ตอนที่ 75 ถังซือ

“เฮ้ย โจวเจ๋อ คุณเปลี่ยนไปแล้ว คุณยังเป็นคนอยู่ไหม ก่อนหน้านี้คนที่พูดว่าเธอเป็นคนที่ฆ่าสองคนนั้นก็คือคุณตอนนี้อยากจะช่วยชีวิตเธอก็เป็นคุณ! เดี๋ยวก็ให้มาจับฆาตกรเป็นเพื่อนคุณ เดี๋ยวก็ให้ผมช่วยหามฆาตกรกลับมา คุณมองผมเป็นอะไรกันแน่!”

เมื่อกลับมาถึงร้านหนังสือ สวี่ชิงหล่างบ่นไล่หลังโจวเจ๋อทันใด

ไม่สิ หากจะพูดให้ถูกต้อง นับตั้งแต่ตึกใหญ่เดินมาตลอดทาง สวี่ชิงหล่างพูดบ่นไม่หยุดปาก บ่นพึมพำไม่หยุดเหมือนกำลังบ่นสามีที่ไร้จิตสำนึกนอนนอกบ้านไม่กลับบ้านสองสามคืนแถมไม่ให้เงินค่าเลี้ยงดูอีก

ไป๋อิงอิงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ ตอนนี้เธอไม่กล้าเปิดคอมพิวเตอร์เล่นเกมแล้ว เพราะไฟดับบ่อยมันทำให้เธอทนไม่ได้จริงๆ

โจวเจ๋อเดิมทีไม่คิดจะสนใจสวี่ชิงหล่างอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาไม่มีเวลา แต่สวี่ชิงหล่างดูเหมือนจะบ่นจนเพลินจากนั้นโจวเจ๋อจึงหมุนตัว ใช้นิ้วชี้จมูกของอีกฝ่ายแล้วพูดตรงๆ ว่า

“ฉันมองนายเป็นอะไรเหรอ นายไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่าไม่ได้สืบก็ไม่มีสิทธิ์พูดไหม ฉันไม่รู้จักเธอ แต่ฉันรู้จักเพื่อนของเธอ ฉันติดหนี้บุญคุณเขา ฉันขอถามนายว่า เหตุผลนี้เพียงพอไหม”

“แล้วคนที่ตายไปสองคนเล่า…”

“สองคนที่ตายไปฉันรู้จักไหม” โจวเจ๋อย้อนถาม “เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย ฉันเป็นนักบุญโจนออฟอาร์กหรือว่าเป็นไห่รุ่ยขุนนางผู้ซื่อสัตย์เหรอ ฉันได้ขอร้องให้คนในท้องถิ่นสร้างศาลจุดธูปบูชาฉันไหม ฉันเป็นแค่คนดวงซวยคนหนึ่ง ถูกไอ้โง่จ้างคนร้ายขับรถชนฉันตาย จากนั้นฉันก็จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในร่างของไอ้โง่คนนี้อย่างงงๆ! ฉันไม่ใช่คน ฉันเป็นแค่ผีตนหนึ่ง ดังนั้นขอความกรุณาจากเถ้าแก่สวี่ที่มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้องอย่าใช้ทัศนคติของมนุษย์ทั่วไปมาขอร้องฉัน! นายต้องการให้ฉันอุทิศตนเหรอ นายต้องการให้ฉันไปตามหาเหตุผลกับความจริงเหรอ อย่างนั้นตอนที่นายถูกปากกาจ่อที่ลำคอกรุณาตะโกนด้วยว่า ‘ยิงมาที่ฉัน!’ ตัวเองทำไม่ได้ ยังจะกล้ามาต่อว่าคนอื่น ฉันเป็นผี ในช่วงเวลาที่ยาวนาน ฉันกระทั่งไม่มีฐานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย และด้วยเงื่อนไขพวกนี้นายยังขอร้องฉันให้ทำเพื่อมนุษย์ แต่มีใครอยากทำเพื่อฉันบ้าง”

“คุณ…”

“คุณอะไรคุณ ตัวนายเองตอนแรกก็ฝืนกฎรั้งวิญญาณของพ่อแม่ของนายให้อยู่ที่บ้านเพื่อเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ใช่เหรอ ตอนที่นายทำเรื่องแบบนี้ทำไมไม่คิดบ้างว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนโชคร้ายอีกหลายครอบครัวที่สูญเสียญาติมิตร ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างนาย ฉันไม่สนว่าเธอจะฆ่าคนไหม ฉันติดหนี้บุญคุณของคนที่อยู่หรงเฉิง ฉันจึงทำเป็นไม่สนใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่! ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นฆาตกรหรือเปล่า เธอรับปากว่าจะหาหัวใจกลับมาให้ฉัน ฉันจึงยินดีที่จะช่วยรักษาเธอ! เรื่องมันก็ง่ายแบบนี้ ดังนั้น กรุณาเก็บความหยิ่งผยองของนาย เก็บความคิดว่าตัวเองถูกทุกอย่าง เก็บความสูงส่งของนาย แล้วกลับไปที่ร้านของนายซะ!”

