บทที่ 222-1 ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด
ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ผู้ที่รับผิดชอบการไต่สวนโดยใช้เครื่องลงทัณฑ์คือหนานกงเชี่ยนโหรว ขันทีหัวรั้นคนนี้เลวทรามอำมหิตยิ่งนัก สร้างเครื่องลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยมทารุณไร้มนุษยธรรมไว้หลายร้อยชนิด โดยสั่งให้ช่างฝีมือสร้างเครื่องลงทัณฑ์แบบใหม่มากกว่าหนึ่งร้อยชิ้น เป็นการสร้างคุณูปการให้กับกระบวนการไต่สวนโดยใช้เครื่องลงทัณฑ์ของต้าฟ่ง
หนึ่งในนั้นเรียกว่าการลงทัณฑ์แบบยืน โดยการนำเหล็กขนาดใหญ่มาแขวนไว้กับคอของนักโทษ นานวันไป คอของนักโทษก็จะบวม ปวด จนทนไม่ไหว
แต่ก็ไม่ยอมให้นักโทษได้พัก บังคับให้นักโทษยืนอยู่อย่างนั้น เรียกได้ว่าปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ไม่เกินสองวันก็จะเสียชีวิตด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัส
การลงทัณฑ์ที่เหมือนการทรมานตนของสวี่ชีอันก็มีเช่นเดียวกัน กล่าวกันว่ามันคือแรงบันดาลใจที่ได้มาจากการเลื่อนขั้นเป็นระดับหลอมวิญญาณ การลงทัณฑ์วิธีนี้ทรมานมาก สวี่ชีอันเข้าใจดี
เขาอาศัยการนั่งสมาธิและการใคร่ครวญ มันทุกข์ทรมานอย่างสุดที่จะทนได้ คนธรรมดาทั่วไปพอที่จะคาดการณ์ได้
ใน ‘ตำราการลงทัณฑ์’ ที่หนานกงเชี่ยนโหรวเป็นผู้ประพันธ์ การลงทัณฑ์ประเภทแล่เนื้อก็มีอยู่นับร้อยวิธี
แม้ว่าเจียงลวี่จงจะไม่ใช่มารร้ายแห่งการสอบสวนผู้ที่เชี่ยวชาญร้อยแปดกระบวนท่าเช่นหนานกงเชี่ยนโหรว แต่จากการที่ได้ยินและได้เห็นอยู่บ่อยๆ การลงทัณฑ์อย่างทารุณบางอย่างเขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี
เหลียงโหย่วผิงจ้องตากับเจียงลวี่จงเงียบๆ สายตาของคนทั้งสองแหลมคมดุจเหยี่ยว แต่ว่าเหลียงโหย่วผิงที่ไม่เคยบำเพ็ญมาก่อนก็ต้องพ่ายแพ้โดยเร็ว
เขาละสายตา หัวเราะเยาะตัวเองแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีทางเลือกแล้ว”
ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงต่างไม่ได้เอ่ยปาก แต่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในเมื่อคนคนนี้ตกอยู่ในกำมือแล้ว ถึงแม้จะเป็นก้อนหิน ก็สามารถทำให้เขาเปิดปากพูดได้
เหลียงโหย่วผิงเหลือบมองสวี่ชีอัน ตบขาเป๋ของตัวเอง พูดด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ขาข้างนี้ถูกคนทำร้ายจนหักจริงๆ เพียงแต่คนที่ช่วยข้าไม่ใช่โจวหมิน ข้าเกิดที่อวิ๋นโจว ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้ว่ามีการโจรกรรมอย่างรุนแรงในอวิ๋นโจว และผู้คนก็ต้องประสบหายนะอย่างสาหัส ความฝันในวัยเด็กคือการฝึกวิทยายุทธ์ เป็นจอมยุทธถือดาบท่องไปทั่วยุทธภพ สังหารโจรภูเขาโดยเฉพาะ แต่อย่างที่รู้กันว่าคนจนเรียนหนังสือ คนรวยฝึกวิทยายุทธ์ ครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถส่งข้าไปฝึกวิทยายุทธ์ได้ ข้าจึงจำต้องเรียนหนังสือ สอบจวี่เหรินสองครั้งก็สอบไม่ติด ข้าจึงวางพู่กันเข้าร่วมกองทัพไปสมัครเป็นทหาร”
ความฝันยังไม่ทันจะเริ่มต้น ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความเป็นจริงแล้ว…โชคดีที่ข้ามีอารองส่งเสียข้าปีละนับร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นก็คงจะต้องเรียนหนังสือเหมือนเอ้อร์หลาง…การที่อาสะใภ้เกลียดข้าก็สมควรแล้ว สวี่ชีอันทอดถอนใจ
