บทที่ 32 ซูเจียว
บทที่ 32 ซูเจียว

คำตอบนั้นได้รับการเฉลยอย่างรวดเร็ว

ภายใต้การจดจ้องของผู้คน เด็กสาวผู้สวมชุดสีครามเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

นางมีผมสลวยเงางามราวกับด้ายไหม ใบหน้ารูปไข่อันมีสเน่ห์ของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย ความเย่อหยิ่งแฝงอยู่ในท่าทางที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดนั้น

หลี่ไฮว่เป็นผู้แรกที่ฟื้นจากอาการตกตะลึงเมื่อเขาเห็นเด็กสาวผู้นี้และลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูซู!”

ในเวลานี้ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็รับทราบถึงตัวตนของเด็กสาวที่สวมชุดสีคราม บางคนตื่นเต้น บางคนประหลาดใจ บางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ซูเจียวแห่งเมืองทะเลสาบมังกร ขอแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่ในที่นี่” โค้งคำนับเล็กน้อยขณะที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ

ผู้อาวุโสของตระกูลหลี่ฟื้นสติจากอาการตกตะลึง และทุกคนต่างก็เผยยิ้มบนใบหน้าขณะที่พวกเขาทักทายนาง หลังจากที่ซูเจียวนั่งลง ผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูก็ถามขึ้นทันทีว่า “เสี่ยวเจียว ผู้ใดใครคือตู้ชิงซีที่เจ้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้หรือ?”

“นางคือเจ้าของร้านนทีกระจ่างเจ้าค่ะ” ซูเจียวยิ้มบาง ๆ แล้วค่อยถอนหายใจ ก่อนกล่าวว่า “นางเป็นอัจฉริยะดั่งสวรรค์สร้างและค่อนข้างมีชื่อเสียงภายในเมืองทะเลสาบมังกร อีกทั้งยังเป็นลูกสาวอันล้ำค่าของผู้นำตระกูลตู้ที่แม้แต่ตัวข้าก็ไม่อยากมีปัญหากับนาง”

อะไรนะ!?

เจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังของร้านอาหารนทีกระจ่าง คือบุตรสาวคนโตของตระกูลตู้แห่งเมืองทะเลสาบมังกรหรือ?

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึง

เมืองทะเลสาบมังกร เป็นหัวใจของดินแดนทางตอนใต้ที่ครอบคลุมพื้นที่สองแสนห้าหมื่นลี้ ตัวเมืองมีลักษณะคล้ายกับเมืองหลวง แทบทุกตระกูลและนิกายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งนับได้ว่ามีความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวในอาณาเขตทางตอนใต้ทั้งหมดล้วนตั้งรกรากอยู่ที่เมืองนี้

ในบรรดามหาอำนาจของเมืองทะเลสาบมังกร ขุมกำลังที่โดดเด่นที่สุดนั้นได้แก่ แปดนิกายสามสำนักและหกตระกูลยักษ์ใหญ่ จุดแข็งของขุมกำลังยิ่งใหญ่เหล่านี้คือทรัพยากรที่สั่งสมเป็นทุนสำรองมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้

ตระกูลซูและตระกูลตู้นั้นต่างก็เป็นสองในหกตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร แม้ว่าตระกูลหลี่จะมีอำนาจเหนือเมืองหมอกสน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซูเจียว คุณหนูผู้มาจากหนึ่งในหกตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร พวกเขายังคงต้องให้เกียรติและแสดงความเคารพแก่นาง นี่คือความไม่เท่าเทียมกันของพลังอำนาจระหว่างตระกูล!

บัดซบ!

‘หากไม่ใช่เพราะการมาของซูเจียว ตระกูลหลี่ของข้าคงเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรงไปแล้ว!’ หลี่เฟิงถูหนาวไปทั่วแผ่นหลังเมื่อเขานึกถึงภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวของตู้ชิงซี

“ทว่าพวกท่านทุกคนไม่ต้องกังวลใจไป และไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับเศษสวะจากตระกูลที่ล่มสลายไปแล้ว เท่าที่ข้าทราบมาตู้ชิงซีดูเหมือนจะต้องการเลี้ยงดูเขาให้เป็นพ่อครัววิญญาณและพาเขาเข้าไปยังการทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนชิงตราคำสั่งใต้พิภพคืนจากเฉินซีผู้นั้นเอง”

