เปลวไฟแห่งสงครามของโลก 900 ล้านชั้นปะทุขึ้น

 

กำปั้นเหล็กแบรี่ , จอมมารทะเลเลือด และเกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ พุ่งทะยานเข้าสู่รอยแยกมิติที่เปิดออก เผชิญหน้ากับมารที่แท้จริง

 

ขณะเดียวกัน ทางด้านจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เทสส์และไก่ใหญ่ที่อยู่ในที่นั่งโซนพิเศษ ก็ได้ทำการลอบส่งข่าวไปยังโลกต่างๆ

 

เมื่อทริสเต้ปรากฏกายมาถามไถ่ แต่ดันพบเจอกับฉากไม่น่าอภิรมย์เข้า จึงเร่งจากไปทันที

 

ส่วนกู่ฉิงซานกับลอร่า ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในโลกสมบัติของทริสเต้ที่ถูกแอบไว้ภายในเค้ก 20 ชั้น

 

ณ ตอนนี้ ภายในโลกของทริสเต้

 

บริเวณตีนภูเขาน้ำแข็ง

 

กู่ฉิงซานจ้องชั้นผิวน้ำแข็งอย่างเงียบๆ

 

มองลอดเข้าไปในชั้นน้ำแข็งหนา คุณจะสามารถมองเห็นเลือดสีดำและแดง ค่อยๆแพร่กระจายอย่างช้าๆ

 

นี่คือร่องรอยของความตาย

 

ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยเทพบรรพกาล

 

ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ว่าน่ะ มีอารมณ์ความรู้สึก

 

และถ้ามีอารมณ์ความรู้สึก -นั่นย่อมหมายความว่ามันต้องมีแต้มพลังวิญญาณอย่างแน่นอน!

 

ตามที่บันทึกไว้ในพงศาวดารวันสิ้นโลก ช่วงชีวิตก่อนหน้าในวันนี้ มันระบุเอาไว้ว่าทริสเต้ได้ทรยศราชวงศ์หนาม หันไปพึ่งพิงเผ่ามาร และปลดปล่อยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Onlime : เชื้อไฟ ในอัลเบอัส

 

แต่ทว่า!

 

เรื่องราวจากในข่าว แท้จริงแล้วมันจะถูกต้องทั้งหมดเลยหรือ?

 

หลังจากที่ได้ย้อนเวลากลับมาในชีวิตนี้อีกครั้ง พอกู่ฉิงซานได้มาพิสูจน์เรื่องราวดังกล่าวด้วยตนเอง เขาก็พบว่าทุกอย่างมันคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น

 

ระบบเคยระบุเอาไว้ด้วยว่า พงศาวดารวันสิ้นโลกน่ะทำได้เพียงรายงานถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเหตุการณ์อันมีชื่อเสียงที่เกิดขึ้น แต่มันจะไม่สามารถเข้าใจถึงเนื้อหาข้อมูลและความจริงของเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างชัดเจน

 

หลายร้อย หรืออาจจะถึงพันล้านคนได้เข้ามายังโลกของทริสเต้

 

และเชื้อไฟก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

 

มันเข้าแทรกแซงและแทนที่ภารกิจวิหคหนามของทริสเต้

 

ขณะเดียวกันก็มีผู้ทดสอบหลายล้านคนถูกหลอกให้ดาวโหลดมัน

 

และต้องไม่ลืมนะว่า เงื่อนไขของเชื้อไฟน่ะพิเศษกว่าใคร มันสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณจากชีวิตที่ถูกสังหารลงได้ และมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน …

 

และหากเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารหลายร้อยพันล้านคนได้รับภารกิจให้ออกล่าสังหารเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้แล้วล่ะก็ .. มันจะส่งผลให้เชื้อไฟสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างมหาศาล พุ่งทะยานขึ้นอย่างมิอาจคาดคำนวณได้

 

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

ช่วงเวลาที่ตนเข้าสู่โลกใบนี้ หากเทียบเปรียบกับคนอื่นๆแล้ว นับว่าเชื่องช้าเป็นอย่างมาก

 

ตอนนี้ น่ากลัวว่าผู้คนมากมายคงกำลังดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณอยู่ และเชื้อไฟก็มีแนวโน้มที่จะอัพเกรดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

 

นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้

 

ไม่มีใครสามารถไปได้ไกลเกินกว่าขอบเขตของมิติและเวลา วิ่งทะยานไปดักหน้าพวกเขาทั้งหมด เพื่อหยุดยั้งการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟได้

 

แต่ต่อให้กู่ฉิงซานรีบไป แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้?

