บทที่ 266 มหันตภัย (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 266 มหันตภัย (2)

“เข้าร่วมสำนัก ทดลองดูหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็พิจารณาซั่งหยางหลิงฮุ่ยอย่างจริงจัง

นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาสะสวย นางก็เหมือนตัวนำโชค แม้แต่เหอเซียงจื่อยังสู้ไม่ไหว ถ้านางเข้าสำนักมารกำเนิด เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะทำให้ซั่งหยางจิ่วหลี่วางใจ ไม่อย่างนั้นนางคงจะส่งเด็กสาวมาดูตัวไม่หยุดหย่อน

พอคิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็ปวดหัวอยู่บ้าง

“งั้นเอาแบบนี้ ข้าจะจัดการให้เจ้าเข้าร่วมกับสำนักมารกำเนิด จะได้ดูแลแบบใกล้ชิด”

“อื้อ ขอบคุณพี่ใหญ่ลู่ด้วย” ซั่งหยางหลิงฮุ่ยถือโอกาสเปลี่ยนคำเรียก

“เอาล่ะ เจ้านั่งไปเถอะ ข้าขอตัวก่อน จะไปดูว่าพวกสหายเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งลุกขึ้น แล้วออกจากโถงไป โดยไม่สนใจว่าซั่งหยางหลิงฮุ่ยจะว่าอย่างไร

หลังออกจากหอที่มีเสียงดนตรีดังต่อเนื่อง เขาก็เดินตามเส้นทางเล็กๆ ไปถึงประตูเข้าออกของสวนปัญญา

ด้านในรถม้าที่อยู่ข้างๆ หอจุดตะเกียงน้ำมันไว้ ตอนนี้พวกหลี่ซุ่นซีถูกจัดวางอยู่บนพื้นเพื่อดำเนินการรักษา

ตัวรถม้าให้สตรีสองคนใช้ ส่วนหลี่ซุ่นซีกับสหายอีกคนนอนอยู่บนแคร่ไม้ด้านนอก

เมื่อเห็นลู่เซิ่งมา แพทย์และบริวารหลายคนที่ทำหน้าที่รักษาก็รีบก้มหน้าทักทายเขา

ลู่เซิ่งขานรับอย่างขอไปที แล้วให้พวกเขาถอยไป จากนั้นก็มองหลี่ซุ่นซีที่พยายามลุกขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกัน”

หลี่ซุ่นซียิ้มฝาด

“ท่านได้รับจดหมายแล้วกระมัง”

“ได้รับแล้ว” ลู่เซิ่งกระจ่าง เขาเขียนจดหมายฉบับนั้นจริงๆ เสียด้วย

“เช่นนั้นก็รีบเตรียมตัวเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว” หลี่ซุ่นซีส่ายหน้า

“ท่านแน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งถามกลับ

“เห็นอย่างรางๆ แค่นิดเดียว! อย่างไรเรื่องใหญ่ระดับนี้ก็เปลืองพลังมากเกินไป”

ทั้งสองคนเงียบงัน ไม่ได้เอ่ยคำพูดในทันที

ผ่านไปสักพัก

“ทำไมท่านถึงกลับมา แถมยังเลือกไปช่วยคนที่ศาลาแดงอีก ท่านรู้ไหมว่าที่นั่นมีเบื้องหลังแบบใด” สุดท้ายลู่เซิ่งก็ยังเป็นเพื่อนกับหลี่ซุ่นซี จึงเปิดประเด็นตรงๆ

“ช่วยไม่ได้ แต่อย่ามองข้าอย่างนั้น ในห้วงวิกฤติเป็นตายข้ายังหนีได้” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างอับจน

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น พอพันแผลเสร็จแล้วก็รีบไปเสีย ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นๆ ยังจดจำพวกท่านไม่ได้” ลู่เซิ่งเตือน “ถ้ามีเรื่องอะไรจะให้ข้าช่วย ก็ไปยังสำนักมารกำเนิด ปกติข้าอยู่ที่นั่น”

