บทที่ 267 มหันตภัย (3)
เดือนสิบ
ฝนที่ตกอย่างหนักหน่วงปกคลุมเมืองกระดิ่งขาวทั้งเมืองจนขาวมัวซัว
นกพิราบตัวเล็กที่มีตาสีแดงปีกสีขาวหลายตัว สร้างรังในร่องแยกใต้ชายคา พวกมันส่งเสียงจิ๊บๆ ดังเป็นจังหวะ
ทารกโลหิตหวงฟู่เอามือไพล่หลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก้มมองถนนด้านทิศเหนือที่ว่างเปล่าด้านนอกอย่างเงียบเชียบ
เขายืนอยู่แบบนี้มานานแล้ว หลังจากคนผู้นั้นเข้ามา ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
“ข้านึกว่าเจ้าทราบแล้วเสียอีก” เสียงของบุรุษที่อยู่ด้านหลังทุ้มต่ำ แสดงความกังวลเล็กน้อย
เป็นไป๋ซิวจากวังหมื่นสุข ที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะของสำนักเหมือนกัน
“ทราบอะไร ต่อให้ทราบแล้วอย่างไร ผู้ครองเรือนวางแผนเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา” หวงฟู่ตอบเสียงทุ้ม
“แต่ปิดไว้อย่างมิดชิดแบบนี้ เกิดมีเรื่องเหนือความคาดหมาย ด้านในด้านนอกตัดขาดจากกัน…ผลลัพธ์จะร้ายแรงขนาดไหน เจ้าเองก็น่าจะรู้” ไป๋ซิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
หวงฟู่เงียบงัน ไม่รู้ว่าทำไมการวางแผนแต่ละอย่างต่อจากนี้ของผู้ครองเรือนจึงไม่เหมือนกับการจัดงานเลี้ยงสุราโดยสิ้นเชิง แต่เหมือนกำลังเตรียมทำศึกมากกว่า
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอยู่ชั่วขณะ ผ่านไปอีกสักพักก็มีศิษย์สำนักวิ่งอย่างรีบเร่งมาจากด้านนอก
หลังจากศิษย์เข้ามา ก็กล่าวเบาๆ ข้างหูไป๋ซิวหลายประโยค
“สนใจจะไปดูหรือไม่ ช่วงนี้ในเมืองมีฆาตกรก่อคดีฆ่าทำลายศพต่อเนื่อง” ไป๋ซิวเสนอ
คดีฆ่าทำลายศพต่อเนื่องเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นติดต่อกันในเมืองกระดิ่งขาวเมื่อไม่นานมานี้ สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด
ขุนนางที่ทำคดีจากราชสำนักรู้สึกผิดปกติ จึงมอบคดีนี้มาให้ทางสำนักร้อยเส้นสาย ดังนั้นวังหมื่นสุขจึงรับผิดชอบการจับกุมในเรื่องนี้
หลังจากการเข้าจับกุมหลายครั้งล้มเหลวติดต่อกัน อีกทั้งยังมีศิษย์ของวังหมื่นสุขบาดเจ็บล้มตายหลายคน ศิษย์จำนวนมากก็เริ่มเคลื่อนไหว แต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับมาทุกครั้งไป ท้ายที่สุดไป๋ซิวที่รับผิดชอบกิจการหลักด้านนี้ก็ตื่นตัว ออกโรงจัดการเอง
“คดีฆ่าทำลายศพต่อเนื่อง…ว่ากันว่าตระกูลซั่งหยางก็ตรวจสอบอยู่เหมือนกัน ไปเถอะ” หวงฟู่หมุนตัวมา
“รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ลองดูว่าฆาตกรที่ถูกจับมาทำไปเพื่ออะไรกันแน่” ไป๋ซิวทุ่มกำลังคนไปกับคดีนี้ไม่น้อย
ทั้งสองออกจากห้อง ด้านนอกตัวลานมีบริวารเตรียมรถม้าไว้แล้ว ทั้งสองขึ้นรถม้าพร้อมกัน ขบวนมุ่งหน้าไปตามถนนท่ามกลางสายฝน ฝนตกกระหน่ำใส่ตัวรถเกิดเสียงเปาะแปะหนาแน่น
หลังเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา และทะลุย่านค้าขาย รถม้าก็หยุดลงหน้าประตูบ้านคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่แขวนโคมตะเกียงสีขาวเอาไว้
บัวขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของงานศพติดอยู่บนประตูใหญ่สีแดงของบ้านหลังนี้ สองฟากแขวนห่วงโซ่กระดาษขนาดเล็กแต่ยาวเหยียดเอาไว้ กำลังส่ายไปมาเพราะสายฝน
ท่ามกลางสายฝน บริวารส่วนหนึ่งยืนกางร่มอยู่กับผู้เป็นหัวหน้าด้านหน้าประตูใหญ่ รอคอยรถม้าเข้ามาใกล้
พอคนทั้งสองลงจากรถม้า คนกลุ่มนี้ก็เข้ามาห้อมล้อมพวกเขา แล้วมุ่งหน้าไปยังด้านในลานคฤหาสน์ คนจากขุมกำลังต่างๆ ยืนอยู่ในตัวลาน ขุนนางที่ทำคดีของราชสำนัก มือปราบห้องลงทัณฑ์จากจวนขุนนาง ยังมีญาติที่เป็นขุนนางของคนในบ้านหลังนี้ ต่างรวมตัวรอคอยอยู่ที่นี่
ไป๋ซิวกับหวงฟู่ไม่ได้สนใจคนอื่น เพียงเดินเข้าโถงหลัก เห็นบุรุษผอมแห้งคนหนึ่งถูกมัดอยู่ตรงมุมหนึ่ง และศพขนาดต่างกันสามศพที่นอนอยู่บนพื้น
หัวหน้ามือปราบที่ติดตามเข้ามาอธิบายเสียงแผ่ว “บุรุษผู้นั้นชื่อหวงเปียนเหอ ไม่นานมานี้มีคนเห็นเขามีร่องรอยน่าสงสัย โดยเพ่นพ่านอยู่ริมแม่น้ำพร้อมอุ้มเสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นเหม็นไว้กองหนึ่ง มีคนจับเขาไว้แล้วทำการสอบสวน แต่ไม่ได้ความอะไร สุดท้ายก็มีคนแจ้งว่า คนสามคนของครอบครัวที่อยู่ใกล้ๆ ถูกฆ่าตายมาหลายชั่วยามแล้ว…”
“ฆาตกรคือเขาหรือ” ไป๋ซิวถาม
“ขอรับ มีพยานไม่น้อยเห็นเขาเดินออกไปจากบ้านหลังนี้” มือปราบตอบอย่างนบน้อม “นายท่านผู้อาวุโสใหญ่ใช้กองกำลังสองกลุ่มยังจับเขาไม่ได้ ภายหลังเป็นศิษย์ของวังหมื่นสุขลงมือจึงค่อยจับตัวเขาไว้ได้”
ไป๋ซิวขมวดคิ้ว พิจารณาหวงเปียนเหอบุรุษผอมแห้งที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้นอย่างละเอียด
คนผู้นี้ผอมเตี้ยเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าซีดขาว ตาเหลือง ทั้งคล้ายกับอมโรค นอกจากนี้แล้ว ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือตาที่แข็งทื่อ เซื่องซึม ไม่มีชีวิตชีวา ถึงขั้นที่ม่านตาแตกซ่านอยู่บ้าง และไม่มีจุดรวมศูนย์แม้แต่น้อย
ไป๋ซิวมองหวงฟู่ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังส่ายหน้าให้เขา
“ไม่มีอะไรผิดปกติหรือ” ไป๋ซิวรู้ความสามารถของเพื่อนสนิทดี เขาใช้การควบคุมเลือดลมของคนอื่นมาตรวจสอบสภาพในร่างกายของอีกฝ่ายได้ ต่อให้อยู่ในตระกูลขุนนาง วิชาลับของหวงฟู่ก็แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งไม่มีสอง คนจากตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยสู้เขาไม่ได้
ต่อหน้าหวงฟู่กล่าวได้ว่านอกจากศัตรูและคู่ต่อสู้ที่มีพลังเหนือกว่าเขา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครปิดบังตนเองต่อหน้าเขาได้
“แค่คนธรรมดา” หวงฟู่กล่าวอย่างราบเรียบ “หนำซ้ำยังสภาพแย่ยิ่ง คิดว่าแม้แต่เด็กที่แข็งแรงหน่อยก็ต่อยเขาคว่ำได้”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่” ไป๋ซิวถามอย่างสงสัย
เขาเดินเข้าไปใกล้
“ระวังด้วย คนผู้นี้เสียสติแล้ว!”
