บทที่ 31 หลี่ไฮว่
บทที่ 31 หลี่ไฮว่

ช่างมั่งคั่งยิ่งนัก

เฉินซีหยิบแหวนมิติที่แลดูธรรมดาขึ้นมา ชายหนุ่มตรวจสอบมันสักพัก จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกด้วยความประหลาดใจ

พื้นที่ในแหวนมิตินี้มีขนาดราวสิบสามจั้งเท่านั้น และมันก็หาใช่ของที่มีคุณภาพสูง แต่ภายในนั้นกลับซุกซ่อนผลึกวิญญาณถึงสามพันก้อน แและต่ละก้อนยังอัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณหนาแน่น หากตีมูลค่าผลึกวิญญาณทั้งหมดนี้เป็นศิลาวิญญาณมันจะมูลค่าถึงสามแสนศิลาวิญญาณเลยทีเดียว!

“ไอ้เจ้าแรดโง่ตัวนี้เก็บผลึกวิญญาณไว้มากมายยิ่งนัก มันคงเก็บไว้ใช้สำหรับยกระดับตัวมันขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเป็นแน่ ช่างดีจริง ๆ ที่ตอนนี้มันเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าแทน” เฉินซีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ผลึกวิญญาณสามพันก้อนอาจไม่มีคุณค่าอันใดสำหรับเหล่าตระกูลและสำนักที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหมอกสน แต่สำหรับชายหนุ่มที่ยากจนข้นแค้นย่อมถือว่าผลึกวิญญาณจำนวนมหาศาลนี้มีคุณค่าอย่างแน่นอน ด้วยศิลาวิญญาณเหล่านี้เขาจะสามารถซื้อสมบัติวิเศษ โอสถวิญญาณ เคล็ดวิชาการต่อสู้ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเขาโดยไม่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงปากท้องอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพ่อครัววิญญาณฝึกหัด เฉินซียังคงไม่คิดที่จะออกจากงานเพราะเขาเคยสัญญากับเจ้าของร้านอาหารนทีกระจ่าง ตู้ชิงซีไว้ว่าภายในสามปีนี้ ตราบใดที่เขายังไม่ได้ไปจากเมืองหมอกสน เขาก็จะไม่ลาออกจากร้านเด็ดขาด

‘หากไม่สามารถรักษาคำพูด จะนับเป็นลูกผู้ชายได้อย่างไร?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ

สำหรับผู้บ่มเพาะ การทำลายคำมั่นของตัวเองเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยนั้นไม่ต่างจากการทำลายดวงใจแห่งเต๋า

เฉินซียังคงจำได้ว่าเมื่อเขาอายุได้สี่ขวบ ตระกูลซูซึ่งมีลูกสาวเป็นคู่หมั้นกับเขาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด ได้ส่งผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำนับสิบคนมาฉีกสัญญาหมั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าชาวเมืองหมอกสน แล้วทะยานจากไปหลังจากยกเลิกสัญญาหมั้นเป็นที่เรียบร้อย เหตุการณ์นั้นทำให้ท่านปู่ของเขาถูกถูกเยาะเย้ยและดูแคลนอย่างไม่รู้จบ ความอัปยศอดสูและความละอายที่ยากจะลืมเลือนได้ทำให้หัวใจของเขาได้รับแผลเป็นและไม่อาจลืมเลือนมันได้ตลอดชีวิต

และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขายึดมั่นและเห็นคุณค่าของคำสัญญามากกว่าผู้อื่น

“เอ๊ะ! สิ่งนี้คือ?” เฉินซีสังเกตเห็นบางอย่างที่ถูกเก็บอยู่มุมหนึ่งในแหวนมิติ เมื่อลองเทียบดูมันมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ เขาจึงรู้ว่ามันคือเหรียญหยกสีดำที่มีรูปร่างเหมือนกุญแจ และมีอักษรโบราณสั้น ๆ เขียนอยู่ว่า ‘ตราคำสั่งใต้พิภพ’

หลังจากทดลองใช้วิธีการต่าง ๆ นานา ชายหนุ่มก็ได้แต่ต้องยอมแพ้เพราะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของตราคำสั่งนี้ ก่อนจะเก็บมันลงไปในแหวนมิติดังเดิม และเมื่อแหงนมองดูท้องฟ้าที่ใกล้ะจะรุ่งสางเขาก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วจึงหันหลังและเดินจากไป

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป

ในที่สุดเฉินซีก็เดินออกจากพื้นที่ป่าเถื่อนต้องห้ามทางตอนใต้และกลับไปยังป่ารกทึบรอบนอก

จี้อวี๋ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้หวายพลันลืมตาขึ้น ดวงตาของเขากวาดมามองยังเฉินซีซึ่งคล้ายว่าปราดเดียวจะเห็นความลับได้ทั้งหมดสิ้น จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “นับว่าเจ้าได้กำไรมาไม่เลวเลย”

