บทที่ 223 การกระทำด้วยความจนใจของสวี่ชีอัน
คนที่ตายอย่างไม่น่าเป็นไปได้คือสมุหเทศาภิบาลซ่ง เพราะเขามีเวลามากพอที่จะหลบหนี และไม่มีเหตุผลที่จะต้องนั่งรอความตายอยู่ที่บ้าน
เป็นไปได้น้อยมากที่พ่อมดจะฆ่าปิดปาก เพราะยังไม่ถึงขั้นที่จำเป็นจะต้องปิดปาก และมีเวลามากพอที่จะถอนตัว ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำอะไรสุดขั้วเช่นนี้เลย
ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงต้องแสร้งสร้างสถานการณ์ว่าฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด
สวี่ชีอันคาดเดาได้สองประการ ประการแรก สมุหเทศาภิบาลซ่งก็เป็นแพะรับบาปคนหนึ่งเช่นกัน การฆ่าเขาเพื่อปิดปาก ก็เท่ากับการตัดเบาะแสทิ้ง ในเวลาเดียวกันก็สร้างสถานการณ์ว่าฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดเพื่อทำให้ผู้ตรวจการจางเกิดความสับสน
ประการที่สอง สมุหเทศาภิบาลซ่งกำลังถ่วงเวลา
ตอนที่หารือเรื่องรายละเอียดของคดีก่อนหน้านี้ สวี่ชีอัน ผู้ตรวจการจาง และคนอื่นๆ มีความเห็นตรงกันว่า เมื่อบีบจนอีกฝ่ายเข้าตาจน ย่อมต้องเกิดการนองเลือดอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้ตรวจการจางจึงบุกจู่โจมถึงสองครั้งโดยไม่ทำตามระเบียบ ก็เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีโอกาสตอบโต้
แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเร็วกว่าหนึ่งก้าว
หากเป็นการถ่วงเวลา ถ้าเช่นนั้นศพของสมุหเทศาภิบาลซ่งก็ต้องเป็นศพปลอม ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจพิสูจน์ศพที่มีประสบการณ์สูง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่พบการแปลงโฉม เว้นแต่ว่าผู้ตรวจพิสูจน์ศพจะเป็นคนร้าย…
จากการคาดเดานี้ ก็เท่ากับใต้เท้าผู้ตรวจการกำลังตกอยู่ในอันตราย
ในเวลานี้ข้างกายผู้ตรวจการจางมีเพียงกองทหารพยัคฆ์ทะยานและเจียงลวี่จง หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลส่วนใหญ่ยังอยู่รักษาการณ์ที่จุดพักเปลี่ยนม้า แม้เจียงลวี่จงจะฝีมือร้ายกาจ แต่อย่าลืมว่า ฝ่ายตรงข้ามก็มีพ่อมดระดับสี่อยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อเจียงลวี่จงถูกพ่อมดประกบ อาศัยเพียงกองทหารพยัคฆ์ทะยาน จะรักษาความปลอดภัยให้ใต้เท้าผู้ตรวจการได้อย่างไร?
ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินที่มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งจึงจะเป็นกำลังหลักของกองอารักขาในครั้งนี้ได้
สมุหเทศาภิบาลซ่งปกครองเมืองไป๋ตี้มาหลายปีแล้ว และเวลานี้หยางชวนหนานกลายเป็นนักโทษไปแล้ว เขาเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีอิทธิพลท้องถิ่นใดจะยับยั้งและควบคุมเขาได้อีกแล้ว…แม้ว่าเขาจะไม่สามารถระดมกองกำลังเว่ยและกองกำลังสั่วได้ แต่กองกำลังพิทักษ์เมืองในเมืองนั้นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของสมุหเทศาภิบาล…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เรียกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ในจุดพักเปลี่ยนม้าทั้งหมดทันที และเล่าสิ่งที่ตนเองคาดเดาให้พวกเขาฟัง
เมื่อหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เคร่งขรึมลงอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีบางคนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับของความปลอดภัยของผู้ตรวจการ ก็ต้องเชื่อไว้ก่อน
“เหลือคนไว้สี่คนเพื่อรักษาการณ์ที่จุดพักเปลี่ยนม้า คนที่เหลือตามข้ามา” ฆ้องเงินคนหนึ่งตะโกนขึ้น
เขาเหลือบไปมองสวี่ชีอัน “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ารออยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าแล้วกัน”
ทุกคนต่างรู้ดีถึงสภาพของสวี่ชีอัน ว่าไม่เหมาะที่จะทำการต่อสู้อย่างรุนแรง ถึงไปก็ไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ที่ล้ำเลิศออกมาได้
ทุกคนจูงม้ามา แล้วหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมากกว่าสิบคนก็เร่งควบม้าไปยังจวนของซ่งฉางฝู่
…
“หนิงเยี่ยน ทำไมเหตุการณ์จึงกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้”
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงดูไม่ได้เลย แววตาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและวิตกกังวล
ด้วยฐานะฆ้องทองแดง เขาไม่สามารถเข้าถึงความลับของคดีได้ ในสายตาของซ่งถิงเฟิงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ความคืบหน้าของคดีนั้นเป็นไปอย่างเฉียบขาดและก้าวกระโดด
หลังกลับจากการตรวจสอบ สวี่ชีอันก็ไขปริศนาได้ ผู้ตรวจการจางได้จับกุมผู้บัญชาการหยางชวนหนาน
หลังจากที่หลี่เมี่ยวเจินมาเยี่ยมเยียนที่จุดพักเปลี่ยนม้า ดูเหมือนว่าคดีจะพลิก ส่วนกระบวนการโดยละเอียดนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่รู้เหมือนเดิม
ต่อจากนั้นซึ่งก็คือวันนี้ ผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งก็ส่งตัวคนขาเป๋มา หลังจากใต้เท้าผู้ตรวจการได้ทำการสอบสวนลับแล้ว จึงรู้ว่าที่แท้สมุหเทศาภิบาลซ่งก็คือผู้ที่บงการเบื้องหลังนั่นเอง
จนกระทั่งเมื่อครู่ สวี่ชีอันได้เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเกือบทั้งหมดให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนฟัง พวกเขาจึงเข้าใจทุกอย่างในทันที
ตอนนี้ซ่งถิงเฟิงรู้ความคืบหน้าของคดีแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ เป็นข่าวที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เขายังต้องการเวลาทำความเข้าใจเพิ่มอีกเล็กน้อย
‘มีคำกล่าวที่ว่าสนามรบเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายในชั่วพริบตาเดียว การสอบสวนคดีก็เช่นเดียวกัน ศัตรูจะไม่รอให้เจ้ารวบรวมหลักฐานทีละขั้นตอน เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว จากนั้นจึงทำการจับกุมตัว’
สวี่ชีอันนับว่ายังสงบนิ่งมาก เพราะมีนายทหารยอดฝีมือเช่นเจียงลวี่จงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เข้มแข็งห้าวหาญ
“ถิงเฟิง เจ้ารีบออกไปจากเมืองเดี๋ยวนี้ ไปหาหลี่เมี่ยวเจิน แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองให้นางฟัง”
เพื่อความปลอดภัย สวี่ชีอันตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากกองทัพนางแอ่นเหิน กองทัพส่วนตัวของหลี่เมี่ยวเจินนั้นเข้มแข็งเกรียงไกร โดยได้รวบรวมยอดฝีมือจากทั่วยุทธภพ มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
“ได้! ”
