ตอนที่ 76 อย่าสิ้นเปลือง

วันเวลาผ่านไปสามวันอย่างไม่เร็วไม่ช้าไม่เร่งรีบ

และในสามวันนี้ สวี่ชิงหล่างก็กำลังยุ่งหาร้านใหม่ เพราะศูนย์การค้าที่ร้างมานานแห่งนี้ และมีคนตายถึงสองคนสองครั้งหากยังตั้งร้านอยู่ที่นี่อีก คือการทำให้ตัวเองขาดอิสระ เขาขอความคิดเห็นจากโจวเจ๋อ ว่ายินดีที่จะย้ายร้านไปพร้อมกับเขาไหม เขาสามารถช่วยทำหน้าร้านใหม่ให้โจวเจ๋อได้ และสำหรับคำตอบนี้ โจวเจ๋อก็ไม่ได้ออกความเห็น

หากจะพูดในอีกแง่หนึ่ง โจวเจ๋อไม่ค่อยให้ความสนใจความนิยมของคนเป็นที่มีต่อร้านหนังสือมากเท่าไร แต่อีกด้านหนึ่ง ถ้าอยู่ห่างจากน้ำผลไม้ของสวี่ชิงหล่างแล้ว การกินข้าวของเขาจะกลายเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง

และในสามวันนี้ได้เกิดเหตุการณ์อีกแล้ว นั่นก็คือทางตำรวจพบจดหมายลาตายในบ้านของคุณเฉินกับคุณหลิวแฟนสาว และยังพบภาพถ่ายแต่งงานของพวกเขาทั้งสองคน

ทว่าภาพถ่ายแต่งงานนี้เป็นสีขาวดำ และเนื้อหาในจดหมายก็ยิ่งทำให้คนยากที่จะเข้าใจ

พวกเขานัดกันฆ่าตัวตายสังเวยความรัก โดยใช้วิธีที่น่ากลัวจบชีวิตของตัวเอง ในจดหมายลาตายพวกเขาได้ขอโทษสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มคนรักเรื่องสยองขวัญ สำหรับความยุ่งยากและการสอบสวน และขณะเดียวกันได้อธิบายว่า นี่คือเรื่องสยองขวัญของจริง

พวกเขาพบกันเพราะชอบเรื่อง ‘สยองขวัญ’ เหมือนกัน ดังนั้นจึงใช้วิธีที่ ‘น่ากลัว’ ที่สุดพิสูจน์ความรักของตัวเอง

ข่าวนี้ถูกแพร่กระจายไปบนอินเทอร์เน็ต เป็นที่วิจารณ์กันอย่างฮือฮา ขณะเดียวกันก็เกิดการแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ขึ้นมา พวกบัญชีใหญ่ได้หวดแส้ของตัวเองอีกครั้ง ต่อว่านิยายหรือผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ประเภทสืบสวนสอบสวนสยองขวัญ เพื่อให้เห็นว่านี่คือการชี้แนะเด็กรุ่นหลังในทางที่ผิด สิ่งเหล่านี้น่าจะถูกแบนให้หมด

แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ควรถูกแบนก็คือเรื่องราวความรักสมัยโบราณอย่างม่านประเพณี เพราะเรื่องราวพวกนี้ชื่นชมยินดีกับหัวข้อการสังเวยความรัก เป็นผลทำให้คนรุ่นหลังฆ่าตัวตายเพื่อความรักอย่างต่อเนื่อง

ผู้หญิงที่ชื่อถังซือพักอยู่ที่ชั้นสองตลอด หลังจากจัดการอาการบาดเจ็บของเธอแล้ว ก็นอนรออีกสามวัน ในที่สุดโจวเจ๋อก็มาอยู่ตรงหน้าเธอ เพราะสิ่งที่รับปากเธอ ตัวเองได้ทำตามสัญญาแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่อีกฝ่ายต้องทำตามเงื่อนไขบ้าง

“สองคนนั้นฆ่าตัวตายจริงๆ ใช่ไหม”

ถังซือยังนอนอยู่ตรงนั้น เนื้อตัวถูกพันไปด้วยผ้าพันแผล ดูแล้วเหมือนมัมมี่สาวคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่สามารถพิถีพิถันเรื่องความสวยความงามได้จริงๆ เพราะอาการบาดเจ็บของเธอ มันสาหัสและซับซ้อนมากเกินไป

“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า

“ตอนที่พวกเขาเล่นผีปากกา ฉันสัมผัสได้” ดวงตาของถังซือมองไปที่โจวเจ๋อ “ตอนนั้นฉันแค่รู้สึกสนุก พวกเขาอยากเจอผี แต่กลับไม่รู้ว่า เถ้าแก่ร้านหนังสือที่ตัวเองอยู่ ก็คือผีตนหนึ่ง และยังเป็นยมทูตอีกด้วย อันที่จริง คืนแรกที่ผู้หญิงคนนั้นเตรียมกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฉันได้ควบคุมกระโปรงของตัวเองอยากจะเข้าไปขัดขวาง แต่เธอได้ตัดสินใจแล้ว ฉันเองก็อ่อนแอมาก จึงขัดขวางไม่ได้ แล้วเธอก็กระโดดลงไป”