เฉินซีคิดถึงการเผชิญหน้าต่าง ๆ ที่พบในคืนนี้และเขาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง “เมื่อได้ผ่านการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ข้าจึงตระหนักได้ว่ายังมีข้อบกพร่องมากมายเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะโชคดีของข้าที่ได้พบกับอสูรแรดอินทนิลที่แสนโง่เขลา คืนนี้ข้าคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่แท้”

จี้อวี๋เผยรอยยิ้มบาง แล้วหยิบขวดน้ำเต้าขึ้นมากระดกก่อนจะเช็ดริมฝีปากของเขา “นี่คือประโยชน์ของการต่อสู้จริง มันสามารถช่วยให้เจ้ารับรู้ถึงสิ่งที่ตนเองขาดได้อย่างชัดเจน ไปกันเถอะ ฟ้าใกล้สางแล้วเราควรกลับได้แล้ว”

เมื่อเขากล่าวจบ จี้อวี๋ก็โบกมือ และในชั่วพริบตาต่อมา พวกเขาทั้งสองก็หายวับไปในทันใดเหลือเพียงกลิ่นหอมของสุราจาง ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

ณ ห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลี่

เหล่าผู้อาวุโสที่ปิดด่านฝึกวิชาได้มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้

“ผู้ดูแลอู๋! องค์รักษ์ชั้นยอดของตระกูลหลี่ทั้งสามสิบคนซึ่งมีการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดขั้นต้น เหตุใดจึงได้ตกตายด้วยน้ำมือของเศษสวะที่รู้เพียงวิธีสร้างยันต์อักขระเท่านั้น จงตอบมา!”

ผู้ที่เอ่ยถามเป็นชายชราเคราดำ แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าที่แก่ชรา แต่ผิวของเขากลับเรียบเนียนราวกับหยก และมีดวงตาที่ส่องประกายชัดเจน ร่างกายของเขาเปล่งรัศมีสง่างามอันแสนเยือกเย็นและเข้มงวด คนผู้นี้คือหลี่เฟิงถู ผู้อาวุโสใหญ่ผู้มีการบ่มเพาะอันลึกล้ำที่สุดในตระกูลหลี่

ผู้ดูแลอู๋คุกเข่าลงพร้อมกับโขกศีรษะลงพื้น ใบหน้าซูบตอบของเขามีเหงื่อไหลเป็นสายน้ำ ในขณะที่เขากล่าวซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ข้ารับใช้ผู้นี้ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ข้ารับใช้ผู้นี้ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก…”

“หนึ่งเดือนที่แล้วเนื่องจากหลัวชงแห่งจวนแม่ทัพและเมิ่งคงของสำนักหมอกสนสอดมือเข้ามายุ่ง จึงทำให้หลี่ฮั่นกับพี่น้องของเขาเสียชีวิตลง และเฉินฮ่าวหลานชายของเฉินเที่ยนลี่ก็กำลังจะออกจากเมืองหมอกสน เรื่องราวคราวนั้นข้าอาจปล่อยเลยตามเลยได้”

“แต่ข้าจะไม่ปล่อยเรื่องที่เกิดวันนี้ไปเด็ดขาด! เพื่อให้ได้รับตราคำสั่งใต้พิภพที่ไอ้เฒ่าแรดอินทนิลครอบครองอยู่ ตระกูลหลี่ของข้าได้ใช้จ่ายไปมากแล้ว! ข้าจึงไม่อาจทนต่อความล้มเหลวนี้และตระกูลหลี่ก็มิอาจทนได้!”

เสียงของผู้อาวุโสหลี่เฟิงถูนั้นต่ำ เยือกเย็น และเดือดดาล มันมีความโกรธอันไร้ขอบเขตแฝงอยู่ภายใน บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ยิ่งเงียบและกดดันมากขึ้นไปอีก และไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงแทรกออกมา

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าละเลยการเฝ้าติดตามเฉินซีมาตลอด…” หลี่อี้เจิ้นรู้สึกราวกับว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีหนามคมคอยทิ่มแทง หน้าผากของเขาปรากฏเม็ดเหงื่อไหล ท่าทางของเขาก็เหมือนผู้กระทำความผิดและดูไม่สบายใจ ยามนี้เขาไม่หลงเหลือความสง่างามของผู้นำตระกูลเลยในตอนนี้

“ฮึ่ม!” ผู้อาวุโสใหญ่พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาก่อนจะมีท่าทีผ่อนปรนลงเล็กน้อย “เรื่องนี้จะโทษเจ้าฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนัก เพื่อประโยชน์ของแผนการในปัจจุบันของเรา เราต้องครอบครองตราคำสั่งใต้พิภพ โดยเร็วที่สุด ก่อนการทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า มิฉะนั้นเมื่อตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรทราบเรื่องนี้เข้าแล้ว…”

ตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร!