ซ่งถิงเฟิงลุกขึ้นและเดินออกไป จากนั้นก็ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว วิ่งตึงตังขึ้นไปชั้นบน หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองธรรมดาๆ
ฉลาด…สวี่ชีอันยกย่องเขาอยู่ในใจ ในขณะเดียวกันก็พิจารณาตัวเอง ข้าไม่ได้เตือนให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดลำลองจริงๆ ด้วย สุขภาพถดถอยขนาดนี้เลยหรือ
ซ่งถิงเฟิงขี่ม้าตัวเมียตัวเล็กที่คล่องแคล่วในการเดินทาง เดินกุบกับกุบกับจากไป
แต่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็ควบม้ากลับมาโดยเร็ว เดินก้าวยาวๆ เข้าไปในจุดพักเปลี่ยนม้า สีหน้าไม่น่าดูเอาเสียเลย “หนิงเยี่ยน ประตูเมืองปิดแล้ว”
สวี่ชีอันมองไปที่เขาอย่างเงียบๆ หัวใจร่วงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ข้ารู้สึกว่าจะเกิดเรื่องแล้ว”
สวี่ชีอันนั่งไม่ติดแล้ว ลุกขึ้นเดินไปเดินมาในห้องโถง
“จะเกิดอะไรขึ้นได้ ฆ้องทองคำเจียงเป็นทหารระดับสี่ หากโยนลงไปในยุทธภพก็นับว่าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง นอกจากนี้ เพื่อนร่วมงานที่เหลือก็ตามไปสมทบแล้ว” ซ่งถิงเฟิงกล่าวปลอบใจ แล้วก็เป็นการปลอบใจตัวเองเช่นเดียวกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจ
ถึงจะเป็นกองกำลังของต้าฟ่ง พูดถึงปัจจุบัน มีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือเพียงพระองค์เดียวที่เป็นทหารระดับสาม ทหารระดับสี่สามารถท่องไปในยุทธภพได้อย่างแน่นอน สวี่ชีอันเห็นยอดฝีมือระดับสี่ในเมืองหลวงจนชินแล้ว แต่นั่นเป็นเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางของต้าฟ่ง
แน่นอนว่า ยุทธภพนั้นล้ำลึกมาก สามารถที่จะซ่อนคนชั่วที่มีอายุพันปีได้หนึ่งถึงสองคนได้เลย
“ประตูเมืองอีกสามบานก็คงจะปิดแล้วเช่นกัน สมุหเทศาภิบาลซ่ง…หรือสำนักพ่อมดที่อยู่เบื้องหลังเขา คิดจะปิดประตูตีแมว” สวี่ชีอันเดินวนไปมา
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าพวกเขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าฆ้องทองคำเจียงอยู่ในระดับสี่ ที่ยังกล้าทำเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าได้มีการเตรียมการไว้พร้อมแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะวางแผนไว้ตั้งแต่สอบสวนเจ้าและกว่างเสี้ยวในฝัน พวกเราไม่ได้จับตาดูสมุหเทศาภิบาลซ่ง พวกเขาจึงพอจะอดทนได้ สามารถหยุดรอจังหวะได้ แต่พอพวกเรารู้ว่าสมุหเทศาภิบาลซ่งเป็นผู้บงการเบื้องหลัง พวกเขาก็พร้อมที่จะคว่ำกระดานโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
“หลังจากนั้นล่ะ?” เสียงของซ่งถิงเฟิงสั่นเล็กน้อย “ถ้าพวกเขาฆ่าใต้เท้าผู้ตรวจการ แล้วพวกเขาไม่กลัวว่าราชสำนักจะส่งทหารไปล้อมปราบหรือ”
“พรรคฉีและสำนักพ่อมดวางแผนมาหลายปี ก็เพื่อสิ่งนี้มิใช่หรือ” สวี่ชีอันมองไปที่เขา “ถ้าไม่ใช่เพราะวางแผนกบฏ พวกเขาจะทำเรื่องแย่ๆ มากมายถึงเพียงนั้นทำไมกัน”
ในใจซ่งถิงเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอาวุโส และเคยผ่านประสบการณ์มาก่อน จึงไม่ถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“จะต้องหาวิธีส่งข่าวออกไป เพื่อระดมกองกำลังเว่ยและกองกำลังสั่ว” เขาพูด
“เดิมทีใต้เท้าผู้ตรวจการวางแผนว่าจะส่งฆ้องทองคำเจียงไปสังหารสวีหู่เฉินและนายทหารคนอื่นๆ แต่นับว่าพวกเขาโชคดี รอดตัวไปได้”
หลังจากที่สวี่ชีอันขานรับแล้ว ก็ตกอยู่ในความคิดคำนึง
มีประโยคหนึ่งที่เหล่าซ่งพูดถูก จะต้องส่งข่าวออกไป
อวิ๋นโจวไม่ได้เป็นของสกุลซ่ง ไม่เช่นนั้นพรรคฉีและสำนักพ่อมดก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงอำเภอต่างๆ แค่ในเมืองไป๋ตี้ อย่างน้อยทหารคุ้มกันที่อยู่ในการควบคุมของหยางชวนหนาน ก็สามารถงัดข้อกับสมุหเทศาภิบาลซ่งได้แล้ว
สมุหเทศาภิบาลซ่งใส่ร้ายหยางชวนหนาน ไม่แน่ว่าจะไม่มีความคิดที่จะกำจัดผู้เห็นต่างกับตัวเอง อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้นี่นา…สวี่ชีอันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความเป็นไปได้นี้
แต่เวลานี้หยางชวนหนานเป็นนักโทษ ข้อสงสัยในตัวเขาเองก็ยังไม่หมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้สวี่ชีอันจะต้องการใช้งานเขา แต่เหล่าหยางซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่สามารถออกจากเมืองได้
“เสี่ยงตายออกนอกเมือง ดีหรือไม่?”