ท่าทีของหญิงสาวสงบนิ่งราวกับว่านางหาได้กล่าวถึงเรื่องสำคัญ จากนั้นนางก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการดูว่าชายผู้นี้ที่เคยหมั้นหมายกับตัวข้าจะมีความสามารถเพียงใด”

“คุณหนูซูเนื่องจากท่านเดินทางมาที่เมืองหมอกสน ในฐานะเจ้าบ้านเมื่อถึงเวลาข้าจะพาท่านไปหาไอ้คนผู้นั้นด้วยตัวเอง!” หลี่ไฮว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาฉายแววความหลงใหลอย่างไม่ปิดบัง

“งั้นข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว” ซูเจียวยิ้มพร้อมกับพยักหน้าด้วยท่าทางที่ไม่แยแสเหมือนเช่นเดิม ทว่าสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจแท้จริงไม่อาจมีผู้ใดรับรู้ได้

สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เฉินซีนั่งอยู่บนพื้นและเปิดตำราอย่างช้า ๆ

ตำราเล่มนี้บันทึกประสบการณ์การบ่มเพาะและการเปลี่ยนแปลงของจิตใจของเขาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มเริ่มจดบันทึกผลการฝึกฝนของเขาทุกวันตั้งแต่วันที่เขาได้ฆ่าอสูรแรดอินทนิลสองหัว

เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้เป็นเพราะการที่เขาต้องเลิกสร้างยันต์อักขระที่เขาทุ่มเทมาตลอดห้าปี มันทำให้เขาลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงอยากจับพู่กันมาขีดเขียนตามอำเภอใจบ้าง…

ที่จริงแล้วเฉินซีย่อมรู้ตัวเองดีว่าเขายังคงรักการสร้างยันต์อักขระ และลวดลายของอักขระบนยันต์ที่เปี่ยมไปด้วยความละเอียดลึกซึ้งงดงามซึ่งเป็นผลงานของเขาเอง

บัดนี้มันกลับกลายเป็นรูปแบบของถ้อยคำในสมุด และคอยบันทึกทุกสิ่งซึ่งเขาไม่เต็มใจที่จะเล่าให้ผู้อื่นฟังลงไป

ข้ามีความสุขมาก! ผู้อาวุโสจี้อวี๋ชมเชยข้าที่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว อันที่จริงข้ารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะคำชี้แนะของผู้อาวุโสจี้อวี๋ เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับข้าที่จะบรรลุขั้นสูงในเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์!

ค่ำคืนนี้ เมื่อข้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่แยกวายุโกลาหล ข้าไม่อาจเข้าใจถึงแก่นของมัน จึงไม่อาจทะลวงไปสู่ระดับสูงได้ หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ข้ารู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนักและได้แต่นั่งที่ริมฝั่งแม่น้ำขณะที่ข้าจ้องมองอย่างว่างเปล่า ข้าจำได้ว่าเฉินฮ่าวไม่ท้อถอยแม้จะเหลือเพียงแขนซ้ายข้างเดียว ดังนั้นเหตุใดข้าจึงคิดท้อถอยกับเรื่องเพียงแค่นี้?

ในที่สุดข้าก็ได้เป็นพ่อครัววิญญาณระดับสองใบไม้! เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยต่างก็ยกย่องข้าว่าเป็นอัจฉริยะในวิถีเต๋าแห่งการปรุงอาหาร แต่ผู้เฒ่าหม่ากลับไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เขาบอกว่าไม่ควรยกยอข้ามากเกินไป มิเช่นนั้นข้าจะหลงระเริงซึ่งเป็นอันตรายต่อความก้าวหน้าของข้า…ฮ่า ๆ! อันที่จริงแล้วแม้ท่าทางของผู้เฒ่าหม่าจะแปลก ๆ แต่นิสัยของเขาก็ยังน่าเอ็นดูอยู่ดี!

