หลินเทียนอ้าวเดินเข้าไปในเรือนพักและนั่งลง ทว่าสีหน้าของเขากลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง เขาก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “พวกเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ”
โจวเหว่ยชิงชะงักไปชั่วครู่แล้วพูดว่า “ท่านยังสามารถต่อสู้ในรอบ 8 อันดับแรกได้หรือไม่?”
หลินเทียนอ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากวันนี้ข้าไม่ต้องต่อสู้อีก การพักผ่อน 5 วันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เตรียมพร้อมรับการโจมตีอย่างเต็มที่ อีกทั้งดาบของเขาก็อ่อนกำลังลงเพราะทักษะเกราะลวงตาและทักษะเกราะผิวหุ้มหินของข้า ข้ายังกำหนดตำแหน่งบาดแผลไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อที่จะไม่ให้ตนเองบาดเจ็บร้ายแรง อย่างไรก็ตาม หากนี่ไม่ใช่งานประลองและเป็นการต่อสู้ในที่โล่ง ข้าย่อมจัดการเขาได้ยากลำบากมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าข้าจะเอาชนะเขาได้ ข้าก็ต้องบาดเจ็บหนักเช่นกัน เหว่ยชิง เจ้าล่ะคิดเช่นไร?”
โจวเหว่ยชิงเข้าใจสิ่งที่เขาถามและพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้ ตามแผนของข้า บททดสอบที่แท้จริงสำหรับเราคือสามารถคว้าชัยชนะในรอบที่ 3 ได้หรือไม่”
ในขณะนี้ผู้ตัดสินได้กล่าวว่า “ทั้งสองฝ่ายโปรดส่งสมาชิกคนที่ 2 ของท่านขึ้นไปบนเวทีเดี๋ยวนี้”
สมาชิกของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดหันไปหาสี่น้อย ในขณะที่เจ้าตัวหันไปมองโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่าแผนของโจวเหว่ยชิงจะยังคงดำเนินต่อไป แม้จะเผชิญกับความยากลำบาก หลินเทียนอ้าวก็ยังสามารถคว้าชัยชนะมาได้ นี่เป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับคนในกลุ่มและทำให้พวกเขามีความมั่นใจในแผนการของโจวเหว่ยชิงมากขึ้น
โจวเหว่ยชิงมองไปที่สี่น้อยด้วยสีหน้าจริงจังและพูดว่า “พี่สี่ อย่างที่ข้าพูดไป ท่านอาจจะได้พบกับสมาชิกที่แข็ง แกร่งอันดับ 2 ของพวกเขา และมันก็จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมาก ถึงกระนั้น มันก็ยังคงเป็นการต่อสู้ที่สำคัญมากสำหรับเรา งานของท่านคือการใช้กลยุทธ์แบบกองโจร ใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อขัดขวางคู่ต่อสู้ เพื่อให้แน่ใจว่าคู่ต่อสู้ของท่านระบายพลังปรานสวรรค์ออกไปมากที่สุดและทำให้เขาไม่สามารถเข้าร่วมการประลองแบบคู่ได้ ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าปะทะกับเขาโดยตรง”
เพื่อให้ตนเองกลายเป็นตัวแทนของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ในงานประลองมณีสวรรค์ แต่ละคนย่อมมีความโดดเด่นเป็นของตัวเอง บางคนอาจนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้วยซ้ำ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม แต่สี่น้อยก็เข้าใจแรงกดดันในหน้าที่ของเขาได้อย่างรวดเร็ว “เข้าใจแล้ว ข้าจะทำดีที่สุด”
สี่น้อยหันหลังเดินออกจากเรือนพักไปที่เวที ในขณะที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็เห็นคู่ต่อสู้ของตนเดินออกมาจากเรือนพักกลุ่มนักรบตันตุ้นที่อยู่ใกล้ๆ เช่นกัน
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 26 หรือ 27 ปี ยืนเหยียดแผ่นหลังตรง ความสูงของเขาเกือบจะเท่ากับโจวเหว่ยชิง แต่ก็ไม่ได้บึกบึนเท่า หน้าตาของเขาดูธรรมดา แต่ให้บรรยากาศที่ดูเหมือนเข้าถึงง่าย อย่างไรก็ตาม หากมองใกล้ๆพวกเขาอาจเห็นความมืดมิดที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาของเขาและอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้