โจวเจ๋อพูดรวดเดียวจบ แล้วจึงหายใจยาว พูดตามจริงช่วงนี้หงุดหงิดใจมาก โดยเฉพาะหลังจากเรื่องของเจ้าลิงมันน่ารำคาญใจจริงๆ

เขาไม่น่าแส่หาเรื่อง กระทั่งสามารถปิดตาทั้งสองข้างทำเป็นไม่เห็นอะไร แบบนี้ก็ไม่ต้องเลือก และไม่ต้องถูกพ่อครัวชราคนนั้นควักหัวใจของตัวเองไป

เลียนแบบนกกระจอกเทศเอาศีรษะซุกในทราย แล้วยืดตัวส่ายไปมา จากนั้นตะโกนดังๆ ว่าโลกนี้ช่างสวยงามจริงๆๆๆ! น่าจะดีและสบายมากกว่า

สวี่ชิงหล่างกลืนน้ำลาย เมื่อเจอการโต้กลับของโจวเจ๋อ เขาจึงทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

แล้วสถานการณ์ในร้านก็เย็นลงไปชั่วขณะ

ไป๋อิงอิงมองอยู่ข้างๆ นานแล้ว แต่ไม่กล้าพูดแทรก

สวี่ชิงหล่างเหยียดนิ้วแล้วชี้ไปที่โจวเจ๋อ และเรื่องน่าเศร้าที่สุด ไม่มีสิ่งใดเกินจิตใจที่ตายแล้ว ราวกับเกิดลมพัดแรงดอกไห่ถังกระจัดกระจาย จากนั้นจึงสะบัดแขน หมุนตัวเดินไปที่ประตู แต่ตอนที่ยังไม่ได้ผลักประตูกระจก เขาได้หยุดฝีเท้าแล้วถามว่า

“ตอนกลางวันอยากกินอะไร”

“ข้าวผัดเนื้อใส่ซอสมะเขือเทศกับน้ำสตอเบอร์รี่ขอบใจ” โจวเจ๋อตอบอย่างไม่ลังเล

“โอเค”

สวี่ชิงหล่างออกไปแล้ว ออกไปทำกับข้าว

ไป๋อิงอิงแลบลิ้นออกมา จากนั้นจึงปิดจมูกของตัวเอง

โจวเจ๋อมองเธอ “ถ้าหากคุณอยากจะพูดว่าได้กลิ่นเปรี้ยวอะไรล่ะก็ นั่นก็คือส้วมตันอีกแล้ว ไปทำความสะอาดชักโครกสามรอบ”

ไป๋อิงอิงส่ายหน้าทันที “กลิ่นหอมหวานเจ้าค่ะ”

และในเวลานี้ รถตู้คันหนึ่งได้มาจอดที่หน้าร้านหนังสือ

“ไปขนของ”

ไป๋อิงอิงออกไปตามคำสั่งของโจวเจ๋อ ย้ายกล่องสองลังเข้ามา ส่วนรถตู้วางของเสร็จก็ขับออกไปเลย

“ข้างในเป็นอะไรเหรอเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงถาม

“อุปกรณ์ผ่าตัดง่ายๆ” โจวเจ๋อเปิดหนึ่งกล่องในนั้น แล้วหยิบถุงมือคู่หนึ่งสวมให้ตัวเอง

“เถ้าแก่ ท่านสั่งให้คนมาส่งได้ยังไงเจ้าคะ”

“ชาติที่แล้วผมเป็นหมอ”

“เอ่อ จากนั้นล่ะ”

“จากนั้นผมก็รู้อยู่แล้วว่าหัวหน้าคนไหนแอบลักลอบขายเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ แล้วยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ผมก็โทรไปขู่เขา ให้เขาเอาเครื่องมือแพทย์ที่ราคาไม่สูงมากมาส่งถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ” ไป๋อิงอิงตกตะลึงเล็กน้อย สักพักถึงได้สติกลับมา

“เอาของย้ายไปข้างบน” โจวเจ๋อพูดจบแล้วตัวเองก็เดินขึ้นไปข้างบนก่อน

บนเสื่อชั้นสอง มีผู้หญิงนอนอยู่ตรงนั้น ส่วนนักพรตเฒ่าก็นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ปากคาบบุหรี่หนึ่งมวน ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้ามา นักพรตเฒ่าพูดด้วยความกังวลว่า

“น้องชาย มั่นใจไหม”

