พอจอมมารทะเลเลือดเล่าจบ

 

สองแขนของเขาก็อ้าออก สาดสายตามองไปยังฝูงชนด้วยรอยยิ้ม

 

“เป็นไง? ทีนี้ทุกคนก็จะยอมกลับมาเป็นสหายกับข้าอีกครั้งแล้วใช่ไหม” เขากล่าวอย่างจริงใจ

 

อย่างไรก็ตาม

 

บรรยากาศในที่เกิดเหตุราวกับถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์

 

แบรี่มองไปยังสุนัขเพลิงที่กำลังแผ่พุงอยู่บนพื้น และหันกลับไปมองฝูงชนที่อยู่เบื้องหลัง “ถ้าฉันอัดมัน คงจะไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะใช่ไหม?”

 

“ซัดมันเลย!”

 

ทุกคนคำรามเป็นเสียงเดียวกัน

 

“เอ้า เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้?” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยความสับสน

 

เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว

 

แต่ในช่วงเวลานั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวเหมียวก็ค่อยๆเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น — เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง!

 

“ระวัง!” เธอกรีดร้องออกมา

 

“อะไร-”

 

จอมมารทะเลเลือดหันกลับไปอีกด้าน

 

เห็นแค่เพียงรอยแยกมิติที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กว้างกว่าเดิมนับสิบเท่า

 

ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน แขนสีดำขนาดใหญ่ก็ผลุบออกมาจากรอยแยกและคว้าจับตัวจอมมารทะเลเลือดเอาไว้

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ .. ตายซะ!”

 

เสียงหัวเราะแปร่งๆดังขึ้น

 

และมือสีดำขนาดใหญ่ก็กำแน่นทันที

 

“โผล๊ะ!”

 

ร่างของจอมมารทะเลเลือดแตกออกเป็นไพ่ในพริบตา ก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะบินไปรวมตัวกันอีกครั้งข้างกายแบรี่

 

เขาเช็ดเลือดตรงมุมปากและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จู่ๆก็เล่นทีเผลอเรอะ … ”

 

“เสี่ยวเหมียว สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง!” แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และตะโกนถามลั่น

 

“นั่นมันผู้เพาะพันธุ์อสูร! เป็นผู้สั่งการอสูรกาย! มันกำลังคิดจะพากองทัพอสูรกายหลายสิบล้านตนที่อยู่เบื้องหลังเคลื่อนย้ายผ่านรอยแยกมิติ!

 

ในหัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน

 

ไม่คาดคิดเลย ว่าจู่ๆการต่อสู้ขั้นแตกหักจะมาเยือนอย่างกระทันหัน!

 

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของเหล่าตัวตนทรงอำนาจ

 

ด้วยการที่ก่อนหน้านี้ทะเลเลือดเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะเผ่ามารนับล้านได้ ทุกคนจึงคิดว่ามันคงจะเป็นเพียงการต่อสู้ทั่วๆไป

 

แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆผู้เพาะพันธุ์อสูรจะปรากฏตัวขึ้นมา!

 

ไอ้เจ้าตัวนี้มันไม่ใช่เผ่ามารธรรมดาๆ แต่เป็นมารที่แท้จริง!

 

ภายในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เผ่ามารน่ะเป็นเพียงลูกสมุน และมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะเป็นทหารระดับสูงยิ่งกว่า

 

ขณะที่เหนือเผ่ามารสามัญขึ้นไป คืออาวุธสงครามอย่างอสูรกาย

 

และผู้ที่คอยสร้างอสูรกาย หรือกระทั่งรับหน้าที่ในการเป็นผู้นำการรุกราน วางกลยุทธ์สงคราม และการฆ่าล้างทั้งหมดก็คือ ‘มาร’

 

มารคือสิ่งชั่วร้ายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ผลักดันให้โลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นจมลงสู่วิถีแห่งการทำลาย

 

และเพื่อแยกมารกับเผ่ามารสามัญให้แตกต่างกัน ผู้คนจึงเรียกขานมันว่า ‘มารที่แท้จริง’!