เด็กหนุ่มไม่ได้มองไปที่สี่น้อย แต่กลับก้าวขึ้นไปในอากาศ ราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่บนเวทีอย่างสบายๆ
หัวใจของสี่น้อยบีบรัดแน่น อดจะรู้สึกประทับใจฝีมือการประเมินของโจวเหว่ยชิงไม่ได้ในทันที เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ทรงพลังกว่าหลานเฟิงคนก่อนมากทีเดียว
สี่น้อยยังเดินขึ้นเวทีอย่างช้าๆ และภายใต้คำแนะนำของผู้ตัดสิน ทั้งสองฝ่ายก็แนะนำตัวเอง
“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ เสี่ยวซือ” ชื่อเดิมของสี่น้อยคือเสี่ยวซือ แต่เพื่อนสนิทของเขาต่างเรียกเขาว่าสี่น้อย
“กลุ่มนักรบตันตุ้น หานปิง” เด็กหนุ่มพูดอย่างชัดเจนและเรียบง่าย ในเวลานี้ทั้งสองกำลังมองตากัน และสี่น้อยก็ไม่เห็นอารมณ์ใดๆ ในสายตาของหานปิงเลย
ด้านล่างเวที ในเรือนพักอาณาจักรตันตุ้น หลานเฟิงกลับมาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ เขาพูดกับหญิงสาวว่า “หัวหน้า ข้าไม่พอใจจริงๆ ข้าไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนั้นได้”
หญิงสาวมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่พอใจอะไรงั้นรึ? รู้ไหมว่าทำไมตัวเองถึงแพ้?”
หลานเฟิงกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ข้าประมาทเกินไปและตกหลุมพรางของเขา”
หญิงสาวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ เจ้าคิดผิด เจ้าแพ้เพราะความแตกต่างของระดับพลัง ในแง่ของความแข็งแกร่ง เขามีพลังมากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน…แม้ว่าหานปิงจะต่อสู้กับเขา แต่มันก็อาจจะเป็นการต่อสู้ที่สูสีมาก และแม้ว่าฝ่ายเราจะได้รับชัยชนะ เราก็ยังต้องสูญเสียอย่างหนัก พลังป้องกันของชายคนนั้นสูงส่งกว่าที่เจ้าคิด ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าความเร็วของเจ้าเป็นจุดอ่อนของคนประเภทเขา เจ้าจะต้องแพ้ในรูปแบบที่แย่กว่านั้นแน่นอน”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อของหลานเฟิง เธอก็พูดต่อ “ประสบการณ์และกลยุทธ์ในการต่อสู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีกฎการประลองคอยควบคุมพวกเจ้า เจ้าก็จะยังคงแพ้ในท้ายที่สุดแม้ว่าเจ้าอาจจะสร้างความสูญเสียให้เขาได้มากก็ตาม นิสัยของผู้ชายคนนั้น…ความดื้อรั้นของเขา…และพลังของเขา…มันเข้ากันได้อย่างลงตัว และเขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น สำหรับคนที่ไม่มีมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนหลัง การที่จะไปถึงระดับนี้ได้ก่อนอายุ 30 นั่นถือเป็นความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว”
เมื่อเธอพูดถึงจุดนี้ เธอก็หยุดชั่วครู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “หลานเฟิง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกร้อนใจ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็อายุน้อยกว่าเขามาก นอกจากนี้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาคือผู้นำของกลุ่มนักรบเฟยหลี่และน่าจะเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาด้วย การแพ้การต่อสู้ครั้งก่อนหน้า…จะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้ายของเรา”
ในที่สุดหลานเฟิงพยักหน้า สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น “นักบวชจะแก้แค้นให้ข้า” ชื่อเล่นของหานปิงในทีมกลุ่มนักรบตันตุ้นคือนักบวช และพวกเขามักเรียกอีกฝ่ายแบบนั้นเสมอ บางครั้งก็เรียกเขาว่า นักบวชน้ำค้างแข็ง [1]