“ได้! ติดหนี้ท่านอีกแล้ว” หลี่ซุ่นซียิ้มอย่างหนักใจ

“ค่อยๆ ใช้คืนเถอะ” ลู่เซิ่งคร้านจะพูดไร้สาระ ในเมื่อยืนยันแล้วว่าหลี่ซุ่นซีเป็นคนส่งข่าวเรื่องภัยพิบัติมารมาให้จริงๆ อย่างนั้นความจริงก็น่าสนใจแล้ว

“ดึกมากแล้ว วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน ถ้ามีโอกาสค่อยพบกันวันหน้า ข้าขอตัว!” เขาบอกลาหลี่ซุ่นซี ก่อนจะหมุนตัวจากไป

“ได้” หลี่ซุ่นซีมองเงาหลังของอีกฝ่ายค่อยๆ หายไปภายใต้รัตติกาล พ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ยังขยับได้ไหม ถ้ายังขยับได้ก็รีบหนีเถอะ ถ้าไม่ไปอีกข้าเกรงว่าจะไปไม่ได้แล้ว”

“ยังไม่ตาย…” เสียงอ่อนแรงของอสรพิษผนึกน้ำแข็งดังออกมาจากในตัวรถ

“ยังไปได้” ซุนเมิ่งฝืนตอบ

“อย่างนั้นก็พาเหลียนจีไปด้วย พวกเราไป” หลี่ซุ่นซีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

การเข้าร่วมงานเลี้ยงจนจบ ทำให้ลู่เซิ่งยืนยันได้อย่างแท้จริงถึงความเป็นไปได้ที่ภัยพิบัติมารจะมาถึง

เขาเชื่อหลี่ซุ่นซี และเชื่อหยกลี้ลับ

หลี่ซุ่นซียังได้ส่งจดหมายแจ้งเตือนให้แก่ตระกูลซั่งหยางที่รับผิดชอบความปลอดภัยในบริเวณใกล้เคียง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนประสบความทุกข์ยาก น่าเสียดายที่ไร้ประโยชน์ ถูกมองเป็นคำโกหกและเรื่องตลก ไปถึงแค่ระดับกลางก็ถูกปัดตกแล้ว

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือน

นอกจากสำนักมารกำเนิดจะมีเด็กสาวที่ชื่อว่าหลิงฮุ่ยเพิ่มมา ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นอีก

ลู่เซิ่งรวบรวมสุมนไพรมีพิษทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ซั่งหยางจิ่วหลี่ให้ความสะดวกสบายในด้านนี้มากที่สุดโดยการแนะนำช่องทางของตระกูลซั่งหยางให้เขา และให้เขาเลือกซื้อเอง

ลู่เซิ่งใช้เวลาแค่ครึ่งเดือนในการรวบรวมยาพิษ ที่เดิมทีไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะรวบรวมเสร็จจนครบ จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครึ่งเดือนฝึกฝนร่างมารรกร้าง

ความเร็วในการพัฒนาพุ่งทะยานเหมือนอย่างที่เขาคาดไว้ ร่างมารรกร้างกระโดดจากระดับเบื้องต้นสู่ระดับกลางถึงสูงในเวลาไม่นาน ทั้งยังฝึกฝนพื้นฐานแต่ละอย่างจนเสร็จ สุดท้ายก็ถึงขั้นดูดซับพิษและเริ่มฝึกฝนร่างมารต่อ

สวบ!