ด้านข้าง จูกว่างเสี้ยวซึ่งเงียบมาเป็นเวลานาน พูดเสียงเบา
วิธีนี้อันตรายมาก แต่เขาก็คิดได้แค่วิธีนี้เท่านั้น
“ตอนนี้ในจุดพักเปลี่ยนม้ามีฆ้องทองแดงเพียงสี่คน ซึ่งจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพป้องกันเมืองนับร้อยนาย หรืออาจจะมากกว่านั้น…นับว่าฝืนกำลังเป็นอย่างมาก” ซ่งถิงเฟิงส่ายหัว ปฏิเสธข้อเสนอนี้
กองทัพป้องกันเมืองไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดา พวกเขามีอาวุธชั้นดี มีทั้งธนูและอาวุธดินปืน คิดว่าในนั้นจะต้องมีผู้ที่มีความสามารถสูงอยู่บ้าง อาศัยพวกเขาเพียงสี่คน แม้ว่าจะสามารถเสี่ยงตายออกจากเมืองได้ แต่ก็ต้องใช้ความสามารถอย่างมาก
รอจนไปถึงค่ายทหาร แจ้งข่าวให้กองทัพนางแอ่นเหินได้รับรู้ แล้วค่อยเสี่ยงตายกลับมา…เกรงว่าความวุ่นวายในเมืองไป๋ตี้จะจบลงแล้ว
ยังมีอีกวิธี!
สวี่ชีอันสัมผัสกระจกหยกในอ้อมอก ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ ข้ายังไม่อยากอับอายต่อหน้าผู้คนจริงๆ
“ข้ามีอยู่วิธีหนึ่งที่สามารถแจ้งข่าวให้กองทัพนางแอ่นเหินได้รับรู้ได้” หลังจากสวี่ชีอันพูดจบ ก็โบกมืออย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าไม่ต้องถามมาก ถิงเฟิง กว่างเสี้ยว พวกเจ้าสองคนเฝ้าหยางชวนหนานและเหลียงโหย่วผิงอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้า หากพวกเขามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ตัดหัวทันที! ”
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ซ่งถิงเฟิงตกตะลึง
“ข้าจะรีบไปหาใต้เท้าผู้ตรวจการ…ไม่รู้ว่าทำไม ข้ามักมีลางสังหรณ์ไม่ดี” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากจุดพักเปลี่ยนม้า จูงม้าออกมา แล้วรีบตรงไปยังจวนของสมุหเทศาภิบาลซ่งอย่างรวดเร็ว
ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คน ชาวบ้านต่างดำเนินกิจกรรมตามปกติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่ว่าอวิ๋นโจวจะเปลี่ยนเจ้าของหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ
มือหนึ่งของสวี่ชีอันดึงบังเหียนของม้า อีกมือหนึ่งหยิบกระจกหยกออกมา เขาไม่ได้ส่งข้อความผ่านไปยังหมายเลขสองโดยตรง แต่กล่าวถึงนักบวชเต๋าจินเหลียนก่อน
หมายเลขสาม ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน อาการบาดเจ็บหายดีหรือยัง?’
เขาคาดว่าอาการบาดเจ็บของนักบวชเต๋าจินเหลียนน่าจะได้รับการรักษาแล้ว ครั้งก่อนที่ไปขอยาจากลั่วอวี้เหิงแทนเขา นี่ก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว หากอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ก็เท่ากับกลั่นแกล้งเสืออ้วนของข้า
หมายเลขเก้า ‘ขอบคุณที่เป็นห่วง หายนานแล้ว’
“เฮ้อ…”
สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก นับเป็นความโชคดีท่ามกลางความโชคร้าย
หมายเลขสาม ‘ช่วยกำบังคนอื่นๆ ให้ข้าด้วย ข้ามีเรื่องจะปรึกษาหมายเลขสอง’
‘หมายเลขสามเรียกหาหมายเลขสองมีธุระอะไร ทำไมดูลึกลับขนาดนี้?’