 

แน่นอน ว่าด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปที่จะสังหารหลายสิบผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

แต่หากต้องเผชิญหน้ากกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยล้านพันล้าน ตัวเขาคนเดียวจะไปสู้มันได้อย่างไร?

 

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคว้าชัยชนะ

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าหากเชื้อไฟได้อัพเกรดขึ้นมาเป็นต้นกำเนิดแล้ว

 

เมื่อย้อนนึกไปถึงทุกประเภทของความสิ้นหวังในชีวิตก่อนหน้า และมองมายังสถานการณ์ในปัจจุบัน กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ความเงียบงันไปนาน

 

เขาเงยหน้า มองขึ้นไปบนยอดเขา

 

ที่นั่นจะเป็นกับดักของเชื้อไฟ หรือว่าเป็นสถานที่รับภารกิจจริงๆกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานหลับตาคง คิดตริตรองอย่างเงียบๆ

 

ถ้าหากเป็นกับดัก นั่นหมายความว่าเชื้อไฟกำลังพยายามที่จะลบตนเองซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านมันให้หายไป

 

เพราะอย่างไรเสีย เชื้อไฟก็มีผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายเป็นหมากให้ใช้มาลอบโจมตีเขา

 

ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์นับร้อยพันล้านที่โดดเด่นจากตลอดทั้งโลก 900 ร้อยชั้นได้โดยลำพังอย่างแน่นอน

 

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ปีนเขา และหลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

 

แต่หากทำแบบนั้น มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นพบว่าเชื้อไฟกำลังคิดหมายจะกระทำสิ่งใด และยังไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับของโลกใบนี้อีก

 

เขาพึ่งจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ขณะที่บนยอดเขา ก็มีวิหารของเหล่าทวยเทพตั้งอยู่

 

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นมันเก็บงำความลับที่ตนจำเป็นต้องรู้เอาไว้

 

หลายหมื่นแสนปีที่แล้ว เทพบรรพกาลได้หายไปจากโลก 900 ล้านชั้น โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย

 

ทว่าสิ่งมีชีวิตโบราณยังถูกเก็บงำเอาไว้ในโลกใบนี้ และยังคงสามารถมีชีวิตรอดได้เรื่อยมา

 

หากกู่ฉิงซานไม่อาจค้นพบถึงความลับอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ ผลพวงของมันก็คือ เขาจะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเชื้อไฟกำลังวางแผนกระทำสิ่งใด

 

ภายใต้สถานการณ์นี้ สองตาของกู่ฉิงซานมืดบอด ไม่อาจมองเห็นหนทางใดๆได้เลย ด้วยความแข็งแกร่งของตน เขาไม่สามารถต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยพันล้านที่ถูกควบคุมโดยเชื้อไฟได้อย่างแน่นอน

 

ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้ ..

 

สองเท้ายังคงยืนหยัดอยู่บนพื้นน้ำแข็ง

 

โดยปกติแล้วกู่ฉิงซานมักจะทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับลังเล

 

–หากตนหันหลังและจากไป ก็เท่ากับเป็นการตัดสิทธิ์ในการต่อกรกับเชื้อไฟโดยสมบูรณ์

 

–หากปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขา ก็มีแนวโน้มว่าจะตกลงสู่กับดักของเชื้อไฟ

 

พอคิดถึงสองข้อนี้ กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นไปบนบันได วางมือพิงตนเองลงบนผนังน้ำแข็ง

 