แม้ว่าจะเป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่มันก็เหมือนค้อนหนักที่ทุบลงบนหัวใจของหลี่อี้เจิ้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ในทันใดก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก และกัดฟันกล่าวว่า “อย่ากังวลไปเลย ข้าจะนำตราคำสั่งใต้พิภพมาให้ได้แม้ว่าจะต้องใช้กำลังทั้งหมดของตระกูลหลี่ก็ตาม!”

แกร็ก!

ขณะนั้นประตูที่ปิดสนิทของห้องโถงใหญ่ถูกผลักเปิดออก เหล่าผู้อาวุโสต่างก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเมื่อเห็นฉากนี้จึงหันควับไปมองในทันที ‘ใครกันที่กล้าบุกเข้ามาโดยพลการ?’

ปัง!

ทันใดนั้นเงาสีดำขนาดมหึมาตกลงไปที่พื้นกลางห้องโถง เมื่อพินิจให้ดี ทุกคนก็ตกตะลึง เพราะมันคือซากศพของอสูรแรดอินทนิลที่ถูกเฉินซีฆ่าไป

“แรดอินทนิลเฒ่าถูกฆ่าตายแล้ว ตอนนี้ตราคำสั่งใต้พิภพน่าจะอยู่ในการครอบครองของเฉินซี”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา เขามีคิ้วรูปดาบและดวงตาเป็นประกาย เส้นผมยาวประบ่า อีกทั้งยังแผ่จิตสังหารอันน่าสะพรึงยามก้าวย่าง

นายน้อยใหญ่!

เขา… เมื่อใดกันที่เขาออกจากการปิดด่านฝึกตนในศาลาบรรพชน?

หัวใจของผู้ดูแลเฒ่าพลันตกลงไปที่ตาตุ่ม ร่างกายสั่นด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเงยศีรษะขึ้น

คนผู้นี้คือยอดอัจฉริยะของตระกูลหลี่ ถูกร่ำลือกันว่าในรอบหนึ่งพันปีของเมืองหมอกสนไม่มีผู้ใดมีพรสวรรค์เทียบเทียมเขาได้ หลี่ไฮว่!

เขาเริ่มฝึกฝนเมื่ออายุได้สามขวบ จากนั้นได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดเมื่ออายุได้เก้าขวบ และบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตก่อกำเนิดเมื่ออายุสิบสามปี หลังจากนั้นเขาก็ปิดด่านบ่มเพาะในศาลาบรรพชนเป็นเวลาถึงสี่ปีจนถึงบัดนี้ ขณะนี้หากเดาไม่ผิดมันเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะกำลังก่อรากฐานเต๋าเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลในไม่ช้า!

ความโกรธเคืองในหัวใจของเหล่าผู้คนที่มีต่อผู้บุกรุกได้หายไปทันทีเมื่อพวกเขาเห็นคนผู้นั้นคือหลี่ไฮว่ ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย ในหัวใจของพวกเขา หลี่ไฮว่เปรียบเสมือนยอดอัจฉริยะที่เหล่าทวยเทพได้ประทานให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมในการประชุมของผู้อาวุโสในตระกูลแล้ว

“ท่านพ่อ” หลี่ไฮว่พยักหน้าเล็กน้อยให้กับหลี่อี้เจิ้น จากนั้นเขาก็นั่งลงที่ด้านข้างโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด ๆ อีก

ความพึงพอใจและภาคภูมิใจเกิดขึ้นภายในหัวใจของหลี่อี้เจิ้น อนาคตของตระกูลหลี่จะต้องรุ่งโรจน์แน่นอนเมื่อมีลูกชายของเขาอยู่!

“เจ้าเฒ่าแรดอินทนิลถูกฆ่าโดยเศษสวะตระกูลเฉินเช่นกัน? ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเติบใหญ่แล้ว!” หลี่เฟิงถูเหลือบมองไปที่ศพบนพื้น และน้ำเสียงของเขาก็เผยความประหลาดใจ

ผู้ดูแลอู๋ที่ยังคงคุกเข่าที่พื้นกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยปัญญาจริง ๆ จากการสังเกตของข้าไม่เพียงแต่การฝึกฝนปราณของเจ้าเด็กคนนั้นจะมีระดับที่สูงมาก แต่ระดับการขัดเกลากายาของมันยังลึกล้ำด้วย ถ้าข้าเดาไม่ผิดมันน่าจะก้าวเข้าสู่ขั้นสูงของขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว หากเราไม่สังหารมันโดยเร็วที่สุด ไอ้เด็กนั่นจะกลายเป็นภัยใหญ่ของตระกูลหลี่เราในอนาคตอย่างแน่นอน”

กายาขั้นขอบเขตก่อกำเนิด?

