่งพิจารณาสตรีงามผู้ได้รับการเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซั่งหยางคนนี้อย่างละเอียด มองจากภายนอกนางเป็นเพียงสาวสวยธรรมดาทั่วไปซึ่งมีรูปโฉมบริสุทธิ์ สวมใส่อาภรณ์หรูหราไปหน่อย และพูดจาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนอ่อนแอ
“มองไม่เห็นมาดอัจฉริยะอันดับหนึ่งเลยกระมัง” ซั่งหยางจิ่วหลี่ถอนใจขึ้นด้านข้าง
“ขอรับ”
“ซั่งหยางเฟย มีแต่ตอนเจ้าเห็นอีกด้านหนึ่งของนาง ถึงค่อยทราบว่าทำไมนางจึงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซั่งหยาง”
ลู่เซิ่งพยักหน้า พอซั่งหยางเฟยพูดจบก็ผละจากไป ต่อจากนั้นก็เป็นการเต้นรำและบรรเลงเพลง
นารีนักดนตรีผู้เลอโฉมมากมายพากันขึ้นมาแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองบนเวที พวกปรมาจารย์หลายคนเหมือนกับดารา มีนารีงามล้อมรอบดุจดาวล้อมเดือน เมื่อทุกคนรับชมอย่างเพลิดเพลิน ก็พากันโห่ร้องและตบรางวัล
นารีงามกับนารีนักดนตรีนี้ก็แค่คนธรรมดา สำหรับพวกนางการที่สามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้ ก็เทียบได้กับการปีนป่ายขึ้นสวรรค์แล้ว
ลู่เซิ่งไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ นั่งหลับตาอยู่บนที่นั่งใคร่ครวญถึงร่างมารร่างที่สามหลังจากร่างมารอัคคีแค้น
เขาเจอร่างมารแปดร่างซึ่งบันทึกกระบวนการฝึกฝนอันสมบูรณ์ตั้งแต่ไม่มีจนมีในถ้ำใต้ทะเลสาบ
ร่างมารร่างที่สาม เขาเลือกร่างมารรกร้างที่ค่อนข้างง่าย พลังของร่างมารชนิดนี้แสดงออกในด้านการปนเปื้อน โดยใช้พิษร้ายในปราณมารถึงขีดจำกัดจนทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ กลายเป็นผืนดินรกร้าง นี่คือความหมายของร่างมารรกร้าง
แน่นอนว่าการปนเปื้อนเป็นเพียงจุดที่ร่างมารร่างนี้ให้ความสำคัญ จริงๆ แล้วในร่างมารทั้งแปดร่างต่อให้เป็นร่างที่อ่อนแอที่สุด ก็มีการเพิ่มระดับที่แน่นอนต่อความแข็งแกร่งของกายเนื้อ จึงถือเป็นการยกระดับแบบครอบคลุม
เพียงแต่การฝึกฝนร่างมารรกร้างจำเป็นต้องใช้พิษหลากหลายรูปแบบ…
“ใต้เท้าจิ่วหลี่ ใต้เท้าลู่เซิ่ง” ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่อ่อนโยนนิ่มนวลดังมาจากด้านข้าง
ลู่เซิ่งหันไปดู กลับพบว่าซั่งหยางเพ่ยเพ่ยพาเด็กสาวผมยาวที่ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู และอายุไม่เกินสิบกว่าปีคนหนึ่งเข้ามา
“ขอแนะนำ นี่คือน้องสาวจากตระกูลย่อยของข้า ซั่งหยางหลิงฮุ่ย ครั้งนี้ได้ยินว่าคุณหนูจิ่วหลี่มาถึง ที่แล้วมานางนับถือในตัวคุณหนูจิ่วหลี่ จึงขอร้องให้ข้าพามาพบท่าน” ซั่งหยางเพ่ยเพ่ยยิ้มพลางแนะนำ
“กล่าวได้ดีๆ ข้ารู้จักซั่งหยางหลิงฮุ่ย บุตรีคนที่สองของตระกูลพี่หมิงเฟิ่ง” ซั่งหยางจิ่วหลี่พยักหน้าเล็กน้อย
“ลู่เซิ่งก็อยู่ด้วยพอดี พวกเจ้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน น่าจะคุยกันถูกคอ มาๆ มานั่งคุยกันตรงนี้” นางดึงซั่งหยางหลิงฮุ่ยมานั่งลงบนที่นั่งด้านข้างลู่เซิ่งทันที
ท่ามกลางเสียงดนตรี ลู่เซิ่งมองออกว่าพวกนางกำลังร่วมมือกัน เห็นได้ชัดว่าซั่งหยางจิ่วหลี่ยังไม่ยอมแพ้ที่การนัดดูตัวก่อนหน้านี้ไม่ประสบผล เลยให้ซั่งหยางหลิงฮุ่ยมาสานต่อ
ตระกูลซั่งหยางมีหญิงมากกว่าชาย ในสายเลือดระดับสูงมีสตรีเพศที่แข็งแกร่งมากกว่าบุรุษเพศ ดังนั้นด้านการแต่งงานจึงเป็นปัญหาใหญ่มาโดยตลอด