 

ขณะที่ผู้เพาะพันธุ์อสูร – กระทั่งในหมู่มารที่แท้จริงด้วยกัน ก็ยังจัดว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานมารทรงอำนาจ

 

ไม่ว่าจะเป็น อสูรกายประเภทดัดแปลง , อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล หรือกระทั่งอสูรกายที่แท้จริง ทั้งสามประเภทที่กล่าวมานี้ ล้วนถูกผลิตและสรรสร้างขึ้นโดยมันทั้งสิ้น

 

ผู้เพาะพันธุ์อสูร คือมันสมองของอสูรกาย และตราบใดที่มันปรากฏตัวและยังมีชีวิตอยู่ในสถานที่ใด อสูรกายทุกตนจักต้องเชื่อฟังคำสั่งของมันอย่างไม่มีบิดพริ้ว

 

อาจกล่าวได้ว่า หากผู้เพาะพันธุ์อสูรปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่าระดับของสงครามในครั้งนี้จะถูกยกขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที!

 

การปรากฏตัวของมัน คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเผ่ามารคิดจะเริ่มสงครามอย่างเต็มรูปแบบ!

 

ภายในรอยแยกมิติที่เปิดออก เสียงแปร่งๆดังก้องขึ้นอีกครั้ง

 

“แต่เดิม พวกเราคิดจะใช้เชื้อไฟในการรุกรานศัตรู แต่ใครจะรู้ว่าสถานการณ์มันกลับเป็นใจถึงเพียงนี้ ฮี่ฮี่ฮี่”

 

“เอาล่ะ พวกแกทั้งหมดพร้อมที่จะตาย ท่ามกลางพยุหะของอสูรกายแล้วรึยัง-”

 

ด้วยเสียงของมัน รอยแยกมิติพลันขยายตัวกว้างออกอย่างรวดเร็ว

 

รอยแยกมิติขยายกว้าง ลากยาวขึ้นไปถึงผืนฟ้า แลคล้ายกับเทือกเขาตระหง่านที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน

 

บังเกิดกลิ่นอายของความสิ้นหวัง การสังหาร เลือดเนื้อ และความบ้าคลั่ง โชยออกมาจากรอยแยกที่ว่านี้

 

นี่คือสายลมที่โชยมาจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ผสมผสานไปกับกลิ่นอายสับสนวุ่นวายของอสูรกายนับล้านๆตน

 

ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป พวกมันก็จะข้ามผ่านมิติและเวลา ก้าวลงมายังที่นี่!

 

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

 

เสี่ยวเหมียวไม่คิดเก็บงำพลังของตนเองเอาไว้ได้อีกต่อไป เธอขบฟัน และทุ่มออกเต็มกำลัง

 

สองมือของเธอค่อยๆยื่นออกไปยังเบื้องหน้า -ในมิติที่ว่างเปล่าบังเกิดเสียงแตกร้าวอันคลุมเครือดังขึ้น คล้ายกับว่ากระจกแก้วขนาดใหญ่กำลังปริออก

 

สกิลเทวะ : จองจำมิติเวลา!

 

ตูม ตูมมมม!

 

พลังมิติที่มองไม่เห็นคล้ายดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ ถูกยิงออกไปอย่างรุนแรง ตรงเข้าสู่รอยแยกมิติด้วยเจตนาร้าย!

 

ในเสี้ยววินาทีต่อมา รอยแยกมิติก็เริ่มบิดเบี้ยว และผิดรูปไปทันที

 

“ไม่จริง!”