ในยามดึก ขณะที่ข้าท่องไปในพื้นที่ป่าเถื่อนต้องห้ามทางตอนใต้ ข้าได้พบกับสัตว์อสูรที่มีขอบเขตก่อกำเนิดที่ถูกผู้คนเรียกว่าวานรอำพันจอมพลัง ผิวของมันแข็งเหมือนเหล็กกล้าที่ยากจะได้บาดเจ็บจากกระบี่หรืออาวุธมีคม ความเร็วของมันราวกับสายฟ้า และความแข็งแกร่งของมันก็สูงล้ำ เมื่อเห็นว่าไม่อาจหนีมันพ้น ข้าจึงยืนหยัดสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ข้าสามารถแทงทะลุลำคอของมันได้ด้วยวิชากระบี่ของข้า แม้ปราณแท้ของข้าใกล้จะแห้งเหือด อีกทั้งร่างกายของข้ายังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ท้ายที่สุดข้าก็ฆ่ามันได้

หลังจากผ่านการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในที่สุดหมัดถล่มทลายก็ก้าวขึ้นสู่ระดับที่สาม ‘ทลายหินให้เป็นเข็มแหลม’ และในขณะเดียวกันความเชี่ยวชาญในการใช้วิชากระบี่ของข้าก็ก้าวไปสู่ขั้นสูงเช่นกัน มันเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก ผู้อาวุโสจี้อวี๋กล่าวติดตลกว่า เราควรจะเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จนี้!

………………………

ขณะที่ชายหนุ่มพลิกดูสมุดที่เขาเขียนบันทึกไว้ ราวกับเขากำลังหวนนึกถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในยามนั้น และมุมปากของเฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเล็กน้อย

ผู้เฒ่าหม่าผลักประตูเข้ามาและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ? เจ้ายิ้มเป็นกับเขาด้วยหรือเจ้าหนู?”

ในภาพจำของเขา เฉินซีนั้นสมฉายา ‘เฉินหน้าตาย’ เนื่องจากสีหน้าของชายหนุ่มไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ทว่าขณะนี้ผู้เฒ่าหม่ากลับเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา จึงอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

เฉินซีปิดสมุดลงและถามว่า “ข้าต้องเริ่มฝึกเพื่อเป็นพ่อครัววิญญาณระดับสามใบไม้แล้วหรืออาจารย์?”

“เจ้ายังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล หากเรียนรู้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อการพัฒนาของเจ้า” ผู้เฒ่าหม่าส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่อแจ้งให้เจ้าทราบว่าท่านเจ้าของร้านตู้มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

ขณะที่เขากล่าว ผู้เฒ่าหม่าสังเกตเห็นแผ่นหยกที่อยู่ข้างกายเฉินซีอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหยิบขึ้นมาดู และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “เคล็ดวิชากระบี่แยกวายุโกลาหล?”

“ใช่ขอรับ” เฉินซีพยักหน้ารับ

มีผลึกวิญญาณสามพันก้อนที่เก็บไว้ภายในแหวนมิติที่เขาได้รับจากการฆ่าอสูรแรดอินทนิลเมื่อสองเดือนก่อน เขาได้นำผลึกวิญญาณออกมาห้าร้อยก้อน และมอบหมายให้เพ่ยเพ่ยนำพวกมันไปแลกซื้อเคล็ดวิชากระบี่แยกวายุโกลาหลมาจากท้องตลาด

เคล็ดวิชากระบี่แยกวายุโกลาหลถือเป็นวิชาล้ำค่าในหมวดหมู่เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับกลาง วิชากระบี่นี้ขึ้นชื่อเรื่องความว่องไวและเฉียบขาดเสมือนงูพิษที่ปราดเปรียวแต่อันตรายยิ่งยวด เมื่อเคล็ดวิชานี้ได้รับการปรับปรุงจากผู้อาวุโสจี้อวี๋ มันจึงกลายเป็นวิชากระบี่ที่มีหกกระบวนท่า ความรุนแรงของมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ระดับของเคล็ดวิชาเปลี่ยนเป็นระดับสูงซึ่งทำให้เฉินซีชื่นชอบมันยิ่งนัก

“ไม่เลว การมีวิชากระบี่ติดตัวเอาไว้บ้างย่อมทำให้เจ้าปกป้องตัวเองได้ดียิ่งขึ้น”

พ่อครัวเฒ่าไอแห้ง ๆ “แต่เฉินซี ข้าคิดว่าเจ้าควรทุ่มเทให้กับวิถีเต๋าแห่งการทำอาหารมากกว่านี้ ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดในวิถีเต๋าแห่งการทำอาหารเช่นเจ้าย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับสูงสุดของพ่อครัววิญญาณ ถ้าเป็นเช่นนั้นทั้งแผ่นดินต้าซ่งจะต้องตกตะลึงด้วยชื่อเสียงเรียงนามของเจ้า เมื่อนั้นแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเชิญเจ้าไปเป็นพ่อครัววิญญาณส่วนพระองค์อย่างแน่นอน!”