แต่หวงเปียนเหอเคลื่อนไหวก่อน
เขาที่ตอนแรกนอนอยู่เหมือนกับถูกเปิดกลไก สองขาพลันชี้ตรง มีของเหลวโปร่งแสงปริศนาหลั่งออกมาจากหู ตา จมูก ปาก ทั้งยังส่งเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่า พร้อมพุ่งเข้าใส่ไป๋ซิว
โฮก!
หวงเปียนเหอกับเสียงที่เปล่งออกมาอย่างบ้าคลั่งและไร้สติปัญญาเหมือนสัตว์ป่าจริงๆ
ไป๋ซิวจี้นิ้วใส่หว่างคิ้วของเขา พลันทิ่มอีกฝ่ายสลบไป แล้วถอนหายใจ
“นี่คือวิธีการที่เขาลอบโจมตีคนอื่น” เขาหันไปมองมือปราบที่อยู่ด้านข้าง
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ ก่อนหน้านี้คนคนนี้ทำร้ายเจ้าหน้าที่หลายนายติดต่อกัน อย่าเห็นว่าตอนนี้เขาผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง ก่อนหน้านี้มีพละกำลังมากจนน่าตกใจ” มือปราบกล่าวเสริม
“พละกำลังนี้…” ไป๋ซิวรับรู้ได้ถึงแรงของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับชายฉกรรจ์สองคนรวมพลังกัน จึงขมวดคิ้วน้อยๆ คนธรรมดาไม่อาจใช้แรงแบบนี้ได้ง่ายๆ
“ให้ข้าดูหน่อย” หวงฟู่ที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามา พลันพุ่งมือขวาออกไปดุจสายฟ้าฟาด
ฉึก!
เขาจับหน้าอกด้านซ้ายของหวงเปียนเหอ ห้านิ้วจิกลึกเข้าไป ฉีกเลือดเนื้อและเสื้อผ้าทั้งหมดจนขาด เผยให้เห็นทรวงอกที่ว่างเปล่า
“ว่างเปล่าหรือ?!” ไป๋ซิวงุนงง
ทุกคนที่อยู่ด้านหลังตกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าหวงฟู่จะลงมืออย่างฉับพลันแบบนี้ แต่ภาพที่เห็นต่อจากนั้นกลับทำให้จิตใจของพวกเขาเย็นเยียบ
ในทรวงอกด้านซ้ายของหวงเปียนเหอถึงกับไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
ไม่มีหัวใจ ไม่มีหลอดเลือด มีแค่ความว่างเปล่าสีแดงก่ำผืนหนึ่ง
“นี่มัน!?” ไป๋ซิวกับหวงฟู่แลกเปลี่ยนสายตากัน จิตใจต่างก็หนักอึ้ง
…
สำนักมารกำเนิด ธารหมอกพิษ
ลู่เซิ่งอยู่ในสภาพหยางโชติช่วง ถือวัสดุมีพิษแต่ละชนิดที่รวบรวมไว้ก่อนแล้ว
‘ชนิดที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่’
เขาจำตัวเลขในใจ แล้วยัดงูเขียวสองหัวในมือเข้าปาก
รสสัมผัสเหมือนกับสะระแหน่ค่อยๆ แผ่กระจายในช่องอก จากนั้นก็รู้สึกชา คัน และเจ็บปวดน้อยๆ
ลู่เซิ่งหลับตาและค่อยๆ สัมผัสความแตกต่างของสารพิษแต่ละชนิด เขาในตอนนี้กินสารพิษที่มีพิษรุนแรงจนทำให้คนหลายสิบคนตายในพริบตาได้อย่างกับกินพริก ช่องปากเพียงเผ็ดแสบเล็กน้อย