 

ผู้เพาะพันธุ์อสูรกรีดร้องด้วยความโกรธ

 

เห็นแค่เพียงในรอยแยกมิติที่ถูกเปิดออก ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกย่อขนาดจนเล็กลงอย่างรวดเร็ว หุบเข้าหากันตรงกึ่งกลาง กลายเป็นเพียงรูขนาดเล็ก

 

พริบตานั้นกลิ่นอายของอสูรกายทั้งมวลก็หายไปโดยสมบูรณ์

 

“แท้จริงแล้วกลับมีผู้ใช้เทคนิคมนตรามิติอยู่ที่นี่ด้วยหรือนี่” ผู้เพาะพันธุ์อสูรบ่นงึมงำ

 

“ปล่อยทิ้งไว้จะเป็นปัญหา คงต้องฆ่ามันก่อน-”

 

บังเกิดเงามืดผลุบออกจากรูเล็กๆของรอยแยกมิติ และพุ่งตรงไปยังเสี่ยวเหมียว

 

และมันว่องไว! ว่องไวจนเกินไป ส่งผลให้เสี่ยวเหมียวที่ยังคงมุ่งสมาธิอยู่กับเทคนิคของตน ไม่มีเวลามากพอที่จะขยับตนต่อต้าน!

 

อย่างไรก็ตาม เงามืดที่ว่าดันถูกขัดขวางไว้ด้วยไพ่ใบใหญ่เสียก่อน ยามเมื่อทั้งสองปะทะกัน ทั้งเงาทั้งไพ่ก็สลายหายไปในความว่างเปล่า

 

“ขอบใจนะ” เสี่ยวเหมียวหันไปพูดกับจอมมารทะเลเลือด

 

ทะเลเลือดพยักหน้ารับ

 

เสี่ยวเหมียวหันไปตะโกนลั่นบอกทุกคนว่า “ฉันสามารถยืดระยะเวลาของมันออกไปได้แค่สามนาทีเท่านั้น! ต่อจากนั้นกองทัพอสูรกายก็จะถูกส่งผ่านมา!”

 

และมันไม่ใช่กองทัพอสูรธรรมดาๆ แต่เป็นกองทัพอสูรกายที่ถูกควบคุมสั่งการโดยผู้เพาะพันธุ์!

 

แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และกล่าวกับฝูงชน “งั้นก่อนอื่น พวกเราจะต้องฆ่าเจ้าผู้เพาะพันธุ์อสูรให้ได้เป็นอันดับแรก! ฉันขอเปิดก่อนเลยแล้วกัน!”

 

ขณะที่จอมมารทะเลเลือดยกไพ่ที่สาดรังสีแสงสีเลือดขึ้นและกล่าว “ส่วนข้าจะปกป้องเสี่ยวเหมียวเอง และขณะเดียวกันจะคอยช่วยสนับสนุนเจ้าด้วย”

 

“ตะ .. ตกลงตามนั้น” แบรี่เหลือบกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ

 

แล้วไพ่ก็หายไปจากมือของจอมมารทะเลเลือด

 

โครม!

 

แสงสีเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

แบรี่กลายเป็นลมกรรโชก ระเบิดพุ่งตัวเข้าหารอยแยกมิติด้วยการเสริมพลังจากจอมมารทะเลเลือด

 

เบื้องหลังเขา จอมมารทะเลเลือดได้จั่วไพ่สองใบออกมาจากความว่างเปล่า

 

“เสี่ยวเหมียว เจ้าสามารถมั่นใจได้ ต่อให้ทุกคนและข้าจะตกตายลง แต่เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน เพราะมีทะเลเลือดของข้าคอยปกปักษ์อยู่ที่นี่”

 

ว่าแล้วเขาก็ประกบไพ่เข้าหากันด้วยสองมืออย่างรวดเร็ว

 

ปรากฏถึงทะเลสีเลือดอันไพศาล ค่อยๆซัดสาดไปทั่วบริเวณอย่างช้าๆ

 

ขณะที่เสี่ยวเหมียวแม้จะได้ยิน แต่เธอก็มิได้เอ่ยตอบกลับไป

 

นั่นเพราะเธอกำลังเค้นสมองคาดคำนวณการเคลื่อนย้ายของรอยแยกมิติอย่างหนักหน่วง และเธอจำต้องยืดกระบวนการนี้เอาไว้ เฝ้ารอเวลาจนกว่าทุกคนจะชนะ!

