บทที่ 222-2 ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 222-2 ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด

“หลังจากความลับแดงออกมาแล้ว สมุหเทศาภิบาลซ่งก็ผลักหยางชวนหนานออกมารับผิดตามแผนที่วางไว้ ด้านหนึ่งก็แอบวางแผน อีกด้านหนึ่งก็รอการมาถึงของใต้เท้าผู้ตรวจการ”

เมื่อผู้ตรวจการรจางฟังถึงตรงนี้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ถ้าเช่นนั้น ทำไมเจ้าจึงต้องอยู่ในร้านขายเนื้อสุนัขติง หมายเลขสิบห้าด้วยตนเอง ในสมุดบัญชีน่าจะมีหลักฐานการกระทำผิดกฎหมายของสมุหเทศาภิบาลซ่งใช่หรือไม่”

“ใช่ ในสมุดบัญชีมียุทธปัจจัยหลายอย่างที่โอนจากสมุหเทศาภิบาลไปยังผู้บัญชาการ ส่วนเรื่องที่ทำไมข้าจึงต้องอยู่ที่ติงหมายเลขสิบห้า คำสั่งที่ข้าได้รับคือสิ่งนี้” เหลียงโหย่วผิงตอบ

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!

สวี่ชีอันขมวดคิ้วและมองไปที่โหรชุดขาวทั้งสาม “คำพูดของเขาเชื่อถือได้หรือไม่?”

โหรชุดขาวทั้งสามส่ายหัว “ข้ามองทะลุผ่านไม่ได้ พลังปราณของเขาถูกปกปิด และวิชามองปราณก็ไม่สามารถสอดส่องได้”

วิชามองปราณไม่สามารถสอดส่องได้…ในตอนแรกสวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจ แต่ต่อมาก็นึกขึ้นได้ มีคนเล่นอุบายบนตัวของเหลียงโหย่วผิง มีคนกำบังพลังปราณให้เขา

หมายเลขสี่เคยกล่าวไว้ว่าโหรมีวิธีที่จะควบคุมพ่อมด และเป็นเพราะสิ่งกำบังนี้ จึงทำให้เหลียงโหย่วผิงสามารถหลีกเลี่ยงการคำสาปและการทำนายดวงชะตาได้

“หนิงเยี่ยน เจ้ามีอะไรต้องการจะพูด”

แม้ว่าระดับสติปัญญาของสวี่ชีอันจะลดลงอย่างมาก แต่ผู้ตรวจการจางยังคงอยากที่จะฟังความคิดเห็นของเขาให้มาก

“การทิ้งเหลียงโหย่วผิงไว้ให้รออยู่ในร้านขายเนื้อสุนัขเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าด้วยการวางแผนที่รอบคอบของสมุหเทศาภิบาลซ่ง ไม่น่าจะทำผิดพลาดง่ายๆ เช่นนี้” สวี่ชีอันพูดอย่างฉะฉาน

“แน่นอนว่า ไม่ปฏิเสธว่านี่เป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง หากไม่มียอดฝีมือลึกลับคนนั้นลักพาตัวเหลียงโหย่วผิงไปกลางทาง แม้ว่าพวกเราจะรู้ว่าปัญหานั้นผิดปกติ ก็ไม่สามารถสืบรู้อะไรได้เลย ในท้ายที่สุด เราก็ทำได้เพียงนำหลักฐานที่เป็นรูปธรรมและนำหยางชวนหนานกลับมาที่ปักกิ่งเพื่อรายงานผล”

ไม่ว่าจะเป็นการท้าทายหรือมีเหตุผลอื่น ก็ไม่สามารถแน่ใจได้ในขณะนี้ เว้นแต่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับซ่งฉางฝู่

