ความรักอ่อนหวานเต็มตื้นอยู่ในใจท่วมท้นขึ้นมา บัดนี้ความเกลียดแค้นที่อวิ๋นหว่านดฟยมีต่อชายหนุ่มแทบไม่เหลือแล้ว นางโผเข้าสวมกอดมู่หรงไท่ ความอดสูที่อัดอั้นอยู่ในอกทะลักออกมา จนนางสะอึกสะอื้น “ท่านพี่ไท่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว เฟยเอ๋อร์รู้ว่าท่านยังอาลัยอาวรณ์ ท่านดูสิว่าเฟยเอ๋อร์อยู่ในสถานที่เช่นไร…”
วันนี้มู่หรงไท่ไม่ได้มาเพื่ออาลัยรักนาง เขาสะบัดนางทิ้ง แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พอแล้ว! เจ้าเรียกข้ามาด้วยเหตุใด ลืมไปแล้วหรืออย่างไร? มีอะไรก็รีบพูดมา! ข้ายังต้องรีบกลับไป หากท่านปู่พบว่าข้ามาที่นี่ คงจะไม่พอใจแน่!”
หัวใจของอวิ๋นหว่านเฟยเพิ่งจะออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ บัดนี้เหมือนถูกใครเมน้ำเย็นราดจนมอดดับ เขาผลักนางออกจนโซเซอยู่คร่หนึ่ง ก่อนจะกลับมายืนตัวตรงได้ ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มสิ้นหวังท่ามกลางแสงมืดสลัว บัดนี้นางตาสว่างแล้ว เขามานางเพื่อเรื่องของพี่สาว เขามาหานางจริงๆ เสียที่ไหนกัน แล้วนางจะยังเพ้อฝันอยู่ได้อย่างไรเล่า!
อวิ๋นหว่านชิ่น นังแพศยาที่ไม่มีแม่คอยดูแล ไม่มีพอคอยรักใคร่ แล้วอวิ๋นหว่านเฟยจะยอมแพ้ได้อย่างไร
เหตุใดตอนนี้นางได้พบสามีสักครั้ง แต่เขากลับอ้างชื่อของอวิ๋นหว่านเฟย!
ในใจของอวิ๋นหว่านเฟยเหมือนมีไฟกับน้ำแข็งปนกันไป นางไม่ลังเลอะไรอีก ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว
“เจ้ารีบพูดเถะ” มู่หรงไท่เห็นนางไม่พูดจา จึงร้อนใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกดีใจนัก แต่จู่ๆ สีหน้าของเขาก็หม่นลง แล้วกล่าวอย่างดุดัน “เจ้าคงไม่ได้หลอกข้ามากระมัง? เอาล่ะ…อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่มาที่นี่อีก! เจ้าตายอยู่ที่นี่ลำพังก็แล้วกัน!”
ด้านนอกกำแพง ฮัวฟ่านรู้สึกดีใจ ทำตัวเองแท้ๆ สวมควรแล้ว!
มู่หรงไท่หมุนตัวเตรียมจะสาวเท้าไป แต่กลับได้ยินเสียงของอวิ๋นหว่านเฟยดังมาจากข้างหลัง สามส่วนเป็นเสียงหัวเราะเยือกเย็น เจ็ดส่วนเป็นความน่าสะพรึงกลัว
“ข้าไม่หลอกท่านหรอก ท่านคิดถึงพี่สาวของข้าไม่ใช่หรือ มีวิธีอยู่มากมาย ข้าไม่เพียงทำให้นางแต่งเข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ได้ นางยิ่งต้องเชื่อฟังท่าน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่าพ่อของข้าก็ต้องให้นางแต่งกับท่าน!”