สมาชิกของ ‘พรรคฟ้าดิน’ ที่กระจายตัวไปทั่วหล้า จ้องมองไปที่ข้อความในกระจก เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มอก
แต่หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน ก็พบว่าเศษของหนังสือปฐพีไม่ได้ส่งข้อมูลใดๆ มาอีก พวกเขารู้ว่าเศษของหนังสือปฐพีในมือถูกกำบังชั่วคราว และไม่สามารถรับข้อมูลใดๆ ได้อีก
เคล็ดลับแบบนี้อยู่ในกำมือของนักพรตแห่งนิกายปฐพีเท่านั้น เมื่อก่อนนักบวชเต๋าจื่อเหลียนก็ใช้วิธีเดียวกันนี้กำบังพวกเราทุกคน
“เคล็ดลับแบบนี้ช่างน่าโมโหจริงๆ..”
สาวน้อยตัวแสบจากซินเจียงตอนใต้ขว้างกระจกหยกลงบนพื้นด้วยความโกรธ เสียงดัง ‘ตูม’ พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างแรง กระจกหยกฝังลงไปในใต้ดิน
หมายเลขเก้า ‘หมายเลขสาม เจ้าพูดได้แล้ว นอกจากข้ากับหมายเลขสอง ก็ไม่มีใครสามารถเห็นข้อความของเจ้าแล้ว’
พวกเขาถูกตัดการเชื่อมต่อแล้วหรือ?…นักบวชเต๋า จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าเห็นข้อความของข้าด้วยเช่นกัน แม้ว่าเจ้าจะเฝ้าดูการกระทำของข้าอย่างเงียบๆ แต่ในยามที่ต้องอับอายต่อหน้าผู้คน มีคนอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งน้อยก็ยิ่งดี..สวี่ชีอันบ่นพึมพำ พร้อมกับลดความเร็วของม้าลง ใช้นิ้วต่างพู่กันเขียนข้อความลงไป
‘หมายเลขสอง มองเห็นหรือไม่?’
ขณะรอ หลี่เมี่ยวเจินก็ตอบข้อความของเขาอย่างรวดเร็ว ‘เจ้ามีอะไรจะปรึกษาข้า’
ด้วยสัมผัสที่หกของผู้หญิง นางคิดว่าเรื่องที่หมายเลขสามจะพูดต่อไปนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันญาติผู้พี่ของนาง
มิเช่นนั้น คนหนึ่งอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่ในเมืองหลวง ส่วนอีกคนอยู่ที่อวิ๋นโจวในเมืองไป๋ตี้ ซึ่งอยู่ห่างกันหลายหมื่นลี้ จะมีเรื่องอะไรต้องปรึกษา?
หมายเลขเก้า ‘ต้องการให้ข้าหลบไปก่อนหรือไม่?’
หมายเลขสาม ‘ได้ท่านนักพรต ขอบคุณท่านนักพรต’
หมายเลขเก้า ‘โอ้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง วางใจเถิด อาตมาจะไม่แพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน’
เวรเอ๊ย! ใบหน้าของสวี่ชีอันเผยความเหนื่อยหน่าย
ท่านนักพรตยังมีนิสัยชอบแมวอยู่หรือไม่ หากยังมีอยู่ท่านจะต้องรักษาไว้ ภายหน้าข้าจะต้องเปิดโปงท่านอย่างแน่นอน…สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง แล้วส่งข้อความว่า
‘หมายเลขสอง เรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้สำคัญมาก เจ้าอย่าได้ลังเลและสงสัยอะไรทั้งสิ้น หลังจากฟังข้าพูดจบ ให้รีบลงมือทันที’
และอย่าทำให้ข้าต้องเผชิญความตายตกทางสังคมจนเกินไป ข้ากลัวการได้รับความอับอายอยู่พอสมควร
……………………………………………