“อย่างนั้นพวกคุณสามารถไปที่โรงพยาบาลได้ จากนั้นก็จะถูกยมทูตพวกนั้นจับตัวไป”

นักพรตเฒ่าไม่พูดอีก

ไป๋อิงอิงยกลังขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งเหมือนไม่หนักเลยด้วยซ้ำ บางครั้งโจวเจ๋อรู้สึกว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ตัวเองถ้าหากไม่เปิดร้านหนังสือ แต่เปิดร้านจัดทีมงานก่อสร้าง และมีไป๋อิงอิงเป็นลูกมือช่วยจะต้องทำกำไรงามแน่นอน พวกรถตักดินเครื่องดันดินอะไรสามารถประหยัดได้ทั้งหมด

เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากฆ่าเชื้ออุปกรณ์แล้ว โจวเจ๋อจึงเริ่มทำการผ่าตัด

“น้องชาย ไม่ฉีดยาชาเหรอ” นักพรตเฒ่าพูดเตือนอยู่ข้างๆ

“เธอไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา สติและจิตใจที่แน่วแน่ของเธอน่ากลัวมาก”

โจวเจ๋อส่ายหน้า จากนั้นจึงใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลลวกๆ ที่ผู้หญิงได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านั้น

บาดแผลเหล่านี้ทำแผลได้ไม่แย่ แต่มีแผลบางจุดที่สภาพไม่ธรรมดา การทำแผลโดยทั่วไปไม่ได้ผลอะไรทั้งสิ้น

“อันนี้ก็จริงอยู่ นางเคยพูดว่าไม่ได้นอนหลับมานานครึ่งปี สุดท้ายก็ยังรอดมาได้” นักพรตเฒ่าพึมพำอยู่ข้างๆ

โจวเจ๋อเปิดแผลที่แขนซ้ายของอีกฝ่าย จากนั้นใช้คีมเขี่ยข้างในเล็กน้อย ผู้หญิงไร้การตอบสนองใดๆ เธอเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งการนอนหลับสนิทที่สุด

ต่อจากนั้นโจวเจ๋อจึงใช้คีมเขี่ยขนนกสีดำออกมาจากแผล แล้วทิ้งใส่จานโลหะที่ไป๋อิงอิงถืออยู่

ติ๊ง…

ขนนกเบามาก แต่ตอนที่ตกลงไปกลับมีเสียงดังกังวานออกมา

“ข้าจำได้ว่า ขนนกอันนี้มาจากไม้ขนไก่สีดำอันหนึ่ง มีผู้ชายใส่ชุดดำหน้าขาวใช้ไอ้นี่โจมตีพวกเรา”

“เทพเฮยอู่ฉางหรือ” โจวเจ๋อถาม

“ไม่รู้ คลับคล้ายนิดๆ” นักพรตเฒ่าตอบ

โจวเจ๋อไม่ปฏิเสธแล้วจึงทำแผลต่อไป เยี่ยมมากจริงๆ บนตัวของผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้ว่าถูกฝังด้วยของเล่นแปลกๆมากน้อยแค่ไหน และเวลาที่ต่อจากนี้ไป โจวเจ๋อหยิบกระดาษยันต์ขาดออกมา หยิบลูกดอกที่สลักด้วยอักษรรูนออกมา ปล่อยของเหลวสีขาวคล้ายเงินออกมา เหมือนกับเปิดร้านขายของชำ มีหมดทุกอย่าง

ไป๋อิงอิงกับนักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ มองจนตาลาย

ระหว่างที่ทำแผล สิ่งของที่หลงเหลืออยู่ข้างในบาดแผล ถึงแม้จะถูกทำความสะอาดหมดแล้ว แต่สำหรับกายร่างนี้ ถูกทำร้ายไม่น้อยกว่าหนึ่งถึงสองครั้ง ด้วยเหตุนี้โจวเจ๋อจึงต้องคอยติดตามอาการของผู้หญิงคนนี้ตลอดเวลา

ในท้ายที่สุด ตอนที่โจวเจ๋อหยิบเศษกระจกสีแดงสองชิ้น ออกมาจากตำแหน่งท้องน้อยของผู้หญิง พบว่ามีหมอกควันสีดำจางๆ ลอยขึ้นมาจากตัวของผู้หญิง มีเงาหนึ่งเหมือนจะลอยออกมาด้วย

และภาพนี้มีเพียงโจวเจ๋อสามารถเห็นได้คนเดียวเท่านั้น

นี่คือการแสดงออกของร่างกายที่เกือบพังทลายและยากที่จะรั้งจิตวิญญาณไว้ หากอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์หมายถึงผู้ป่วยคนนี้กำลังจะตาย