เสียงของนางเหมือนมาจากบ่อน้ำแข็งก็ไม่ปาน ไม่มีไอร้อนแม้สักนิด และดังกังวานอยู่ในบ่อน้ำเก่าภายใต้ยามราตรีปกคลุม
มู่หรงไท่หมุนตัว เหมือนจะรู้ตัวว่านางมีแผนบางอย่าง จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เจ้าคิดจะทำอย่างไร หากทำเรื่องใหญ่ ถึงตอนนั้นข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ!”
“ข้าไม่รู้จักนิสัยของท่านพ่อหรืออย่างไร บุตรสาวในครอบครัวก่อเรื่องน่าอาย เขาคิดจะปิดบังก็คงไม่ทัน จะเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร ถึงตอนนั้นมีแต่ท่านจะได้เปรียบ ตอนนี้พี่สาวของข้ากับท่านเป็นเหมือนน้ำกับไฟ ท่านยากจะเข้าใกล้นาง ทำได้เพียงให้ข้าช่วยล่อลวงนางออกมา” อวิ๋นหว่านเฟยกล่าวเสียงเรียบ
มู่หรงไท่ย่นจมูก อธิบายความยินดีในใจไม่ได้ สองวันนี้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาก จึงเดินเข้าไปสองสามก้าว น้ำเสียงอ่อนลงมากทีเดียว “ดี เช่นนั้นพวกเราเข้าไปคุยกัน”
“แต่ข้ามีข้อแม้” อวิ๋นหว่านเฟยกลับไม่ขยับฝีเท้า
มู่หรงไท่รู้ว่านางไม่ใช่คนดีนัก ในเมื่อนางช่วยเขาทำเรื่องเช่นนี้ ไหนเลยจะทำให้เปล่าๆ เขาจึงหัวเราะเสียงเบา ทว่าใบหน้างดงามท่ามกลางเงาใต้ระเบียงกลับบิดเบี้ยว เสียงของเขาอ่อนโบนนัก แทบจะล่อลวงปีศาจได้อยู่แล้ว “เฟยเอ๋อร์ ข้ารับรอง ขอเพียงเรื่องนี้เป็นดังที่ข้าต้องการ ข้าจะคิดหาวิธีโน้มน้าวท่านปู่ ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้กลับจวนกุยเต๋อโหว ได้รับตำแหน่งฮูหยินคืน” จากนั้นเขาก็เข้าใกล้นาง กดหน้าปากลงพ่นลมร้อนที่ข้างหูของหญิงสาว “เจ้าจะต้องไม่อดสูอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ด้านนอกกำแพง ฮัวฟ่านได้แต่มองคุณชายรองโอบอวิ๋นหว่านเฟยเข้าไปในเรือน ราวกับจะหารืออะไรบางอย่าง ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม แสงไฟในเรือนก็ดับมอด ก่อนจะมีเสียงหอบหายใจของชายหญิง และเสียงดึงทึ้งเสื้อผ้าดังขึ้น จากนั้นปี้อิ้งก็วิ่งหน้าแดงออกมาจากข้างใน พร้อมทั้งปิดประตู
ดูท่าทางอีกนานทีเดียว คุณชายรองถึงจะกลับ
ฮัวฟ่านกลับหลังหันด้วยความเคียดแค้น ทว่าในใจของนางกลับเหมือนมีแสงสว่างขึ้นมา เห็นทีฮูหยินอวิ๋นผู้นี้จะจับจุดอ่อนของคุณชายรองไว้ได้ ใช้เรื่องการแต่งงานของพี่สาวมาพันผูกเขา…
นางคิดจะทำอะไรกันแน่? แต่ไม่ว่าอย่างไร ฮัวฟ่านรู้เพียงว่าจะต้องเป็นแผนการช่วยร้ายต่อคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นแน่
หรือว่าอวิ๋นหว่านเฟยจะวางแผนเอาใจคุณชายรอง และผันตัวกลับไปอยู่จวนโหว?
