วันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง ปี้อิ้งถือตะกร้าออกจากลานบ้าน ไปทำงานที่จวนโหวตามปกติ
ก่อนจะออกไป อวิ๋นหว่านเฟยรั้งมือของสาวใช้ไว้ แล้วกำชับอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง “จำคำพูดของข้าเมื่อคืนไว้แล้วใช่หรือไม่ บอกเขาเช่นที่ข้าบอกกับเจ้า หากวันนี้เรียกคุณชายรองมาไม่ได้ ข้าจะสอบเจ้าอย่างหนัก!”
ปี้อิ้งเห็นอวิ๋นหว่านเฟยอารมณ์ไม่ดีนัก จึงลูบใบหน้าที่ยังไม่หายบวมเป่ง กล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
อวิ๋นหว่านเฟยพิงบนบานประตูเก่าลายพร้อย พลางจับจ้องเงาหลังของปี้อิ้งเปิดประตูเดินไกลออกไป นางยากจะอารมณ์ดีสักครั้ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจาง ก่อนจะจับผมกำหนึ่งมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นเห็นว่าผมดกดำของตนกระเซอะกระเซิง นางก็รับกลับเข้าไปในเรือน
ในกระจกแต่งหน้า ปรากฏใบหน้าที่เสียเกียรติมาหลายเดือน ดวงตาทั้งสองข้างสิ้นหวัง พวงแก้มตอบไม่สดใส เลือดฝาดบนใบหน้าไม่มีเลยสักนิด…เหมือนคุณหนูรองจวนรองเจ้ากรมที่เดิมทีได้รับการประคบประหงม และมีพ่อแม่รักใครเอ็นดูที่ไหนกัน สภาพน่าสมเพชเช่นนี้ ถึงมีท่านพี่ไท่มา แล้วเขาจะมองนางอย่างไร
ความเกลียดแค้นในใจของอวิ๋นหว่านเฟยแพร่กระจายราวกับพิษงู ตั้งแต่ถูกบิดาขังอยู่ในห้องภายในบ้านของมารดา จนกระทั่งตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาหลังออกจากบ้านของมารดาไป อวิ๋นหว่านชิ่นล้วนเป็นคนทำ ในเมื่อให้กำเนิดนางแล้ว ไยยังต้องให้กำเนิดตนอีก หากไม่มีนาง ชีวิตของตนคงจะดียิ่งนัก! ที่ตนมีสภาพเช่นนี้ในปัจจุบัน นางจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร? ไม่มีทาง!
หลังจากสงบใจลงได้ นางก็เทน้ำกะละมังหนึ่ง ล้างหน้าล้างตา ม้วนผมอีกครั้ง ก่อนจะนำน้ำมันหอมจากในตลับเครื่องสำอางของสาวใช้ออกมาทาหน้า หน้าตาของคนในกระจกถึงจะกลับมาดูมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
ปี้อิ้งเป็นสาวใช้อยู่ในจวนโหวมานาน จึงคุ้นเคยเหมือนเช่นแต่ก่อน นางปลีกตัวมาที่เรือนตะวันตกของมู่หรงไท่ ทว่าด้วยกลัวฮัวฟ่านจะมาขวางไว้ จึงซ่อนตัวอยู่ใต้รั้วด้านนอกลาน รอให้ฮัวฟ่านถือตะกร้าออกไปทำงาน ถึงจะลอบเข้าไป นางเดินอยู่ด้านนอกห้องของมู่หรงไท่ ครั้นว่ารอบข้างไม่มีคน ถึงอ้อมตู้สีมรกต เคาะประตูด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “คุณชายรอง บ่าวคือปี้อิ้ง บ่าวของฮูหยินอวิ๋นเจ้าค่ะ”
เมื่อวานมู่หรงไท่ได้ยินข่าวดีของอวิ๋นหว่านชิ่น จนถึงตอนนี้เข้ายังโมโหอยู่ ชายหนุ่มพลิกตัวนอนไม่หลับทั้งคืน เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นหว่านเฟยส่งคนมาหา เขาก็พลันขมวดคิ้ว “ฮัวฟ่าน ฮัวฟ่าน! ไปอยู่ที่ไหนแล้ว! ปล่อยให้นางเข้ามาได้อย่างไร…”
ปี้อิ้งอ้อนวอน “คุณชายรอง! ตั้งแต่ฮูหยินแต่งให้ท่าน นางก็อยู่นอกจวนมาตลอด บัดนี้ไม่เหมือนคนไม่เหมือนปี ยังมีสภาพเหมือนคุณหนูของรองเจ้ากรมเสียที่ไหน นางได้รับความไม่เป็นธรรม ดีเลวอย่างไรท่านก็เห็นแก่ความรักเก่าระหว่างพวกท่านด้วยเถอะเจ้าค่ะ…ไปพบฮูหยินของบ่าวหน่อยนะเจ้าคะ”