เป็นเพราะเขาต้านพิษได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นขั้นตอนการดูดซับพิษของร่างมารรกร้างจึงง่ายดายสุดขีดสำหรับเขา
‘ชนิดที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า…’
ลู่เซิ่งหยิบตะขาบมีชีวิตสีเขียวออกมาจากในถุงผ้าป่านกำหนึ่ง แล้วยัดเข้าปาก
ฟันแหลมเล็กเต็มสองแถวของเขาอ้าหุบยามเคี้ยว พริบตาเดียวก็เคี้ยวตะขาบทุกตัวจนแหลกแล้วค่อยกลืนลงไป
‘ชนิดที่หนึ่งร้อยยี่สิบหก’ จากนั้นเขาก็หยิบคางคกสีฟ้าขนาดเท่าศีรษะคนตัวหนึ่งออกมาจากในถุงย่าม แล้วกัดหัวของมัน คางคกพลันฉีกออกเป็นสองท่อน ละอองเลือดสาดกระจาย เขาบีบมันเป็นก้อน ก่อนจะยัดเข้าปาก
หลังจากกินน้ำในธารหมอกพิษเข้าไป ขีดจำกัดอาหารของลู่เซิ่งก็ตกต่ำถึงขั้นที่แย่มาก สกปรกหรือ คาวหรือ มีพิษหรือ
ล้วนไม่เป็นไร
ขอแค่มีประโยชน์ กินลงไปแล้วไม่ตาย ลู่เซิ่งก็ยัดใส่ปากได้ทั้งสิ้น
ผ่านการฝึกฝนร่างมารรกร้าง แนวคิดขอแค่มีประโยชน์ก็กระเดือกลงได้ประทับในความทรงจำของเขาอย่างล้ำลึกไปแล้ว
มารหยินทั้งเก้าสลายตัวสลับกัน ต่อให้เป็นพิษที่รุนแรงกว่านี้ มารหยินทั้งเก้าก็แบ่งกันรับได้
หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด…
หนึ่งร้อยสามสิบห้า…
ลู่เซิ่งกินพิษรุนแรงชนิดต่างๆ โดยการกินวันละห้าสิบชนิดเป็นสัดส่วนสูงสุดที่เขาทดสอบด้วยตัวเอง
สารพิษอันน่ากลัวที่ทำให้คนเป็นร้อยเป็นพันคนตายได้เหล่านี้ ถูกกายเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวและเหี้ยมหาญจนน่าเกลียดของเขาย่อยสลายโดยสิ้นเชิง พร้อมกับถูกดูดซับ จนกลายเป็นวังวนพิษร้ายสำหรับร่างมารรกร้าง ถ้าหากได้รับความเสียหาย ปราณขวดสมบัติก็จะรักษาต่อเนื่องด้วยการฟื้นฟูในพริบตา
จนกระทั่งกินถึงชนิดที่หนึ่งร้อยห้าสิบ ลู่เซิ่งก็รู้สึกอย่างเลือนรางได้ว่าในที่สุดวังวนพิษในร่างของตัวเองก็มีแนวโน้มจะเต็มแล้ว
‘ในที่สุดก็พอได้แล้ว ควรเริ่มฝึกร่างมารรกร้างอย่างเป็นทางการได้สักที…’
เขาลุกขึ้นยืนในถ้ำ กายเนื้อสูงถึงแปดหมี่ หนามบนหลังน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนมารผี มีเขาของกระทิง ตุ่มเนื้อที่บิดเบี้ยวเหมือนเนื้องอก เกราะเหล็กที่ทั้งแข็งและหยาบสีดำ รวมถึงฟันอันน่าสะพรึงกลัวที่แน่นขนัดและคมกริบดั่งเลื่อยสองแถว
ถ้ามีศิษย์สำนักมารกำเนิดเห็นสภาพเขาในตอนนี้ คงจะไม่มีใครคิดว่านี่คือศิษย์พี่ลู่เซิ่ง ซึ่งเป็นผู้นำที่พวกเขาเคารพเทิดทูนมาโดยตลอด