ฮัวฟ่านพลันกำหมัดแน่น เงาร่างของนางหายไปในความมืด กลับไปที่จวนกุบเต๋อโหวพร้อมกับความคิดมากมาย
…
ก่อนคณะล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงจะกลับเมืองหลวง เจี่ยงยิ่งขอพระราชทานอนุญาต แยกจากทุกคนที่ลานล่าสัตว์ ทั้งยังขอม้าฝีเท้าว่องไวตัวหนึ่ง แล้วขี่ม้ากลับเส้นทางเต๋าในป่าเขา
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเจิ้งหัวชิวบอก ว่าหนิงซีฮ่องเต้โน้มน้าวเจี่ยงยิ่น ทว่าก็ยังรั้งท่านกั๋วจิ้วผู้นี้ไว้ไม่ได้ ฝ่าบาทพลันมีสีหน้าเครียดเกร็ง เขาแทบอยากตบหน้าเจี่ยงยิ่นสักครั้ง สุดท้ายทำได้เพียงอารณ์เสีย สะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “เจี่ยงยิ่นผู้นี้ ข้ารั้งเจ้าไว้ไม่ได้ก็ช่าง แต่ต่อไปหากเจ้าคิดจะกลับวังหลวง ก็คงไม่เหลือตำแหน่งให้เจ้าแล้ว! ไสหัวไปให้เร็ว!”
เจี่ยงยิ่นกลับยิ้มจางๆ ด้วยเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด เขาสะบัดแขนเสื้อกว้าง แล้วก้าวยาวๆ ออกจากตำหนักชางผิง ตามเหยาฝูโซ่วไปเลือกม้าในคอกม้าหลวง
หากว่ากันจากใจจริง อวิ๋นหว่านชิ่นอยากให้ท่านกั๋วจิ้วอยู่ที่เมืองหลวง แต่เขามีปณิธานของตนเอง หากใต้หล้าอันกว้างใหญ่นี้ ป่าเขาลำเนาไพรต่างหากที่เป็นที่อยู่ในชีวิตบั้นปลายของเจี่ยงยิ่น ใครจะห้ามเขาก็คงไม่ได้
รุ่งเช้าก่อนออกเดินทาง อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินว่าเจี่ยงยิ่นออกเดินทางไปก่อนคณะล่าสัตว์ ขณะนำม้าเตรียมตัวเดินทางอยู่ด้านนอกลานล่าสัตว์ นางก็หาโอกาสนำสิ่งของที่เตรียมไว้ ลอบไปหาอีกฝ่าย
เจี่ยงยิ่นกลัวว่ากลัว่าฮ่องเต้จะรู้ตัว จึงตั้งใจเลือกเวลาฟ้าสาง ออกเดินทางเมื่ออรุณรุ่ง ไม่ต้องการแม้คนมาส่ง
ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ดวงตาวันในฤดูใบไม้ร่วงกำลังเกลือกลิ้งอยู่เหนือยอดหญ้า อากาศในตอนนี้หนาวเย็นนัก เพียงหายใจออก ในปอดเหมือนได้อาบน้ำครั้งหนึ่ง สดชื่นเหลือเกิน
เจี่ยงยิ่นดึงเชือกม้า เขาสวมชุดคลุมสีขาวตัวบางเรียบง่ายเช่นเดิม รูปร่างของเขาผ่ายผอม โครงหน้าชัดเจน ความสุขฉายชัดอยู่บนใบหน้า เขาเพิ่งจูงม้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากข้างหลัง ตามมาด้วยเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนนกขมิ้นของสตรีนางหนึ่ง
“ท่านกั๋วจิ้ว!”
ท่ามกลางลมหนาวในยามเช้า ชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาดูโดษเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นหว่านชิ่นพลันรู้สึกหวั่นใจ
ครึ่งชีวิตของเขาเย็นชาและดุดัน เป็นบุรุษที่ยอมเข่นฆ่าไม่ยอมปล่อยผ่าน ใครจะคาดคิดว่าชีวิตที่เหลือเขากลับมุ่งสู่ทางเต๋า ยึดถือความบริสุทธิ์ จิตใจกลับคืนสู่ความเรียบง่ายเช่นนี้?