 

“ไปเลยยยย!”

 

“ไปฆ่าไอ้มารที่แท้จริงกัน!”

 

เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจคำรามก้อง

 

ทั้งหมดถีบตนเอง ทะยานออกไป

 

สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

 

 

ณ อัลเบอัส

 

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ

 

ชายคนหนึ่งที่สวมกางเกงหนังรัดรูปสีดำ ท่อนบนเปลือยเปล่า บนหัวมีหงอนสีแดงสด ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำแข็งที่ใส่เหล้าเอาไว้ภายใน

 

“ขอบคุณสำหรับความยากลำบาก เจ้าดื่มนี่สิ” เทสส์กล่าว

 

ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจ ยกหัวขึ้น และเทเหล้าทั้งหมดในแก้วลงคอไป

 

“ฉันกลายเป็นมนุษย์ไปซะแล้วในตอนนี้ – แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่ามีหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ชื่นชอบในการแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะมันง่ายต่อการสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่นๆในตลอดทั้งหมื่นโลกา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเผ่าพันธุ์ของตนเอง”

 

“แต่ฉันไม่ชอบเลยที่จะกลายเป็นมนุษย์ เพราะมันจะไม่สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงขนไก่อันงดงามของฉันได้”

 

เทสส์ให้กำลังใจ “แต่ก็ด้วยขนไก่อันงดงามของเจ้านะ ที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยเหลือโลกทั้ง 900 ล้านชั้นในครั้งนี้”

 

เธอมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังโศกเศร้า ตนจึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสลงบนใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม

 

เทสส์กล่าวอีกครั้ง “และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องการทั้งตัวของเจ้า -”

 

“เปรี๊ยะ!”

 

ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้น

 

แสงแห่งรุ่งอรุณปรากฏกายจากความว่างเปล่าทันใด ปากอ้าขยับอย่างร้อนรน “เทสส์ ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จะไม่มีใครคัดค้านการค้นหาในพื้นที่ VIP … ”

 

กล่าวจบ เธอก็พบกับฉากภายในโซนพิเศษ

 

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่ดูกำยำ ช่วงบนเปลือยเปล่า กำลังนอนจมอยู่บนโซฟา

 

ขณะที่เทสส์เอื้อมมือออกไป และลูบไล้ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างเบามือ

 

ทริสเต้นิ่งงันไป

 

เธอย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ปรากฏตัวขึ้น และได้ยินอะไรราวๆว่า ‘เราต้องการทั้งตัวของเจ้า … ’

 

ใช่แล้ว เธอไม่มีทางได้ยินผิดไปได้

 

ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงจะ …

 

มัน …

 

ควรจะ …

 

ทริสเต้น้อมกายลง ปากเอ่ยกล่าวขออภัย “ขอโทษที่รบกวน ข้าไม่ทรา – เอ่อ เอาไว้ข้าจะกลับมาในภายหลังก็แล้วกัน”

 

เทสส์ยกมือขึ้น และพยายามที่จะหยุดอีกฝ่ายไม่ให้จากไป

 

“เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”

 

ฟิ้วววว

 

ทริสเต้หายวับไปโดยตรง

 

ภายในโซนพิเศษ กลับลงสู่ความเงียบ และหลงเหลืออยู่เพียง 2 คนอีกครั้ง

 

เทสส์หันไปมองชายวัยกลางคน

 

“เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้พวกเรายืดเวลาออกไปได้อีกนิดล่ะนะ”

 

เทสส์ถอนหายใจ

 

ขณะที่ชายวัยกลางคนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินสิ่งใดเลย ปากของเขาเพียงขยับงึมงำ เปล่งเสียงกระซิบคร่ำครวญตลอดเวลา “ขนฉัน .. ขนสุดที่รักของฉัน … ”