หลังจากส่งเด็กสาวออกไปจับคู่กับตัวเลือกที่เหมาะสมจากแต่ละตระกูล ในตระกูลก็ยังคงเหลือเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงานอีกมาก ดังนั้นระดับสูงจึงเล็งคนภายนอกตระกูลที่สายเลือดโดดเด่นที่สุด
ความจริงซั่งหยางเฟยเป็นผู้วางแผนทุกอย่างนี้ การผงาดของนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จทางด้านนี้ และนางก็เป็นผู้เสนอแผนการขยับขยายโดยใช้การแต่งงานเป็นเป้าหมายมาตั้งแต่แรกแล้ว
“คุณชายลู่…ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย” ซั่งหยางหลิงฮุ่ยสวมกระโปรงใบบัวสีขาว ท่อนขาเรียวยาวที่ขาวนวลเนียนนุ่มโผล่ออกมาตอนนั่งลง
ชายกระโปรงใบบัวซ้อนทับเป็นชั้นๆ พอนางนั่งลงก็เผยให้เห็นขาอ่อนมากกว่าครึ่งโดยอัตโนมัติ บวกกับองค์เอวคอดกิ่ว หน้าอกอวบอิ่ม จึงขับหุ่นที่ไม่มีไขมันแม้แต่น้อยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ขอฝากเนื้อฝากตัวกับแม่นางหลิงฮุ่ยเช่นกัน” ลู่เซิ่งตอบกลับพอเป็นพิธี จากนั้นก็ไม่ได้สนใจนางอีก
ในเมื่อเขาเลือกเฉินอวิ๋นซีแล้ว ก็ไม่สนใจจะยุ่งกับการเด็ดดอกหญ้าดมบุปผาใดอีก นี่เป็นหลักการในชีวิตของเขา
เห็นเขาแสดงท่าทีเย็นชา ซั่งหยางหลิงฮุ่ยก็ผิดหวังอยู่บ้าง
“ข้ายังมีธุระ ขอตัวไปก่อน พวกเจ้าคุยกันเถอะ” ซั่งหยางจิ่วหลี่พยักหน้าให้เด็กสาว แล้วลุกขึ้นฉุดดึงเพ่ยเพ่ยไปด้วยกัน ไม่รอให้ลู่เซิ่งเอ่ยคำ ก็เดินจากไปไกลแล้ว
“ได้ยินมาว่าคุณชายลู่เป็นผู้นำสำนักในร้อยเส้นสาย เพิ่งอายุเท่านี้ก็เป็นผู้นำสำนักได้แล้ว เหมือนหงส์มังกรในหมู่มนุษย์จริงๆ” ซั่งหยางหลิงฮุ่ยกล่าวชมเชยเบาๆ
“ไม่ขนาดนั้นหรอก สำนักที่ข้าอยู่เล็กเกินไป อีกทั้งยังมีศิษย์ไม่กี่คน ผู้นำไม่ได้ร้ายกาจอะไร” ลู่เซิ่งตอบอย่างไม่สนใจ
“ยังคงร้ายกาจอยู่ดี ตอนนี้หลิงฮุ่ยเพิ่งอยู่ในขอบเขตทวิลักษณ์ย อยากจะเลื่อนระดับแต่ว่าไม่มีความหวังแม้แต่น้อย…วิชาลับที่ถ่ายทอดในตระกูลก็ฝึกฝนได้ไม่ดีสักวิชา…” ซั่งหยางหลิงฮุ่ยสะอื้นเล็กน้อย “พวกพี่สาวต่างก็ร้ายกาจ มีแต่หลิงฮุ่ยคนเดียวที่ทำอะไรไม่ได้เลย”
“นั่นเป็นเพราะยังหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดไม่เจอต่างหาก เจ้าต้องทดลองไปเรื่อยๆ” ลู่เซิ่งแนะนำแบบขอไปที
“เป็นอย่างนั้นหรือ” ซั่งหยางหลิงฮุ่ยลืมตาโต ทำท่าไร้เดียงสาน่าเอ็นดู
“ข้าก็แนะนำไปอย่างนั้นเอง” ลู่เซิ่งมองนางพลางกล่าวเบาๆ
“ช่วงนี้ข้าคิดเข้าร่วมสำนัก เพียงแต่ยังไม่เจอตัวเลือกที่เหมาะสม…” ซั่งหยางหลิงฮุ่ยเอ่ยเสียงเบา
ความหมายนี้ชัดเจนมาก
ความจริงนางก็จนปัญญาเหมือนกัน นางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีการยกระดับ มองไม่เห็นการพัฒนาศักยภาพในอนาคต แต่กลับยังอยู่ในตระกูล ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวคือหาคนแต่งงานออกไปเพื่อแลกเปลี่ยนอิทธิพลที่มากกว่าเดิมให้กับตระกูล
ซั่งหยางหลิงฮุ่ยรู้อนาคตของตัวเองดี นางมักคิดเสมอว่า เทียบกับการถูกตระกูลจัดหาคนที่ไม่รู้จักและไม่รักสักคนให้ มิสู้เลือกชายที่เข้าตาด้วยตัวเองดีกว่า
คนนอกตระกูลที่โดดเด่นอย่างลู่เซิ่งจึงต้องตานาง ตอนที่คนอื่นยังลังเล นางก็ขอให้เพ่ยเพ่ยแนะนำให้อย่างแน่วแน่ทันที และคุณหนูใหญ่จิ่วหลี่ก็กังวลอยู่พอดีว่าจะมัดลู่เซิ่งไว้บนรถศึกของตัวเองอย่างมั่นคงกว่าเดิมอย่างไรดี
พอผลักเรือตามน้ำ ก็ปรากฏเหตุการณ์อย่างในตอนนี้
……………………………………….