ลู่เซิ่งเสียบมือข้างหนึ่งเข้าไปในผนังกำแพง แล้วกดด้านในผนังหินที่อ่อนเหมือนกับเต้าหู้สองสามรอบ ไม่นานกำแพงหินก็ค่อยๆ หมุน แล้วเปิดเป็นช่องประตูทรงกลม

ด้านในช่องทรงกลมเป็นอุโมงค์สีฟ้าที่โล่งกว้างและวังเวง

ลู่เซิ่งชักมือออกมา จากนั้นก็ก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เขาข้ามแท่นบูชา ไม่นานก็เห็นเจ้ากลม ไข่ยักษ์ที่มีแขนขาของมนุษย์ใบนี้ ยังคงนั่งนิ่งอยู่กลางค่ายกล ไม่ได้ขยับไปไหน

และบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังคงส่องแสงสีฟ้าใส่ยอดถ้ำ จากนั้นแสงก็สะท้อนลงมา กลายเป็นแหล่งแสงเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่

ครึ่กๆ…

ช่องทรงกลมค่อยๆ ปิดลงด้านหลังลู่เซิ่ง

เขาอ้อมผ่านแท่นบูชาและเจ้ากลม เดินไปหาบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างเชื่องช้า

ผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อไปเป็นแขกที่สำนักอื่นพอดี ลู่เซิ่งจึงคิดมาทดลองพลังในปัจจุบันของตนที่นี่

มีพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกยิงออกมาอย่างบ้าคลั่งรอบๆ บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นพลังระดับปฐมซึ่งแข็งแกร่งกว่าผงสีขาวในตอนนั้นมาก

แต่ตอนนี้เขาสามาถใช้การปรับระยะห่าง มาควบคุมความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังชนิดนี้ได้ ใช้ทดลองได้พอดีว่าระหว่างตนกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังมีความแตกต่างกันมากขนาดไหน

ตุบ ตุบ ตุบ…

ลู่เซิ่งเดินไปหาบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ทีละก้าว พอเข้าใกล้ น้ำในบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าแวววาวก็ค่อยๆ กระเพื่อมขึ้น เกิดเป็นระลอกคลื่นมากมาย เหมือนกับถูกลมพัดใส่

ตอนที่ระยะห่างหดเหลือแค่สองก้าว ลู่เซิ่งก็หยุดนิ่ง

‘ครั้งก่อนเราโดนกัดกร่อนนิ้วตรงนี้’ เขายื่นมือขวาออกไปอีกครั้ง ชี้นิ้วชี้ออกไป

‘ครั้งนี้ ลองดูอีกที…’

ครั้งนี้เขาฝึกฝนร่างมารอัคคีแค้นสำเร็จแล้ว บวกกับร่างมารสดับสงัด ร่างมารสองร่างทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน อานุภาพย่อมเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก

พรึ่บ!

เปลวเพลิงข้นหนืดสีดำสนิทกลุ่มหนึ่ง ลุกไหม้ขึ้นบนนิ้วชี้ของลู่เซิ่ง มีเปลวเพลิงสีดำซึมออกมาจากด้านในนิ้วของเขา ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดจากรอบๆ เปลวเพลิง

นี่คืออัคคีแค้น เปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างมารอัคคีแค้น

ศัตรูจะถูกกระตุ้นอารมณ์ด้านลบเช่นความริษยา ความแค้น ความไม่พอจากในจิตใจขณะถูกอัคคีแค้นเผา ในเวลาเดียวกันเปลวไฟชนิดนี้ยังมีความร้อนเหนือกว่าอัคคีพิษ ที่ร่างมารอัคคีแค้นอาศัยอัคคีแค้นจนกลายเป็นหนึ่งในร่างมารที่มีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งที่สุดในสำนักได้ เป็นเพราะความพิเศษสองสามอย่างนี้เอง

ลู่เซิ่งมองอัคคีแค้นบนนิ้วอย่างระมัดระวัง ไฟกลุ่มเล็กๆ นี้สามารถทำลายตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าระดับอสรพิษได้อย่างง่ายดาย ถึงขั้นมีการคุกคามอย่างยิ่งยวดต่อระดับอสรพิษ

ฟุ่บ!