แต่ด้วยสติปัญญาของสวี่ต้าหลาง เรียนหนังสือจะมีอนาคตอะไร คงจะไม่เก่งไปกว่าสวี่หลิงอินเท่าไหร่
“มีอยู่ปีหนึ่ง ข้าเห็นขุนนางคนหนึ่งข่มเหงหญิงสาวชาวบ้านบนท้องถนน จึงโกรธจนลงมือ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จึงถูกผู้ติดตามของเขาทำร้ายจนขาหัก ขุนนางคนนั้นรู้สึกหมดอารมณ์ ไม่ยอมปล่อยข้าไป จึงสั่งให้คนนำตัวข้าออกจากเมืองไปฝังทั้งเป็น และเวลานี้นี่เอง…ใต้เท้าท่านนั้นก็ได้ปรากฏตัว เขาให้ทหารผู้ติดตามช่วยข้าไว้ แล้วจับกุมตัวขุนนางคนนั้น คืนความยุติธรรมให้แก่ข้า”
สวี่ชีอันและพวกรู้ได้ทันทีว่า ใต้เท้าท่านนั้นก็คือคนที่เหลียงโหย่วผิงจงรักภักดีนั่นเอง และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง
เหลียงโหย่วผิงเงยหน้าขึ้น สบตาผู้ตรวจการจาง และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “สมุหเทศาภิบาลแห่งอวิ๋นโจว ซ่งฉางฝู่”
“…”
เงียบกริบไปทั้งห้อง
สีหน้าของผู้ตรวจการจางค่อนข้างแปลกแปร่ง ทั้งประหลาดใจแต่ก็ไม่ประหลาดใจเสียทีเดียว ในเมืองไป๋ตี้ ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง
ใต้เท้าผู้ตรวจการได้เตรียมใจไว้นานแล้ว จึงไม่มีปฏิกิริยา ‘ประหลาดใจ’ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เป็นเขา…”
ทว่าในใจของผู้ตรวจการจางก็ยังคงหนักอึ้งอยู่ดี ผู้บัญชาการหยางชวนหนานได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้แล้ว ตอนนี้มีสมุหเทศาภิบาลเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แวดวงราชการของอวิ๋นโจวนั้นฟอนเฟะตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับล่าง
“ใครเป็นคนจับตัวเจ้า?” สวี่ชีอันถือโอกาสตอนที่มีช่องว่าง ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
“ข้าไม่รู้” เหลียงโหย่วผิงส่ายหัว ใบหน้าปรากฏแววงุนงง “วันนั้นหลังจากที่พวกเจ้าจากไปไม่นาน ข้าก็ไล่พวกโสเภณีให้สลายตัว ลงกลอนประตูแล้วจากมา ขณะที่เพิ่งเดินออกจากถนนหวงป๋อ ข้าก็ถูกคนดักตีจนหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในห้องมืดเล็กๆ มีกระสอบคลุมหัว ร้องเรียกอย่างไรก็ไม่มีใครช่วยเหลือ…กิน ดื่ม ขับถ่ายอยู่ในห้องมืดเล็กๆ มีคนนำอาหารมาส่งเป็นเวลา ต่อจากนั้น ข้าก็ถูกพาตัวไปที่หน่วยคุ้มกัน ส่งตัวมาที่พวกเจ้านี่แหละ”
“ไม่เห็นหน้าตาของคนคนนั้นเลยรึ?” สวี่ชีอันซักถาม
เหลียงโหย่วผิงส่ายหัว
เหลียงโหย่วผิงหายตัวไปหลังจากที่พวกเราจากมา จากนั้น สามวันต่อมา ก็ถูกคนของสำนักพ่อมดสอบสวนในความฝัน เพื่อหยั่งเชิงว่าเหลียงโหย่วผิงตกอยู่ในกำมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้วหรือไม่…เพราะในช่วงสามวันนี้ สมุหเทศาภิบาลซ่งได้ติดตามผู้ตรวจการจางเพื่อออกไปตรวจสอบ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเหลียงโหย่วผิงหายตัวไป จนกระทั่งกลับมาถึงเมืองไป๋ตี้ จึงรู้ว่าน้องชายขาดการติดต่อไป…ใช่แล้ว สวี่ชีอันเข้าใจทันที
ผู้ตรวจการจางใช้นิ้วเคาะโต๊ะ “เล่าต่อไป”
“ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็คอยติดตามสมุหเทศาภิบาลซ่ง ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นสมุหเทศาภิบาล…” เมื่อพูดถึงอดีต ดวงตาของเหลียงโหย่วผิงก็แสดงให้เห็นถึงการหวนระลึกถึงความหลัง