หุบเขาอเวจีสีเลือดเป็นหนึ่งในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอที่สุด และในแง่ของพลังโดยรวม พวกเขาแข็งแกร่งกว่านิกายปีศาจสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว หากจะเปรียบเทียบในด้านพลังส่วนบุคคลแล้วล่ะก็ ยอดฝีมือระดับสูงสุดในนิกายปีศาจสวรรค์นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ! ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในงานประลองมณีสวรรค์และมั่นใจว่าสามารถเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ที่มีความสำคัญสูงสุดเช่นนี้ได้ หุบเขาอเวจีสีเลือดจึงส่งกลุ่มคนรุ่นเยาว์ชั้นยอดของพวกเขามาให้ ในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งหานปิงและหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าล้วนถูกจัดอยู่ในระดับหัวกะทิขั้นสูงสุด
5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้โดยตรง แต่ในความเป็นจริงปัญหาก็อยู่ที่ชื่อเท่านั้น เมื่อเป็นตัวแทนของแต่ละอาณาจักร ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ใช้พลังขั้นสูงสุดที่บ่งบอกถึงมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง มันก็ยากที่จะบอกอะไรได้อยู่ดี ถึงอย่างไรการซ่อนความแข็งแกร่งของตนเองก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ในการประลองครั้งที่ 2 กลุ่มนักรบตันตุ้นทั้งหมดจึงเชื่อมั่นในตัวนักบวชน้ำค้างแข็งอย่างเต็มที่ หากหลินเทียนอ้าวเผชิญหน้ากับเขา อีกฝ่ายก็มีโอกาสชนะเพียง 3 ใน 10 ส่วนเท่านั้น บางทีอาจเป็นโอกาสเพียง 1 ใน 10 ก็ได้ นับประสาอะไรกับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มนักรบเฟยหลี่
ในขณะที่ผู้ตัดสินประกาศเริ่มการต่อสู้ สี่น้อยก็สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลจากอีกฝ่ายได้ทันที เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในขณะที่หานปิงโบกมือขึ้น มณียุทธ์สีแดง 6 ดวงก็ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา
มณียุทธ์หยกแดงเป็นมณีประเภทการประสานงาน แต่นั่นหาใช่สิ่งที่สี่น้อยสนใจไม่ แท้จริงแล้วเป็นจำนวนมณีต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกกังวลใจ
ในกลุ่มนักรบทั้ง 24 กลุ่มที่เคยต่อสู้กันมาจนถึงตอนนี้ ระดับพลังที่สูงที่สุดคือจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุด กลุ่มใดที่มีคนเช่นนี้อยู่เพียงหนึ่งคนก็ถือว่ามีพลังสูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว และกลุ่มที่มี 2 คนขึ้นไปจะถือว่ามีพลังยิ่งใหญ่มาก กลุ่มนักรบป่ายต้าก็เคยเป็นกลุ่มเช่นนั้นมาก่อนเช่นกัน ในความเป็นจริงนั้น กลุ่มทั้งหมดที่เข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้ มีประมาณครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้มีจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดอยู่ในกลุ่มเลยด้วยซ้ำ!
กระนั้น มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ก็ยังแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของพวกเขา ไม่เพียงแต่ในแง่ของประสบการณ์การต่อสู้และความสามารถในการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงระดับพลังปราณที่เหนือกว่าด้วย หานปิงถือเป็นตัวอย่างที่แท้จริง เขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ะดับปรมะขั้นสูงสุดพร้อมด้วยมณีสวรรค์ 6 ชุด!
สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ มณีแต่ละชุดหมายถึงความแตกต่างในแง่ของพลัง นี่ไม่ใช่แค่ความแตกต่างแค่เรื่องปริมาณและคุณภาพของพลังปราณสวรรค์ แต่ยังรวมถึงจำนวนทักษะและความแข็งแกร่งของทักษะด้วย!
แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดอย่างโจวเหว่ยชิงที่เกิดมา ‘แหกกฎ’ นั้นมีอยู่จริง แต่ก็หาได้ยากมากเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วจ้าวมณีสวรรค์ส่วนใหญ่จะมีทักษะธาตุเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทักษะของพวกเขาจึงมีข้อจำกัดสูงมาก
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดปะทะกับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุด จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดจะมีโอกาสชนะมากกว่า 7 ใน 10 ส่วน และนั่นก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าทั้งคู่มีประสบการณ์และทักษะการต่อสู้เท่าเทียมกัน ส่วนจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดที่ปะทะกับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุด โดยปกติแล้วจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุดจะไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย
หานปิงมองไปที่สี่น้อยอย่างเย็นชา และทันทีที่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น เขาก็โบกมือขวาและไม้คฑาสีแดงก็ปรากฏขึ้นในมือทันที
ไม้คฑานั้นดูราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นจากปะการังสีแดงที่สะท้อนประกายแวววาวด้วยผลึกแสงอันงดงามของมัน สิ่งที่น่าตกใจสำหรับสี่น้อยก็คือที่ปลายคฑามีหลุมบรรจุมณีอยู่มากถึง 3 ช่อง!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตาฝาด มันคือหลุมบรรจุมณี 3 ช่องจริงๆ!
การที่ศาสตรามณียุทธ์จะมีหลุมบรรจุมณี 3 ช่องได้ ม้วนคัมภีร์นั้นต้องสร้างโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขึ้นไป เด็กหนุ่มคนนี้จึงคู่ควรกับการเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าของมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริง และทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เขาก็แสดงพลังที่น่ากลัวออกมาทันที
มณีธาตุอันเจิดจรัสทั้ง 3 ดวงพลันเต็มเติมเข้าไปในหลุมบรรจุมณีทันที หานปิงไม่ได้สนใจจะใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บอื่นๆ เพียงมณีไพลินดารา 3 ดวงที่ส่องแสงออกมาจากไม้คฑาก็เปล่งประกายแสงสวยงามจับตาแล้ว ฉับพลันนั้นแสงสีฟ้าเย็นยะเยือกก็กลายเป็นโล่แห่งแสงห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ทั้งหมดทันที
ประสบการณ์การต่อสู้ของสี่น้อยย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และเขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าโล่แห่งแสงอันทรงพลังนั้นไม่ใช่หนึ่งในทักษะจากมณีธาตุที่ใส่ไว้ในหลุมบรรจุมณี แต่เป็นหนึ่งในความสามารถของตัวไม้คฑาเมื่อหลุมบรรจุมณีทั้ง 3 ถูกมณีธาตุเติมเต็มครบทั้ง 3 ดวง
ฉายาของหานปิงคือนักบวช และความเชี่ยวชาญของเขาคือการต่อสู้ในระยะกลาง เมื่อเขายกไม้คฑาขึ้นก็เกิดแสงสีฟ้า 36 ดวงลอยอยู่นอกโล่แสงสีฟ้าของเขา ในเวลาต่อมา แสงพวกนั้นก็พุ่งเข้าหาสี่น้อยจากทุกทิศทาง ราวกับว่ามันสามารถอัดทำลายอากาศบริเวณนั้นทิ้งได้ในพริบตา
มันคือแท่งน้ำแข็งแหลม 36 อันที่ขยับได้อย่างเงียบเชียบและดูอันตราย พวกมันพุ่งกระหน่ำเข้ามาหาเขาพร้อมกับสายลมอันหนาวเหน็บ
ทักษะแท่งน้ำแข็งเหมันต์ไม่ใช่ทักษะที่ทรงพลัง โดยเฉพาะในหมู่ทักษะธาตุน้ำเพราะมันเป็นเพียงทักษะระดับ 4 ดาวเท่านั้น แต่มันกลับมีความได้เปรียบอย่างหนึ่ง นั่นก็คือจำนวนแท่งน้ำแข็งที่สร้างขึ้น แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียง 1 ชุดก็สามารถปล่อยแท่งน้ำแข็งออกมาได้ 6 อันเมื่อใช้ทักษะนี้
ในแง่ของพลังทำลายล้าง แท่งน้ำแข็งย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับบอลอัคคีได้อย่างแน่นอน ทว่าความแข็งแกร่งของพวกมันอยู่ที่พลังการเจาะทะลวงต่างหาก ที่สำคัญกว่านั้น ด้วยฉายานักบวชน้ำค้างแข็ง แท่งน้ำแข็งที่หานปิงปล่อยออกมาจึงไม่ธรรมดาเลย!