นิ้วชี้แหลมและใหญ่ขึ้น ไม่ใช่นิ้วมือมนุษย์อีกต่อไป แต่เหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายบางชนิดมากกว่า

ลู่เซิ่งค่อยๆ ยื่นนิ้วชี้เข้าไปในอาณาเขตสองก้าวรอบๆ บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์

ซู่…

ควันดำจำนวนมากลอยออกมาจากนิ้วมือ

หนึ่งอึดใจ…อัคคีแค้นมอดดับ

สองอึดใจ…ผิวหนังดำเกรียม

สามอึดใจ…เลือดเนื้อแห้งเหี่ยว กระดูกจับตัวแข็ง…

ฉัวะ

ลู่เซิ่งใช้ฝ่ามือฟันนิ้วตัวเองขาด ถ้าไม่ใช่เขาตอบสนองทันเวลา ครั้งนี้คงหายไปทั้งมือ

‘แต่การมาในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า ตอนแรกยื่นออกไปได้แค่หนึ่งวินาที ก็ต้องรีบชักกลับแล้ว ส่วนตอนนี้ทนได้สามวินาที พัฒนาการถือว่าเร็วใช้ได้’ ลู่เซิ่งสัมผัสพลังอันมหาศาลที่ยิ่งใหญ่หากละเอียดนั้นได้

สามอึดใจ…

เขาเงียบสักพัก ก้มหน้ามองนิ้วที่ขาดไป นิ้วนิ้วนั้นกลายเป็นผงสีดำโดยสิ้นเชิง ก่อนจะถูกลมพัดกระจาย ส่วนนิ้วชี้ของเขาก็งอกขึ้นมาใหม่

‘ดูเหมือนจะยังขาดอีกมาก…’

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ มองบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วล่าถอยออกจากถ้ำอย่างช้าๆ

เพิ่งจะเดินไปถึงถ้ำด้านนอก ลู่เซิ่งก็สะดุดใจ คล้ายกับได้ยินใครบางคนกำลังเรียกเขา

ไม่ได้เรียกชื่อ แต่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกตนอยู่

“…มาที่นี่…มาที่นี่…” เสียงร้องเรียกปริศนาดังมาอย่างเลือนราง

เขาลังเลเล็กน้อย แล้วเดินไปยังทิศทางที่เสียงดังมา

ลู่เซิ่งตัดทะลุสิ่งก่อสร้างว่างเปล่ามากมาย ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของตำหนักวิชาลับ มีศิษย์สำนักสองคนเฝ้าอยู่ตรงประตู

“พวกเจ้าได้ยินเสียงเมื่อครู่ไหม” ลู่เซิ่งถาม

“เรียนศิษย์พี่ลู่ พวกเราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยขอรับ” ศิษย์ที่เฝ้าประตูคนหนึ่งก้าวเข้ามาตอบ

หลังเดินผ่านศิษย์ทั้งสองคน ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงเรียกนั้นีก ยิ่งมายิ่งเร่งเร้า ยิ่งมายิ่งชัดเจน

แกร่ก ลู่เซิ่งเดินตัดผ่านด่านมากมาย ในที่สุดก็มายืนอยู่ตรงหน้าห้องผนึกอีกครั้ง

เขารู้ว่าน่าจะเป็นเสียงเรียกของมารตนนั้น แต่ว่ามนุษย์กับมารอยู่ในเส้นทางที่แตกต่างกัน เขากับอีกฝ่ายไม่มีอะไรต้องคุยกัน ส่วนภัยพิบัติมาร สำนักมารกำเนิดอยู่ใกล้ๆ หนึ่งร้อยเมืองชั้นในของราชวงศ์ต้าซ่ง ต่อให้เกิดภัยพิบัติมาร ก็อยู่ค่อนมาด้านหลัง

ถึงเวลานั้นจะมียอดฝีมือของตระกูลขุนนางกับสำนักอื่นๆ ไปรับมือ ยิ่งไปกว่านั้นภัยพิบัติมารจะเกิดจริงๆ หรือไม่ก็ยังไม่แน่

ถึงอย่างไรสิ่งที่หยกลี้ลับทำนายก็เป็นแค่ความเป็นไปได้หนึ่ง ถ้าหากรับมือได้อย่างเหมาะสม ก็จะไม่เกิดภัยพิบัติมาร

ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนักวิชาลับ ในที่สุดก็ไม่ได้เข้าไป เขายังฝึกฝนร่างมารรกร้างไม่สำเร็จ ไม่มีเวลาให้เสียไปในที่นี่

เรือนสุดประจิม ตำหนักหลักบุปผาพิสดาร

จ้าวจื่อผู้ครองเรือนสุดประจิมนั่งบนตำแหน่งหลักอย่างสง่างามหนักแน่น ยิ้มบางพลางกวาดตามองยอดฝีมือในเรือนทุกคนที่อยู่รอบๆ

หวงฟู่ทารกโลหิตนั่งอยู่ทางขวาของเขา โจวจื้อเฉินรองผู้ครองเรือนนั่งอยู่ทางซ้าย

“ส่งเทียบเชิญไปแล้วหรือยัง” จ้าวจื่อถามรองผู้ครองเรือนเบาๆ

“ส่งไปหมดแล้วขอรับ เจ้าสำนักทั้งหมดสิบเก้าคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้รับกับมือ ไม่มีตกหล่นแน่” โจวจื้อเฉิงพยักหน้า

“อย่างนั้นเรื่องที่จะปรึกษาเป็นหลักในงานชุมนุมครั้งนี้ ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องการต้อนรับอย่างเป็นรูปธรรมในการจัดชุมนุมสุราบุปผาพิสดาร”

“ชุมนุมสุราบุปผาพิสดาร ได้รับการยกย่องเป็นชุมนุมพันธมิตรขนาดเล็ก เจ้าสำนักที่อยู่รอบๆ ล้วนให้เกียรติมาเอง ถึงตอนนั้นจะเป็นการประชุมของทุกสำนักอีกครั้ง เรือนสุดประจิมของเราในฐานะผู้จัดงาน จะต้องทำภารกิจต้อนรับให้ดี…”

โจวจื้อเฉิงรองผู้ครองเรือนไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่า ทำไมผู้ครองเรือนถึงจะจัดชุมนุมสุราบุปผาพิสดารในครั้งนี้ก่อนหนึ่งเดือน

แต่ในเมื่อผู้ครองเรือนสั่ง เขาก็ได้แต่ปฏิบัติตาม

จ้าวจื่อฟังผลการตัดสินใจที่รองผู้ครองเรือนเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้ม แต่พอเห็นทุกคนที่อยู่ด้านล่างไม่มีความคิดคัดค้าน เขากลับถอนใจเบาๆ

แอบซ่อนมาชั่วชีวิต สุดท้ายก็จะถึงเวลาเปิดเผยแล้ว ความจริงถ้าเทียบกับการใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าเดิม เขาชอบวันเวลาที่สงบสุขของพวกมนุษย์มากกว่า

เสียดาย…ที่วันเวลาแบบนี้เป็นแค่บุปผาในคันฉ่อง จันทราในน้ำ

ชุมนุมสุราบุปผาพิสดารในครั้งนี้ เขาเพียงแค่เชิญเจ้าสำนักสิบเก้าสำนักกับอาคันตุกะจากตระกูลขุนนางมารวมตัวกัน แล้วให้วิญญาณมารลงมือสังหารเอง ก็นับว่าภารกิจลุล่วงแล้ว

ถึงเวลานั้น กำลังหลักต่อต้านทั้งหมดที่อยู่รอบๆ จะล่มสลายลงโดยสมบูรณ์ ไม่มีผู้ใดต่อต้านการบดขยี้ของทัพมารร้ายได้อีก

ประตูเลือดเนื้อจะถูกตั้งขึ้น ก่อนที่ยอดฝีมือมนุษย์จะมาถึง

แม้แผนการจะเรียบง่าย แต่ให้ความสำคัญกับความเร็ว ขอแค่เร็วพอ ก็จะไม่มีช่องโหว่

……………………………………….