“ในขณะที่ตำแหน่งของซ่งเฉิงฝู่ยิ่งสูงขึ้น คนขาเป๋อย่างข้าก็ก้าวสู่ตำแหน่งสูงตาม กลายเป็นเสมียนของกรมเสมียนตรา เป็นถึงระดับหกชั้นเอก และจากการแนะนำของซ่งฉางฝู่ ข้าจึงได้เข้าร่วมพรรคฉี แต่สถานะนี้เป็นความลับ โจวหมินเป็นบุตรในเงามืดของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ส่วนข้าเป็นบุตรในเงามืดของพรรคฉี พรรคฉีคอยส่งยุทธปัจจัยให้โจรภูเขา จะต้องผ่านด่านกรมเสมียนตรา หลายปีมานี้ ข้าได้ทำงานให้กับสมุหเทศาภิบาลซ่ง แอบแก้ไขบัญชีเพื่อยักยอกยุทธปัจจัย
“ก่อนหน้านี้ยังพูดอยู่ออกบ่อยว่าฝันอยากเป็นจอมยุทธ จะฆ่าพวกโจรให้หมด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนร้ายที่ทำงานให้คนชั่ว” สวี่ชีอันอดเย้ยหยันไม่ได้
เหลียงโหย่วผิงกลายเป็นคนประเภทที่ตัวเองเกลียดที่สุด
สำหรับการเย้ยหยันของสวี่ชีอัน เหลียงโหย่วผิงเลือกที่จะเงียบ
ผู้ตรวจการจางหรี่ตาและถามว่า “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหยางชวนหนาน เขาก็เป็นสมาชิกพรรคฉีเหมือนกัน ทำไมเจ้าจึงต้องใส่ความเขา”
เหลียงโหย่วผิงส่ายหัว “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่าเขากับพรรคฉีไม่สนิทกัน สมุหเทศาภิบาลซ่งเคยเปิดเผยว่า หยางชวนหนานเป็นหมากที่พรรคฉีวางไว้ในตำแหน่งที่เปิดเผย และสามารถละทิ้งได้ทุกเมื่อ”
เป็นแพะรับบาป…สวี่ชีอันได้ให้คำจำกัดความของหยางชวนหนานในใจ
“หากไม่มีโจวหมิน แผนการลับของอวิ๋นโจวก็จะคงอยู่ต่อไป” เหลียงโหย่วผิงส่ายหัวและเผลอหัวเราะออกมา “บางทีนี่อาจเป็นเพราะคนทำผิดย่อมได้รับการลงโทษ จะว่าไปแล้ว ข้ากับโจวหมินมีความสัมพันธ์ที่ดี หลังเลิกงานมักจะไปดื่มด้วยกัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นบุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ส่วนข้าเป็นบุตรในเงามืดของพรรคฉี ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดว่าใจคนยากแท้หยั่งถึงหรือ”
เหลียงโหย่วผิงดูเหมือนจะกลายเป็นคนชอบพูดแล้ว ผู้ตรวจการจางไม่ต้องถาม ตัวเองก็พรั่งพรูเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาไม่หยุด
“โจวหมินเป็นคนที่ฉลาดมากและไวต่อตัวเลขมาก หลังจากที่พวกเราสังเกตเห็นว่าเขาพบว่าสมุดบัญชีมีความผิดปกติ ข้าก็ได้ออกหน้าดึงเขามาเป็นพวก ให้รับปากว่าจะรักษาคำมั่นสัญญา…”
เจียงลวี่จงเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายๆ “เขาปฏิเสธ?”
“ไม่ใช่” เหลียงโหย่วผิง พูดเรียบๆ ว่า “เขาตอบตกลงทันที ยินดีที่จะร่วมมือด้วย เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า ที่กล่าวว่าดึงมาเป็นพวกนั้นเป็นเพียงการแสดงออกภายนอก แต่ความจริงแล้วเป็นการหยั่งเชิงเขา หยั่งเชิงว่าเขาพบเห็นอะไรบ้าง โจวหมินเองก็ต้องการประวิงเวลาเช่นกัน ไม่ทันไรก็เขียนรายงานลับแฉเรื่องราวออกไป”
นี่ถึงนับเป็นการดำเนินการของบุตรในเงามืดที่มีไอคิวสูง…หากเป็นละครทีวี โจวหมินจะต้องปฏิเสธอย่างจริงจังแน่นอน…สวี่ชีอันอาศัยช่องโหว่ทำให้สมองของตัวเองคึกคักอยู่เสมอ อดพูดไม่ได้ว่า
“อันที่จริงเขามีลางสังหรณ์แล้วว่าพวกเจ้ากำลังจะฆ่าคนปิดปาก”
“คนฉลาดย่อมมีความคิดตามแบบคนฉลาด เดิมทีเขาสามารถหลบหนีได้ แม้ว่าจะหนีไม่พ้นก็ตาม” เหลียงโหย่วผิงเชิดคางขึ้น คำพูดนี้ดูเหมือนจะพูดถึงตัวเขาเอง เขาเป็นคนฉลาดที่มีลางสังหรณ์ถึงชะตากรรมของตัวเองเช่นกัน ในเมื่อหนีไม่พ้น ก็เลยขี้เกียจจะหนี
…………………………………………………