เล็บมือขวาของโจวเจ๋อนิ้วงอกยาวออกมา จากนั้นก็จับเงาสีดำนั่นไว้ แล้วกดกลับเข้าไปในร่างอีกครั้ง

“อืม…” จากนั้นก็มีเสียงขาดๆ หายๆ ดังออกมา

“คุณอดทนอีกหน่อย เหลือแผลอีกสองสามจุดที่ต้องจัดการ จากนั้นก็ทายาต่อ ถ้าหากร่างกายสามารถผ่านจุดนี้ไปได้ก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูแล้ว”

นี่คือการผ่าตัดครั้งพิเศษสุด นับตั้งแต่ที่โจวเจ๋อได้เป็นหมอ อย่างแรกยังไม่ต้องพูดถึงความซับซ้อนของอาการบาดเจ็บของผู้ป่วย แต่พูดถึงตอนที่ตัวเองกำลังผ่าตัดก็ต้องคอยจับดวงวิญญาณที่จะออกจากร่างกดกลับเข้าร่างอีกด้วยหากประกาศออกไปก็มากพอที่จะสะเทือนวงการแพทย์

นี่แทบจะเรียกว่าน่าเหลือเชื่อ เหมือนกับการเล่นเกมตู้ที่มีเหรียญไม่สิ้นสุดเพื่อให้คุณได้ต่อชีวิต

แน่นอนว่า โจวเจ๋อรู้ดีว่าเป็นเพราะดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก ดวงวิญญาณของคนทั่วไป ต้องทนทรมานหนึ่งครั้งยังพอรับไหว แต่ถ้าต้องโดนติดต่อกันสองสามครั้งเกรงว่าน่าจะตายไปแล้ว

หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง ความยืนหยัดของผู้หญิงคนนี้น่ากลัวมากจริงๆ

โจวเจ๋อกระทั่งรู้สึกสงสัยอยากรู้ ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายตัวเองยังเข้มแข็งขนาดนี้ แล้วเด็กหนุ่มที่คอยก่อความวุ่นวายที่เมืองหรงเฉิง ตัวเขานั้นจะเป็นอย่างไรกันแน่

อย่างที่ว่ากันว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์อย่างไรเล่า

หลังจากโจวเจ๋อจัดการแผลสุดท้ายเสร็จก็ทายา จากนั้นเขาจึงถอนหายใจยาว

ต่อจากนั้นก็ต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งของผู้หญิงคนนี้ รอให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่มาก

อันที่จริงถ้าหากตอนแรกชายชราไม่ได้ควักหัวใจของตัวเอง ก็อยากจะไปขอยาที่ดีที่สุดจากเขา เพราะแผลตรงหน้าอกของโจวเจ๋อฟื้นสภาพกลับมาโดยไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็น

แน่นอนว่าโจวเจ๋อบางครั้งก็คิดว่า อีกฝ่ายได้ควักหัวใจของตัวเองออกไปจริงๆ หรือเปล่า

หรือว่าจริงๆ แล้วตัวเองโดนเวทมนตร์ แต่ทุกครั้งที่เขาคิดที่จะทำอะไรซึ่งขัดกับผลประโยชน์ ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนั้นมาจากที่ไหนกัน

ผู้หญิงถูกรักษาตัวอยู่ชั้นบน นักพรตเฒ่าไปกินข้าวร้านข้างๆ ส่วนไป๋อิงอิงก็วิ่งไปเล่นเกมโน่น จึงเหลือเพียงโจวเจ๋อที่คอยตรวจอาการของผู้หญิงอยู่ที่นี่

เมื่อผ่านไปประมาณสองสามชั่วโมง โจวเจ๋อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ พบว่าหนังตาของผู้หญิงกระตุกเล็กน้อยจากนั้นเขาก็เห็นเธอลืมตาขึ้น

ผู้หญิงกำลังมองเขา เขาเองก็กำลังมองผู้หญิง

“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง” โจวเจ๋อถาม

ผู้หญิงพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อบอกว่าร่างกายของตัวเองกำลังดีขึ้น

“เหอะๆ คุณชื่ออะไร” โจวเจ๋อถาม

ผู้หญิงเงียบไปนานมาก ตอนที่โจวเจ๋อกำลังสงสัยผู้หญิงว่า สภาพของร่างกายในตอนนี้ไม่อนุญาตให้เธอพูดหรือเปล่า ผู้หญิงได้เอ่ยพูดว่า

“ถัง..ซือ…”

“ผมชื่อ…” โจวเจ๋อนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วถามอย่างสงสัยว่า

“ทุกครั้งตอนที่คุณแนะนำชื่อตัวเองกับคนอื่น มีใครชอบแกล้งคุณบ่อยๆ ตอบแบบตลกว่าเขาชื่อซ่งซือไหม”

………………………………………….