ทันทีที่ฟังจบ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงล้วนแสดงสีหน้าประหลาดใจ หากวัดจากระดับการบ่มเพาะเดียวกัน เมื่อวัดความแข็งแกร่ง ผู้บ่มเพาะกายาจะเหนือกว่าผู้บ่มเพาะปราณภายในเสมอ ทว่าในเมืองหมอกสนนั้นมีน้อยมากที่จะมีผู้บ่มเพาะกายาผู้ใดสำเร็จถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูง หรือถ้ามีคนผู้นั้นจะไม่มีใครกล้ายั่วยุหากไม่จำเป็นอย่างแน่นอน

“ข้าจะไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้!” หลี่ไฮว่ซึ่งนั่งไม่ไหวติงอยู่นานโพล่งกล่าวขึ้นมา จิตสังหารอันเข้มข้นพลันปะทุขึ้น ราวกับรังเกียจที่เฉินซีก้าวหน้าล้ำหน้าเขา

ปฏิกิริยาของนายน้อยใหญ่ ดูเหมือนจะอยู่ในการคาดการณ์ของทุกคน หลี่อี้เจิ้นรีบชิงกล่าวขัดทันที “ไฮว่เอ๋อร์ เจ้าควรใจเย็น ๆ สัญญาหมั้นของเฉินซีกับตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรได้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะก้าวหน้าไปสักเท่าใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแต่งงานกับคุณหนูซูเจียว”

“ท่านพ่อ ตระกูลซูเคยให้คำสัญญากับเราว่าท่านผู้นำตระกูลซูตกลงที่จะจัดงานแต่งระหว่างคุณหนูซูเจียวกับตัวข้าโดยมีเงื่อนไขคือต้องทำให้เฉินซีไร้ศักยภาพในการบ่มเพาะและทำให้เจ้านั่นอับอายขายหน้า ทว่าตอนนี้มันกลับก้าวหน้าไปมากแล้ว หากเรายังไม่รีบดำเนินการใด ๆ ข้าเกรงว่ามันจะสายเกินไป” หลี่ไฮว่ที่เคยเย็นชาและไม่แยแสสิ่งใดกลับกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนยามที่เขากล่าวถึงการแต่งงานที่ยังไม่ได้ข้อสรุป

“เจ้าพูดถูก ในเมื่อตอนนี้เรามั่นใจได้ว่าตราคำสั่งใต้พิภพตกอยู่ในการครอบครองของเฉินซี ดังนั้นเราก็ควรจัดการไอ้เด็กนั่นโดยเร็วที่สุด”

ผู้อาวุโสหลี่เฟิงถูครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างช้า ๆ “ผู้ดูแลอู๋ เจ้าเด็กคนนั้นอาศัยอยู่ที่ใดตอนนี้?”

“อยู่ที่ร้านอาหารนทีกระจ่าง”

ผู้ดูแลอู๋ตอบกลับอย่างเร่งรีบ “ตั้งแต่การลอบสังหารล้มเหลวเมื่อเดือนที่แล้ว ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนั้นจะสังเกตเห็นว่าภายนอกนั้นหาได้ปลอดภัย จึงเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในร้านอาหารนทีกระจ่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”

“ร้านอาหารนทีกระจ่าง? ฮึ่ม! เป็นเพียงร้านอาหารที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนแม่ทัพ อี้เจิ้น! เจ้าจงจัดคนไปจับเจ้าเด็กนั้นและพามันกลับมาที่นี่ภายในคืนนี้ ฆ่าใครก็ตามที่กล้าขัดขวางพวกเจ้า!”

หลี่เฟิงถูพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ข้าต้องการให้ทุกคนในเมืองหมอกสนรู้ว่าความตายเป็นเพียงจุดจบสำหรับคนที่กล้าทำให้ตระกูลหลี่ของข้าต้องขุ่นเคือง!”

“ไม่ต้องห่วงท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้ารับประกันว่าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” หลี่อี้เจิ้นน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ

“ตู้ชิงซีไม่ใช่ผู้ที่ยอมให้ใครรังแกง่าย ๆ” ในขณะนั้นเองเสียงที่คุ้นหูดังก้องกังวาน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาจากด้านนอกของห้องโถงใหญ่ ท่าทางของผู้คนในที่นั้นพลันเปลี่ยนไป

แม้ว่าท่าทางของผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความตกตะลึงได้ก่อตัวภายในใจเขาเช่นกัน

‘ผู้ใดกัน? มีใครบางคนที่สามารถปกปิดตัวตนในขณะที่แอบฟังจากด้านนอกภายใต้จมูกของข้า? ระดับการบ่มเพาะของคนผู้นี้บรรลุถึงระดับใด?’