แล้วความเย็นเยียบก็กัดกินเขา แทรกผ่านเข้ามาตามนิ้วและฝ่ามือ

 

ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

เพราะพลังวิญญาณของเขา มันกลับไม่สามารถหยุดไอเย็นจากน้ำแข็งได้เลย

 

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ”

 

“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เหล่าทวยเทพได้สร้างวิหารขึ้นบนภูเขาเพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตที่ตนเองได้สร้างขึ้น”

 

“บนภูเขาแห่งนี้มี ‘อำนาจเทวะ’ บางส่วนของเทพบรรกาลสถิตอยู่”

 

“อำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา”

 

เคารพและศรัทธา : สิ่งมีชีวิตที่คิดปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ จะไม่สามารถสวมใส่ไอเท็มใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาลได้ มิฉะนั้นแล้วไอเท็มดังกล่าวจะถูกทำลายลงทันทีโดยตรง

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : คุณไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้เทคนิคอำนาจเทวะของเทพบรรพกาลได้”

 

“พงศาวดารวันสิ้นโลก : ย้อนค้นหาข้อมูลไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เงื่อนงำเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านมัน ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

 

อำนาจเทวะ?

 

พลังของมันก็คือ สามารถสร้างความเสียหาย ทำลายไอเท็มได้เลยโดยตรง .. พลังนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

 

แม้เทพบรรพกาลจะจากไปนับหมื่นแสนปีมาแล้ว แต่อำนาจเทวะของพวกเขาก็ยังคงทำงานอยู่อย่างงั้นหรอ?

 

… อย่าบอกนะว่า

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าตน

 

เขาพบว่าตนกำลังเหยียบอยู่บนขั้นบันไดแรก

 

หรือกล่าวอีกความหมายนึงก็คือ ถือได้ว่าตนได้ปีนป่ายขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

กู่ฉิงซานเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ เขาเร่งตะโกนทันที “ดาบพิภพ! เช่าหยิน! ฉานนู่!”

 

“ข้าอยู่นี่”

 

“ฮู้ม!”

 

“นายน้อย?”

 

สามดาบโผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา เปล่งเสียงขานรับพร้อมกัน

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก

 

ดูเหมือนว่าอำนาจเทวะจะไม่ได้ทำงาน

 

เขาเลยยกเท้าอีกข้างขึ้น และกำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นที่สอง

 

แต่จู่ๆก็ปรากฏถึงสายลมหนาวพัดโชยมา

 

พริบตานั้นเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีพลันสลายกลายเป็นผง ปลิดปลิวหายไปกับสายลม

 

กู่ฉิงซานตะลึงงัน

 

เขาเอี้ยวตัวกลับทันควัน มองไปยังดาบยาวทั้งสามเบื้องหลัง

 

แต่พบว่าพวกมันก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าดังเดิม

 

มันยังไงกันแน่เนี่ย!

 

สายตาของกู่ฉิงซานกวาดมองผ่านทั้งสาม ก่อนจะค่อยๆเบนตกลงมาสังเกตพวกมันทีละเล่ม ทีละเล่ม

 

ดาบพิภพ

 

เมื่อมองไปยังดาบเล่มนี้ กู่ฉิงซานก็ย้อนนึกไปถึงคำบอกเล่าของนางเซียนไป่ฮั่วในยามที่มอบมันเป็นของรับขวัญให้แก่ตน “ดาบพิภพเป็นมรดกตกทอดมาจากนิกายเก่าของข้ามานานนับ 100000 ปี เนื่องจากมันล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงไม่เคยถูกนำมาใช้ต่อกรกับศัตรูเลย และมันมีความสามารถในการสื่อสารกับเทพวิญญาณ เป็นดาบที่เสียสละตนเพื่อสวรรค์และโลก”

 

ดูเหมือนว่าในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะเรียกเทพบรรพกาลว่าเทพวิญญาณ

 

ประโยคที่บอกว่า ดาบพิภพสามารถสื่อสารกับเทพบรรพกาลได้ มันสอดคล้องกับอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหล่าทวยเทพ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกทำลายลง

 

-ถึงแม้ว่ามันจะชมชอบในการเข่นฆ่าลูกหลานของเทพบรรพกาลก็ตามที

 

มองไปยังดาบเช่าหยินอีกครั้ง

 

เช่าหยินเป็นดาบที่ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ ดังนั้นมันจึงสอดคล้องกันเงื่อนไขนี้โดยตรง

 

ถัดไปคือดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

ดาบนี้เป็นที่เคาพรพบูชา เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากโลกปรภพ มันครอบครองถึงสี่พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘อมตะ’ ‘แหกกฏ’ ‘ทรงปัญญา’ และ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ เป็นดาบที่ใช้ควบคุมภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน

 

ดาบเล่มนี้ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งในสมัยโบราณ และถูกนำมาใช้ในการควบคุมปรภพโดยลูกหลานของทวยเทพ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาล

 

ดูเหมือนว่าสามดาบนี้จะผ่านการคัดการองจากอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา

 

แต่นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?

 

ไม่รีรอให้เสียเวลาคาดเดา กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาดิสก์ค่ายกลแผ่นหนึ่งออกมาทันที

 

ทันใดนั้นดิสก์ค่ายกลก็สลายเป็นเถ้าถ่าน ปลิดปลิวไปตามสายลมหนาวในพริบตา

 

คงไม่ผิดพลาดแล้ว …

 

อำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพยังคงทำงานอยู่

 

“เอ๊ะ? ชุดเกราะโทรมๆกับไอเท็มของเจ้าถูกทำลายลงอย่างงั้นหรอ?” ลอร่าอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

“ใช่ มันมีอำนาจอันคงกระพันบางอย่างถูกติดตั้งเอาไว้ที่นี่” กู่ฉิงซานตอบ

 

เขาอดไม่ได้ที่จะลอบประหลาดใจอย่างลับๆ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพจะยังคงอยู่ แม้พวกเขาจะจากไปแล้วนับหมื่นแสนปีก็ตามที

 

จักต้องเป็นพลังชนิดใดกัน จึงจะทรงพลานุภาพถึงเพียงนี้?

 

“เราสัมผัสได้ถึงพลังของเทพบรรพกาล” ลอร่าที่นั่งสบายๆอยู่บนไหล่เขากล่าว “สิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่มันด้อยค่ามากเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงถูกทำลายลงด้วยอำนาจบางอย่าง อย่างง่ายดาย แต่-”

 

“แต่อะไร?”

 

“การที่มันถูกทำลายคงจะดีกว่า เพราะชุดเกราะแบบนั้นสวมใส่มันไปก็ไร้ประโยชน์”

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับกระหม่อมมันมีประโยชน์มากเลยนะ ท่ามกลางการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน เกราะรบนั่นมีบทบาทอยู่มากทีเดียว”

 

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจ้าเป็นนักดาบ และนักดาบก็มักจะต่อสู้ในระยะประชิด … ”

 

ลอร่ามองไปยังกู่ฉิงซาน นิ่งคิดอยู่นาน

 

จนในที่สุด เธอก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ ปากเอ่ยกล่าวว่า “พอดีว่าเรามีชุดเกราะเก็บสะสมเอาไว้เช่นกัน เจ้าสามารถนำมันไปใช้ได้นะ”

 

ขณะกล่าว ลอร่าก็เอื้อมไปค้นกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ

 

กู่ฉิงซานรีบส่ายมือห้ามปรามอย่างรวดเร็ว “อย่าหยิบมันออกมาเชียวนะ! พลังบนภูเขาลูกนี้รุนแรงมาก เดี๋ยวเกราะรบของฝ่าบาทก็ถูกทำลายลงโดยตรงหรอก”

 

ทว่าเพียงแค่เสียงพูดตกลง ลอร่าก็ดึงจี้เส้นหนึ่งออกมาเสียแล้ว จากนั้นเธอก็แขวนมันลงบนคอของกู่ฉิงซาน