ขณะแท่งน้ำแข็งทั้ง 36 อันปรากฏขึ้น สี่น้อยก็รู้สึกราวกับว่าเขาเริ่มหายใจติดขัดเมื่ออุณหภูมิในอากาศลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหานปิงจะไม่ได้ปลดปล่อยทักษะสนับสนุนอื่นๆ ออกมาด้วย แต่การปรากฏตัวของแท่งน้ำแข็งเพียงอย่างเดียวก็ทำให้อุณหภูมิของอากาศโดยรอบลดลงเกือบจะเหมือนกับทักษะการแช่แข็งของเย่เป่าเปา! นอกจากนี้ ความหนาวเย็นยังสามารถลดความเร็วและปฏิกิริยาตอบโต้ของคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย
แท่งน้ำแข็งทั้ง 36 อันไม่ได้เป็นสีขาวแต่เป็นสีฟ้าราวกับผลึกแก้วสีน้ำเงิน เวลานี้ ท้องฟ้าดูเหมือนจะมืดครึ้มลงทันทีเมื่อแท่งน้ำแข็งลอยวนอยู่เหนืออากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ทำให้เกิดภาพตัดกันอย่างน่าประหลาดใจ
สี่น้อยสัมผัสได้ว่าแท่งน้ำแข็งเหล่านั้นทรงพลังมาก แทบจะเป็นอันตรายถึงชีวิตและเขาไม่อาจเทียบพลังของพวกมันกับทักษะแท่งน้ำแข็งเหมันต์ของจ้าวมณีสวรรค์ทั่วๆ ไปได้ แท่งน้ำแข็งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ถูกร่ายออกมาโดยจ้าวมณีระดับ 6 ชุดอย่างหานปิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมที่ทรงพลัง ทักษะกักเก็บที่มีประสิทธิภาพสูง และพลังที่เพิ่มขึ้นเพราะไม้คฑาในมือของหานปิงด้วย เห็นได้ชัดว่าแท่งน้ำแข็งเหล่านั้นมีขนาดเล็กกว่าแท่งน้ำแข็งธรรมดาที่สร้างขึ้นจากทักษะแท่งน้ำแข็งเหมันต์ทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน
สี่น้อยหวนระลึกถึงคำแนะนำของโจวเหว่ยชิงขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ได้พยายามจะโจมตีอีกฝ่าย ทันทีที่หานปิงปลดปล่อยไม้คฑาและโล่แห่งแสงออกมา ร่างของสี่น้อยก็ถอยหลังไปอย่างเร่งรีบ ในเวลาเดียวกัน สี่น้อยก็ปลดปล่อยปีกศาสตรามณียุทธ์ของเขาออกมา ทว่ากลับไม่ได้เรียกศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังใดๆ ออกมาอีก
………………………………………..
[1] ชื่อของเขา หานปิง 寒冰แปลว่าน้ำแข็ง ชื่อเล่นของเขา 祭祀 ยากกว่าเล็กน้อย หมายถึงการเสียสละเพื่อเทพเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงแปลชื่อเล่น / ชื่อทั้งหมดเป็น นักบวชน้ำค้างแข็ง]