แต่ยอดฝีมือลึกลับคนนั้น สวี่ชีอันมีบุคคลที่ต้องสงสัย นั่นก็คือจอมเสแสร้งหยางเชียนฮ่วนนั่นเอง ประการแรก เขารู้จักโหรระดับสูงแค่คนเดียวเท่านั้น ประการที่สอง แม้ว่าจะมี โหรที่บำเพ็ญตนด้วยตัวเองอยู่ข้างนอก แต่คนที่สามารถกำบังพลังปราณ สามารถปิดบังการรับรู้ของเจียงลวี่จงได้ พลังเช่นนี้ไม่ใช่คนที่บำเพ็ญตนด้วยตัวเองจะสามารถทำได้

ก็เหมือนชาติที่แล้ว ผู้ที่สามารถเข้าสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ จะต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติการศึกษาสูงเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ที่เรียนรู้ด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จอยู่ที่นั่น

ส่วนที่ว่าทำไมถึงเป็นหยางเชียนฮ่วน ก็เพราะสวี่ชีอันคิดว่าจะต้องเป็นคนนี้เท่านั้น

‘อืม’ การคาดเดานี้ยังต้องรอการยืนยัน…

“อยากรู้สาเหตุนั้นไม่ง่ายเลย” ผู้ตรวจการจางหัวเราะเยาะ “ถ่ายทอดคำสั่งทันที ให้ทุกคนเคลื่อนพล ไปจับกุมสมุหเทศาภิบาลซ่ง จำไว้ให้ดี ปฏิบัติการให้เร็วที่สุด!”

ใช้วิธีเดียวกับที่ใช้กับหยางชวนหนานซึ่งได้ผลมากทีเดียว การปฏิบัติการจู่โจมสามารถทำให้ไม่ทันป้องกันตัว โต้ตอบไม่ทันการณ์

ไม่นาน กองทหารพยัคฆ์ทะยานทั้งหมดก็เคลื่อนพล ผู้ตรวจการจางนำเจียงลวี่จงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปเพียงไม่กี่คน ฆ้องเงินและฆ้องทองแดงที่เหลืออยู่เฝ้ารักษาการณ์ที่จุดพักเปลี่ยนม้า และคุมตัวหยางชวนหนาน

สวี่ชีอันก็อยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าเช่นกัน เหตุผลคือพักฟื้นร่างกาย

เขาเพิ่งผ่านต่อสู้อย่างดุเดือดที่นอกเมือง เวลานี้ร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหว

‘ปัง!’

ประตูจวนสมุหเทศาภิบาลถูกเปิดออก เจียงลวี่จงนำกองทหารพยัคฆ์ทะยานเข้าไปในจวน ปราบปรามผู้คุ้มกันจวนที่ต่อสู้ทีละคน

สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ สมุหเทศาภิบาลซ่งไม่ได้ปรากฏตัวเหมือนหยางชวนหนาน กองทหารพยัคฆ์ทะยานพบเขาในห้องนอน และเขาตายไปแล้ว

สมุหเทศาภิบาลซ่งล้มลงไปกองอยู่กับพื้น มีมีดสั้นปักอยู่ที่หน้าอก เลือดนองเต็มพื้น เปื้อนเสื้อผ้าและใบหน้าซีกหนึ่ง

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ เขาตายแล้วขอรับ”

หลังจากที่กองทหารพยัคฆ์ทะยานตรวจสอบแล้ว เขาก็รายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดหรือ?” ผู้ตรวจการจางเดินไปที่ข้างศพ สีหน้าเคร่งขรึม

‘ซ่งฉางฝู่ตายแบบนี้จริงๆ หรือ?’

เขาพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็สั่งการว่า “ส่งคนไปที่ที่ว่าการเมืองและเรียกผู้ตรวจพิสูจน์ศพที่มีประสบการณ์สูงมาทำการตรวจพิสูจน์ศพ”

ผู้ตรวจพิสูจน์ศพมาถึงในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ที่ตามมายังมีข้าหลวงแห่งอวิ๋นโจว สีหน้าของใต้เท้าข้าหลวงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง หลังจากเห็นศพของสมุหเทศาภิบาลซ่งในห้องนอน ก็ตกใจจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ นี่ นี่…” ใบหน้าของท่านข้าหลวงซีดเผือด ริมฝีปากสั่น พูดไม่เป็นประโยค

“กลัวอะไร” ผู้ตรวจการจางเหลือบมองศพของซ่งฉางฝู่แล้วพาท่านข้าหลวงออกไปจากห้องนอน เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ก็เล่าเรื่องคดีพลิกให้เขาฟัง

‘ที่แท้สมุหเทศาภิบาลซ่งเป็นผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดเอง เป็นนักโทษตัวการสำคัญที่ส่งยุทธปัจจัยไปให้โจรภูเขา?’ ดวงตาของท่านข้าหลวงเหม่อลอย ไม่สามารถทำความเข้าใจกับข่าวใหญ่สะเทือนเลื่อนลั่นนี้อยู่เป็นเวลานาน

“เรื่องนี้ควรประกาศออกไปโดยเร็วที่สุด จิตใจของขุนนางของอวิ๋นโจวจะได้ไม่ปั่นป่วน”

ตำแหน่งเป็นตัวกำหนดวิธีคิด สิ่งที่ผู้ตรวจการจางกำลังคิดในเวลานี้คือจะปลอบขวัญเหล่าขุนนางอย่างไร เพื่อรักษาความสงบ

หากสวี่ชีอันอยู่ที่นี่ สิ่งแรกที่จะทำก็คือฟื้นฝอยหาตะเข็บเกี่ยวกับศพและคดี จนกว่าจะไม่มีความผิดพลาด

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ กองทหารพยัคฆ์ทะยานก็เข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า ผู้ตรวจพิสูจน์ศพได้ทำการตรวจพิสูจน์ศพเรียบร้อยแล้ว”

“เรียกเขาเข้ามา” ผู้ตรวจการจางกล่าว

ผู้ตรวจพิสูจน์ศพเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ก้มหัวลง

“รายงานมาเถิด”

“ขอรับ!” จากนั้นผู้ตรวจพิสูจน์ศพจึงพูดว่า “ผู้ตายซ่งฉางฝู่ อายุสี่สิบห้าปี สูงหกฟุตหนึ่งนิ้ว ศีรษะ ผม ผิวหนัง และกระดูกของศพล้วนไม่มีความเสียหาย แขนขาและลำตัวยกเว้นบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกแล้ว ก็ไม่มีความเสียหายอื่นๆ ปากและลำคอไม่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ ไม่ได้โดนพิษตาย จากการพิสูจน์ เขาเสียชีวิตเพราะบาดแผลถูกแทงที่หน้าอก เป็นการฆ่าตัวตาย”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เก็บรักษาศพไว้ให้ดี” แล้วจึงหันไปพูดกับท่านข้าหลวง “เรียกขุนนางระดับหกขึ้นไปของเมืองไป๋ตี้ให้ไปรวมตัวกันยังที่ทำการสมุหเทศาภิบาล ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยด้วย”

หลังจากจัดการเรียบร้อย ผู้ตรวจการจางก็ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน แล้วจึงเรียกฆ้องทองแดงมาคนหนึ่งก่อนออกคำสั่งว่า

“เจ้ารีบกลับไปที่จุดพักเปลี่ยนม้าโดยเร็วที่สุด บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ตั้งแต่ต้นจนจบให้สวี่ชีอันฟัง ฟังความคิดเห็นของเขา แล้วกลับมารายงานข้า ยังมีอีก รวมถึงรายงานการตรวจพิสูจน์ศพของผู้ตรวจพิสูจน์ศพด้วย”

จุดพักเปลี่ยนม้า

“อะไรนะ สมุหเทศาภิบาลซ่งตายแล้ว?!”