ผู้เฒ่าหม่าพยายามหลอกล่อเฉินซีด้วยความฝันอันน่าเย้ายวน ซึ่งเพียงพอที่จะกระตุ้นพ่อครัววิญญาณคนใดก็ได้ แต่ชายหนุ่มกลับไม่แยแสมัน เพราะเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องการทำ และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะเป็นพ่อครัววิญญาณตลอดไป

“เฮ้อ… ช่างเถิด เจ้าย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง ข้าไม่อาจบีบบังคับเจ้าได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากให้เจ้าไปเข้าร่วมการแข่งขันจัดอันดับพ่อครัววิญญาณที่ราชวงศ์ซ่งจัดขึ้นในทุก ๆ สิบปีเพราะมันจะถือว่าช่วยเติมเติมความปราถนาของข้าได้จริง ๆ”

ผู้เฒ่าหม่าตบไปที่บ่าของเฉินซี ขณะที่ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความกังวลใจและความคาดหวังอันหาได้ยาก

บางทีนี่อาจเป็นความปรารถนาอันแสนยาวนานของผู้เฒ่าหม่า? สิ่งนี้ทำให้เฉินซีระลึกถึงท่านปู่ของเขา ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ชายชราปรารถนาที่จะรื้อฟื้นตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ แต่ช่างน่าเสียดายที่เขาถูกฆ่าตายก่อนที่เขาจะทำความปรารถนาของตัวเองให้เป็นจริง…

ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าเสียใจยามเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงตอบรับด้วยท่าทางที่แน่วแน่ว่า “ข้าสัญญา!”

ผู้เฒ่าหม่าตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็จากไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อเขาเดินออกจากห้อง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะลั่นด้วยความพอใจและความสุขอันมากมาย

‘ถ้าท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่และเขาเห็นการบ่มเพาะของข้าก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด เขาคงจะหัวเราะอย่างมีความสุขเหมือนผู้เฒ่าหม่าใช่หรือไม่?’

เฉินซีส่ายศีรษะ และพยายามสลัดความคิดที่ไม่อาจเกิดขึ้นภายในใจของเขาออกไป จากนั้นเขาก็หยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษเปล่า

อึก! อึก! อึก!

จู่ ๆ จี้อวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องอันเงียบสงบ และเขาก็หยิบขวดน้ำเต้าขึ้นมากระดกสุราก่อนจะถามว่า “เขียนเสร็จแล้วหรือ?”

“ใช่แล้ว” เฉินซีกล่าวและเขาก็ส่งกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรหยาบ ๆ

คำบนกระดาษแบ่งออกเป็น สี่หมวดหมู่

หมวดที่หนึ่ง: หมวดการบ่มเพาะ ขอบเขตก่อกำเนิดการกลั่นปราณภายในระดับสมบูรณ์ และขอบก่อกำเนิดการขัดเกลากายาระดับที่ 5

หมวดที่สอง: หมวดวิชาการต่อสู้ หมัดถล่มทลายบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ในขั้นเอกภาพ กระบี่แยกวายุโกลาหลและแปดก้าวมังกรสวรรค์ได้บรรลุขั้นสูงแล้ว

หมวดที่สาม: หมวดอาวุธ กระบี่อัสนีคราม สมบัติวิเศษที่ไม่อาจประเมินระดับ

หมวดที่สี่: การประเมินพลังในการต่อสู้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิลหาใช่คู่มือ แต่โอกาสที่จะชนะยามเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะระดับสูงกว่านั้นยังคงไม่สูงนัก

ตั้งแต่วันที่เขาเริ่มฝึกฝนวิชาตัวเบาและวิชากระบี่ จี้อวี๋ได้ขอให้เฉินซีใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อทบทวนตัวเอง โดยทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในความแข็งแกร่งของเขา และสรุปประสบการณ์การต่อสู้ของเขามา

ตามที่อสูรเฒ่ากล่าวไว้ ความก้าวหน้าที่ปราศจากการฝึกฝนและการไตร่ตรองตนเองย่อมไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