“นางลดตัวมาเป็นเมียน้อย อยากจะเข้าจวนโหวใจจะขาด ที่นางเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะนางทำตัวเอง!” มู่หรงไท่กดอารมณ์โมโหไว้ ก่อนจะแค่นหัวเราะ “ท่านปู่ยังจำเรื่องที่ฮูหยินคุกคามได้ ข้าไปพบนางตอนนี้ คงทำให้ท่านปู่ไม่สบายใจนัก! ยังไม่รีบไสหัวไปอีก! ขืนยังกล้ามาหาข้าโดยไม่รับอนุญาตอีก ข้าจะตัดขาเจ้าเสีย แล้วไล่นางออกไป!” เมื่อได้ยินคำว่า ‘คนรักเก่า’ มู่หรงไท่ก็ยิ่งกลัดกลุ้มอยู่ในใจอย่างน่าประหลาด หากไม่ใช่เพราะเล่ห์กลของอวิ๋นหว่านเฟย อวิ๋นหว่านชิ่นจะคิดหาวิธีถอนหมั้นตน ทั้งยังพูดจาใจร้าย ตัดบัวไม่เหลือใยได้อย่างไร
ปี้อิ้งกัดฟัน ชายหนุ่มใจร้ายขึ้นมาแล้วช่างไร้น้ำใจยิ่งนัก ก่อนคุณหนูรองของนางแต่งกับเขา ก็นับว่าเคยรักกันหวานซึ้ง ไม่สนใจว่าขนบหรือเรื่องที่เขาเป็นคู่หมั้นของพี่สาวเลยสักนิด นางยอมเทหมดหน้าตัก คนอื่นไม่เข้าใจคุณหนูรองก็ช่างเถิด แต่บุรุษผู้นี้จะใจดำกับคุณหนูรองเช่นนี้ไม่ได้! ปี้อิ้งเห็นมู่หรงไท่กำลังจะออกมาไล่ตน จึงพูดโพล่งออกไป “…คุณชายรอง! ฮูหยินของข้ากล่าวว่า นางมีวิธีทำให้คุณหนูใหญ่ไม่ได้แต่งเข้าจวนอ๋องสมดังใจ! คุณหนูใหญ่ต้องอยู่กับท่านเท่านั้น!”
มู่หรงไท่ชะงักไปในทันที อารมณ์โกรธขึ้งหายไปมากกว่าครึ่ง
“คุณชายรอง ท่านไปพบฮูหยินหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ปี้อิ้งตีเหล็กตอนที่ยังร้อย
“นางจะมีวิธีอะไร? นั่นเป็นการอภิเษกที่ฝ่าบาทพระราชทานให้! หากนางเก่งถึงเพียงนาง ตนเองคงไม่เป็นแค่เมียน้อยกระมัง!” มู่หรงไท่ดึงสติกลับมา คิดเพียงว่าอวิ๋นหว่านเฟยจะหลอกให้ตนไปหา จึงยิ่งโมโหมากขึ้นหลายเท่า
“ฮูหยินกล่าวว่า เกรงว่าเรื่องนี้นางจะทำได้จริงๆ” ปี้อิ้งรีบกล่าว
มู่หรงไท่สะบัดแขนเสื้อ หากรู้ว่านางหลอกตน เขาต้องทึ้งกระดูกของนางให้จงได้ ประตูห้องพลันเปิดเสียงดัง ‘ปัง’ สีหน้าของชายหนุ่มใจเย็นขึ้นหลายส่วน “เจ้ากลับไปบอกฮูหยินของเจ้า ว่าคืนนี้รอท่านปู่พักผ่อนแล้วข้าจะไปหา”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินต้องรอท่านแน่” ปี้อิ้งดีใจจนออกนอกหน้า ก่อนจะหมุนตัวก้มหน้าเดินไป
ขณะที่ปี้อิ้งเดินออกจากเรือนตะวันตก ฮัวฟ่านก็กลับมาจากข้างนอกพอดี นางเห็นเงาร่างของอีกฝ่ายออกมาจากในเรือน จึงพลันตะลึงงัน ความโมโหเพิ่มขึ้นในใจหลายส่วน ด้วยฮูหยินอวิ๋นต้องการพัวพันกับมู่หรงไท่ไม่เลิก แต่คาดว่าคุณชายรองคงจะไล่ออกมา คิดดูแล้วจึงวางใจลงได้มาก ก่อนจะถอนใจออกมาสองเสียง
ครั้นเพิ่งเข้าไปในเรือน ฮัวฟ่านกลับได้ยินมู่หรงไท่สั่งว่า “ฮัวฟ่าน อีกเดี๋ยวฟ้ามือแล้ว ข้ากินข้าวเสร็จจะออกไปข้างนอกสักหน่อย หากท่านปู่ส่งคนมาพบว่าข้าไม่อยู่ แล้วสอบถามขึ้นมา เจ้ารับมือไปก่อน เข้าใจหรือไม่”
ฮัวฟ่านชะงักงัน เมื่อคิดได้ว่าปี้อิ้งเพิ่งออกไป จึงเข้าใจบ้างแล้วว่าคุณชายรองจะไปที่ใด นางลองถามเสียงสั่นเครือ “หรือว่าคุณชายรองจะไปหา…ฮูหยินรอง?”