เมื่อสวี่ชีอันได้ยินข่าวนี้ ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“ใต้เท้าผู้ตรวจการต้องการถามความคิดเห็นของเจ้า” ฆ้องทองแดงที่มาถ่ายทอดคำพูดนั่งบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ วางเท้าบนม้านั่งตัวยาว ในมือถือถ้วยน้ำชา จิบไปอึกหนึ่ง แล้วพูดเล่นว่า “คนแซ่ซ่งนั่นยังรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพังประตูของพวกเรา รู้ตัวว่าหนีไม่พ้นแล้ว จึงได้ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด ใต้เท้าผู้ตรวจการให้ข้ากลับมาถามเจ้า ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”

หยวนฟาง เจ้าคิดอย่างไร…คำพูดของนักแสดงละครเวทีประโยคนี้ปรากฏขึ้นในสมองของสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว

ซ่งฉางฝู่ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดเป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน ยังคิดว่ามีโอกาสจะให้เหลียงโหย่วผิงและซ่งฉางฝู่ได้ไปเจอกันที่ศาล

สวี่ชีอันรู้สึกจิตใจอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ต้องคิดทีละเรื่อง

กลยุทธ์ ‘ปฏิบัติการให้เร็วที่สุด’ ของใต้เท้าผู้ตรวจการได้ผล ทำให้ซ่งฉางฝู่จบเห่กัน จึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย?

แต่ตามปกติแล้ว ควรจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาไม่ใช่หรือ?…นี่ไม่ใช่การเล่นเกม ที่รู้สึกว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อยก็ยอมแพ้แล้ว…เขาตายอย่างวู่วามเกินไป อืม อาจเป็นไปได้ว่าพ่อมดที่ไม่เคยปรากฏตัวคนนั้นเป็นคนฆ่าปิดปาก

ไม่ใช่สิ เงื่อนไขแรกที่พ่อมดจะฆ่าปิดปาก ความลับจะต้องแดงออกมาก่อน…แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องมันแดงออกมาแล้ว?

ชั่วพริบตาเดียว ราวกับสายฟ้าแลบผ่าเข้าไปในสมองของเขา

“บริเวณใกล้ๆ จุดพักเปลี่ยนม้าจะต้องมีคนของซ่งฉางฝู่สอดแนมอยู่ เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของที่นี่ตลอดเวลา อาจจะเป็นพ่อมดระดับสี่คนนั้น ตอนที่ผู้คุ้มกันของหน่วยคุ้มกันฝูซุ่นคุมตัวของเหลียงโหย่วผิงเข้ามา แม้ว่าจะสวมกระสอบอยู่ แต่ลักษณะพิเศษของการเดินขาเป๋นั้นชัดเจนมาก”

ซ่งฉางฝู่รู้มานานแล้วว่าเหลียงโหย่วผิงถูกจับตัวแล้ว…สวี่ชีอันชี้ขาดในใจ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเกิดความผิดปกติที่ตรงไหน

พวกเขาสอบปากคำเหลียงโหย่วผิงในจุดพักเปลี่ยนม้านานกว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นผู้ตรวจการก็นำคณะบุกไปไปที่จวนของสมุหเทศาภิบาล ถึงแม้ด้วยความเร็วของกองทหารพยัคฆ์ทะยาน จากจุดพักเปลี่ยนม้าไปจวนของสมุหเทศาภิบาล อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสี่สิบนาที เวลานานเช่นนี้ ซ่งฉางฝู่จะนั่งรอความตายอยู่ที่บ้านหรือ?

แต่ซ่งฉางฝู่ตายไปแล้วจริงๆ และผู้ตรวจพิสูจน์ศพก็ได้พิสูจน์ตัวตนแน่ชัดแล้ว…แย่แล้ว!

“ไม่ได้การแล้ว ถูกหลอกแล้ว!”

สวี่ชีอันโพล่งออกมา

…………………………………………………