การฝึกฝนร่างมารรกร้างจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก สำหรับลู่เซิ่งที่รองรับสารพิษมากมายได้อย่างสบายๆ แค่ต้องรวมพลังมารกำเนิดพิษร้ายในตัวให้กลายเป็นเมล็ดแห่งความรกร้างโดยสมบูรณ์ก็พอ
เมล็ดแห่งความรกร้างเป็นแกนหลักที่แท้จริงของร่างมารรกร้าง ยังไม่ทราบว่ามันมีหลักการอย่างไร เพียงแต่ถ้าใช้พลังมารกำเนิดที่แตกต่างกันสามสิบเก้าชนิดมาประกอบกันเป็นรูปแบบซ้ำไปซ้ำมา ก็จะสร้างเมล็ดแห่งความรกร้างที่แข็งแกร่งสุดขีดในร่างได้
ความยากและอานุภาพตั้งแต่เมล็ดเม็ดแรกจนถึงเมล็ดเม็ดสุดท้าย ของรูปแบบผสมผสานที่เกิดจากการรวมพลังมารกำเนิดสามสิบเก้าชนิดเข้าด้วยกันนี้ จะเพิ่มขึ้นทีละระดับอย่างต่อเนื่อง พอถึงรูปแบบสุดท้าย ความยากในการผสมผสานจะเหนือกว่าค่ายกลคุ้มครองซึ่งมีเค้าโครงขนาดใหญ่เสียอีก
พึงทราบว่าค่ายกลชนิดนั้นเป็นค่ายกลซึ่งมีความยากสูงมาก ชนิดที่ต้องให้คนหลายสิบคนศึกษาเรียนรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ถึงจะจัดตั้งขึ้นมาได้
พรึ่บ!
อัคคีพิษสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏบนฝ่ามือลู่เซิ่ง
‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน ก่อนจะจิ้มบนปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
กรอบสีน้ำเงินเข้มเพิ่งโผล่มาก็กะพริบน้อยๆ จากนั้นก็เข้าสู่สภาพปรับเปลี่ยนได้
‘เริ่มการประกอบเมล็ดเม็ดแรก’
ลู่เซิ่งเจอกรอบร่างมารรกร้างบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน เขาหลับตาและเริ่มชักนำพลังมารกำเนิดในร่าง จากนั้นก็ค่อยๆ กรอกมันใส่อัคคีพิษบนมือ ตามปราณมารกำเนิดที่เป็นพิษในร่างกาย
อัคคีพิษของร่างมารรกร้างมีชื่อว่าอัคคีรกร้าง ซึ่งแสดงอานุภาพในด้านการโจมตีด้วยพิษเป็นหลัก อานุภาพด้านอื่นๆ เพิ่มมาไม่มากนัก
‘อัคคีพิษของร่างมารสดับสงัดเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั่วไป ร่างมารอัคคีแค้นสร้างอัคคีแค้น ร่างมารรกร้างได้อัคคีรกร้างมา หากร่างมารสามชนิดใช้แกนหลักของอัคคีพิษร่วมกัน สุดท้ายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกันแน่’
พลังมารกำเนิดเริ่มไหลเวียนด้วยความเร็วสูงด้านในร่างเขา ไม่นานก็กลายเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ทั้งแปลกประหลาดและบิดเบี้ยว
หลังจากปราณขวดสมบัติถูกใช้อย่างรวดเร็ว การผสมผสานกันครั้งแรกก็สำเร็จอย่างง่ายดายยิ่ง
จากนั้นก็เป็นการผสานกันครั้งที่สอง
……………………………………….