เจี่ยงยิ่นเหมือนจะคาดเดาได้ว่านางจะมาส่ง เขาหัวเราะเสียงใสดุจน้ำค้าง บริสุทธิ์ยิ่งนัก “เจ้าหนู! ว่าอย่างไร เจ้าก็มารั้งข้าไว้อย่างนั้นหรือ!”
เสียงเรียกเจ้าหนูทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งปวดใจ แต่นางกลับยิ้มอย่างเรียบง่าย แล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “ท่านกั๋วจิ้วเลือกสถานที่ที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดแล้ว หากข้าขวางท่านกั๋วจิ้ว เช่นนั้นเท่ากับทำร้ายท่านกั๋วจิ้วนะเจ้าคะ”
เจี่ยงยิ่นคิดว่านางจะพูดโน้มน้าวเขาบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเห็นด้วยกับเขา ทั้งยังไม่พูดคำพูดไร้ประโยชน์พวกนั้น ในดวงตาเรียวยาวของเขาปรากฏรอยยิ้ม ก่อนจะเห็นเปิดห่อผ้าในมือ
สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าคือเสื้อกันลม คอเสื้อทอมาจากขนจิ้งจอก เชือกผ้าไหมเต็มไปด้วยฝ้าย มีสีขาวลายเมฆ รอยเย็บละเอียดเกลี้ยงเกลา ลูบบนผ้าไหมนุ่มหนาแล้ว กันหนาวและรักษาความอบอุ่นได้ดียิ่ง ไม่รู้ว่าอุ่นกว่าชุมคลุมแบบเต๋าบนตัวของเจี่ยงยิ่นกี่เท่าตัว
เจี่ยงยิ่นตะลึงงัน อวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดเสื้อกันลม แล้วพาดบนตัวของกั๋วจิ้วด้วยตนเอง “…นี่เป็นเสื้อกันลมที่ท่านย่ามอบให้น้องชายของข้าก่อนออกเดินทางมา คิดๆ ดูแล้วมันเหมาะสมกับท่านกั๋วจิ้วเป็นที่สุด ข้ารู้ว่าหากคนที่ฝึกตนในป่าลึกล้วนเป็นผู้ที่ต้องทนกับความยากลำบาก ไม่หวาดกลัวความหนาวและความร้อน ทว่าท่านกั๋วจิ้วร่างกายไม่แข็งแรง ถึงแม้จะฝึกจิตใจ แต่ก็ต้องสวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อย”
เด็กสาวผู้นี้จิตใจดียิ่งนัก โน้มนาวให้ผู้อื่นสวมเสื้อผ้าหนา ก็พอจะบอกได้ว่านางใส่ใจเพียงใด หลายปีมานี้เจี่ยงยิ่นฝึกฝนจนมีจิตใจไม่สนทางโลก บัดนี้เขารู้สึกอบอุ่นใจ และไม่กล่าวปฏิเสธ ปล่อยให้เด็กสาวพาดชุมคลุมให้เขา ณ มุมของลานล่าสัตว์ที่ไม่มีคนในยามเช้าตรู่ สุดท้ายเขาก็ควักอะไรบางอย่างออกมาจากในอก วางลงในมือของอวิ๋นหว่านชิ่น
นั่นคือป้ายหยกเกลี้ยงเกลาหลากสีสันและแลดูเงางาม บนป้ายหยกสลักใบหน้าใหญ่ของสัตว์ป่าเอาไว้ คล้ายกับเป็นสิงโต ทั้งยังคล้ายกับเสือ มันโจนทะยานอยู่กลางอากาศ ดวงตาดุร้ายอย่างยิ่งยวด มุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวสองข้าง น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
สัตว์ป่าตัวนี้คือ…ปี้อั้น?