เฉินซีชื่นชอบการปฏิบัตินี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มักจะสรุปประสบการณ์ต่อสู้และไตร่ตรองในตนเองเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง และก้าวไปบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนอย่างมั่นคง บันทึกนี้เฉินซีเก็บรักษาไว้ดั่งสมบัติ เขาตั้งใจว่าจะเรียกมัน ‘ตำราสะท้อนตัวตน’

จี้อวี๋หยุดอ่านและไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ จากนั้นเขาก็หยิบแปรงขึ้นมาและเพิ่มถ้อยคำที่ด้านบนของกระดาษ ‘ดวงวิญญาณ การรับรู้ขั้นพลัง’

เฉินซีหยิบแผ่นกระดาษมาอ่าน และเขาก็ต้องตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้

เท่าที่เขาทราบมา ดวงวิญญาณถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในร่างกายของผู้คน พลังวิญญาณนั้นลึกซึ้งและยากที่จะทำความเข้าใจ โดยสามารถแบ่งออกเป็นห้าขั้นอย่างคร่าว ๆ ได้แก่ ก่อการรับรู้ เสริมญาณรับรู้ รับรู้ด้วยวิญญาณ ญาณรับรู้เซียน และจิตสัมผัสเทพ

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของพลังวิญญาณก็ไม่ได้ตายตัว บางคนเกิดมาพร้อมกับดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งและสามารถบังเกิดญาณรับรู้เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิด ในขณะที่พลังวิญญาณของบางคนนั้นกว่าจะก่อเกิดญาณรับรู้ได้ก็หลังจากที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล

ใจความสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเคล็ดวิชาจินตภาพ

หากปราศจากเคล็ดวิชาจินตภาพนั่นย่อมหมายถึงไม่สามารถบ่มเพาะดวงวิญญาณได้ และทำได้เพียงปล่อยให้ดวงวิญญาณพัฒนาไปตามยถากรรมตามระดับการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง ภายในโลกแห่งการบ่มเพาะจึงรับรู้โดยทั่วกันว่า ผู้บ่มเพาะในขอบเขตก่อกำเนิดจะครอบครองพลังการรับรู้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจะครอบครองญาณรับรู้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำจะครอบครองการรับรู้ด้วยวิญญาณ ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะครอบครองญาณรับรู้เซียน และผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ หรือสูงกว่านั้นจะครอบครองจิตสัมผัสเทพ

“สิ่งมหัศจรรย์เช่นดวงวิญญาณนั้นล้ำลึกกว่าที่เจ้าคิด เจ้าที่ครอบครองตราประทับกายาอันแท้จริงที่นายท่านของข้าทิ้งไว้คงจะพอสังเกตเห็นได้ว่า ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณไม่เพียงแต่สามารถเสริมความสามารถในการเข้าใจของเจ้าได้ แต่ยังสะท้อนให้เห็นขีดจำกัดปัจจุบันของเจ้าในทำนองเดียวกัน”

จี้อวี๋นอนบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ขณะที่เขากำลังอธิบายด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “หากไม่ใช่เพราะดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งของเจ้า มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะฝึกฝนวิชาหมัดถล่มทลายสู่ขั้นเอกภาพ นอกเหนือจากการฝึกฝนอย่างหมั่นเพียรแล้ว ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งของเจ้ายังมีบทบาทสำคัญในการฝึกฝนวิชาตัวเบาและวิชากระบี่ที่รุดหน้าได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”

อันที่จริงเฉินซีได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีดวงวิญญาณแข็งแกร่ง จากเวลาที่เขาสร้างยันต์อักขระหรือจากการเรียนรู้ศิลปะการทำอาหาร ดังนั้นเมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้อาวุโส เขาก็พลันรู้สึกรู้แจ้งในทันที

“ดูเหมือนว่าข้าต้องทุ่มเทให้กับการฝึกฝนดวงวิญญาณในภายภาคหน้าให้มากขึ้นไปอีก…” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นว่าร่างของจี้อวี๋หายลับไปแล้ว และขณะที่เขายังคงตะลึง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังจากภายนอก

“เฉินซีการทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพจะเริ่มต้นขึ้นในอีกสามวันนับจากนี้ ออกมาจากห้องข้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับเจ้า”