“เรื่องของเจ้านาย เจ้าถามมากความได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้าจะที่ไหน จะไปหาใครต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ” มู่หรงไท่ไม่ค่อยพอใจนัก จึงตำหนิ
ฮัวฟ่านอิจฉาและแค้นใจ ไม่อาจปล่อยวางลงได้แม้สักวินาทีเดียว ตนไม่อยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น อวิ๋นหว่านเฟยผู้นั้นก็กลับมาครองใจได้อีก น่าแปลกนัก คุณชายรองเข้มงวดในฐานะมาตลอด ด้วยกลัวว่าจะทำให้ท่านเหล่าโหวไม่สบายใจ จึงไม่กล้าหาฮูหยินอวิ๋นที่เรือนสันโดษ วันนี้ก็ไม่รู้ว่าปี้อิ้งพูดอะไรบ้าง ถึงโน้มน้าวใจคุณชายรองได้…ช่างเถิด แต่หากคุณชายรองไปแล้ว กิย่งไม่รู้ว่าอวิ๋นหว่ายเฟยผู้นั้นจะใช้วิธีชั่วช้าอะไรรั้งสามีไว้
ในใจของนางเกิดข้อโต้เถียงมากมาย ทว่าใบหน้ากลับไม่มีความรู้สึก นางอดทนไว้ แล้วตอบเสียงอ่อนหวานและนอบน้อม “เจ้าค่ะ ฮัวฟ่านเข้าใจแล้ว”
เมื่อม่านราตรีโรยตัวลง มู่หรงไท่รับประทานอาหารเย็นกับท่านปู่และท่านย่าตามปกติ บอกกล่าวเรื่องที่น่ายินดี และขอลากลับไปที่เรือนตะวันตกก่อน ขณะเพิ่งกลับเข้าเรือน เขาเปลี่ยนสวมชุดคลุมผ้าไหมตัวยาวสีเข้ม ก่อนจะกำชับกับฮัวฟ่าน แล้วออกจากประตูด้านข้างของขวนกุยเต๋อโหวไปลำพัง
ฮัวฟ่านตามเขาออกไปหลายก้าว ก่อนจะหยุดยืนอยู่ใต้ระเบียง มองส่งคุณชายจากไป ครั้นเห็นเขาหายไปแล้ว สายตาของหญิงสาวพลันหม่นลง ไม่ได้ ต้องไปดูสักหน่อยว่าเขาเรือนสันโดษจริงหรือไม่ จะได้เห็นว่าอวิ๋นหว่านเฟยต้องการเล่นลูกไม้อะไร หากคุณชายติดกับดักชั่วร้ายของนางเข้า คิดจะพานางกลับจวน ให้นางเป็นใหญ่อีกครั้งเห็นทีจะไม่ดี
คิดได้ดังนั้น ฮัวฟ่านก็ไล่สาวไช้สองคนออกไป หลังจากรออยู่สักพัก นางถึงออกจากจวนโหวไปบ้าง
เมื่ออ้อมโค้งหนึ่งไปได้ มู่หรงไท่ก็มาถึงเรือนสันโดษขนาดเล็กด้านนอกจวนโหว ภายในมืดสนิท เรือนดูเตี้ยกว่าทั่วไป ใต้ระเบียงมีโคมจุดไว้ส่องแสงพริ้วไหว สภาพแวดล้อมน่าอดสูยิ่งนัก สุดท้านเขาก็ผลักประตูเข้าไปเสียงดัง ‘เอี๊ยด’
ขณะเดียวกัน ฮัวฟ่านที่ตามหลังมู่หรงไท่ไกลอยู่หลายสิบก้าว นางอยู่ภายใต้หมวกม่าน ปลีกตัวอย่างว่องไว เข้าใกล้นอกกำแพงเตี้ยของเรือนสันโดษ สายตาพลางสอดส่องภายในอย่างเงียบๆ
ตั้งแต่อวิ๋นหว่านเฟยจากปี้อิ้ง นางก็นั่งอยู่ใต้ระเบียงตลอดทั้งบ่าย ด้วยไม่รู้ว่ามู่หรงทีจะมาเมื่อใด นางไม่กล้าดื่มน้ำ ไม่กล้ากินข้าว กลัวว่าจะทำให้เครื่องสำอางเลอะเลือน บัดนี้นางใกล้จะกลายเป็นท่อนไม้แล้ว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่ม นางพลันผุดลุกขึ้น เห็นเงาร่างของมู่หรงไท่ ทำเอานางอีใจจนออกนอกหน้า ตื่นเต้นจนน้ำเสียงเปลี่ยนไป “ท่านพี่ไท่ ท่านมาแล้ว…”