โจวเจ๋อไม่พูด

“ผู้ชายและผู้หญิงที่ไร้สติปัญญามักจะรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องที่งดงามอย่างหนึ่ง แต่คาดว่าพวกเขาที่อยู่ในนรกตอนนี้น่าจะเสียใจมาก เพราะนรก เป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก มากพอที่จะทำให้คนที่ฆ่าตัวตายเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองในตอนแรก”

ขณะที่พูด

ถังซือหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “คุณโชคดีกว่าพวกเราเยอะมาก คุณไม่เคยสัมผัสความน่ากลัวที่แท้จริงของนรก”

“พูดตรงประเด็นได้แล้ว” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน

“หัวใจของคุณใช่ไหม” ถังซือถาม

“ไม่อย่างนั้นละ”

“คุณรู้สึกว่า คุณไม่มีหัวใจแล้วใช่ไหม”

โจวเจ๋อพยักหน้า

“แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี บนโลกใบนี้ มีเรื่องเหลือเชื่อมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะมีเส้นหนึ่งคอยรักษาความสมดุลไว้ อย่างเช่นแผลของฉัน คุณก็มองออก พวกยมทูตที่วิ่งออกมาจากนรกภูมิ สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้บนตัวของฉัน ก็คือของเล่นจำพวกขนนกสีดำ ของเหลวสีเงิน กระดาษยันต์ ภาพลักษณ์ของพวกเขาในสายตาของคนอื่น มีความลึกลับและสูงส่งมาก แต่ในความเป็นจริง ก็เหมือนกับเทพธิดานางฟ้าที่ต้องเข้าห้องน้ำเหมือนกัน หากโยนผ้าคลุมหน้าลึกลับอีกชั้นหนึ่งที่พวกเขาต้องวิ่งเข้าออกนรก จริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไกลจากสิ่งที่เรียกว่าสุดยอดภาพยนตร์หรือตัวละครที่บรรยายในนิยายแฟนตาซีที่มีความสามารถเคลื่อนภูเขาเติมท้องทะเลได้ก็ตาม แน่นอนว่าฉันไม่ยืนยันว่าไม่มีใครมีความสามารถนี้ แต่ฉันมั่นใจว่ามีความสามารถประเภทนี้อยู่ และมันไม่สามารถห่างจากนรกได้”

“ดังนั้น ที่คุณพูดหมายถึงอะไรกันแน่” โจวเจ๋อถาม

“เกี่ยวกับหัวใจของคุณที่หายไป คุณเคยพูดกับฉันแล้ว คุณน่าจะกินข้าวไม่ลงใช่ไหม ก็เหมือนกับพวกเรา สองสามวันที่ผ่านมานี้ ฉันเห็นคุณกินข้าว จะต้องมีเครื่องดื่มรสเปรี้ยวสุดๆ ประกอบด้วยถึงจะกลืนลงไปได้”

โจวเจ๋อพยักหน้า

“แต่คุณพูดว่าตอนที่คุณกินหัวใจของตัวเอง ไม่รู้สึกว่าไม่สบายเลยสักนิด กระทั่งรู้สึกว่า มีรสชาติอร่อย”

“ความหมายของคุณคือ ที่ผมกินเข้าไป จริงๆ แล้วไม่ใช่หัวใจของผม ไม่สิ จริงๆ แล้วไม่ได้กินของจริงอะไรเลย”

โจวเจ๋อเข้าใจในทันทีแล้วกล่าวต่อว่า

“กินข้าว โต๊ะอาหาร มีดกับส้อม ล้วนเป็นของปลอม ล้วนเป็นภาพลวงตา”

ถังซือพยักหน้าเล็กน้อย เธอเหมือนจะเหนื่อยแล้ว แต่ก็ยังพูดต่อ

“ถึงแม้จะมีสิ่งลึกลับหรือน่ากลัวมากกว่านี้ พวกเขาก็ไม่มีวิชาสูงส่ง ทำให้คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีความสามารถขั้นเทพควักหัวใจออกมาจากร่าง แต่ยังคงพลังชีวิตให้กับกายเนื้อเดิม ดังนั้นสิ่งที่คุณโดนน่าจะเป็นการสะกดจิต เป็นการสะกดจิตที่ใช้วิชาขั้นสูงอย่างหนึ่ง ทำให้ตัวคุณไม่สามารถหลุดพ้นจากการสะกดจิตได้”

“สะกดจิตเหรอ”

“ใช่ค่ะ สะกดจิต บรรยากาศตอนกินข้าว ทุกประโยคทุกการกระทำของอีกฝ่าย ล้วนเป็นตัวชี้นำทางจิตวิทยาให้คุณ ไม่อย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่เลือกเก็บฟืนข้างทางแล้วก่อไฟย่างเนื้อให้คุณกินละ”

โจวเจ๋อพยักหน้า จริงๆ แล้วคำพูดของถังซือกับการคาดเดาของตัวเองก่อนหน้านี้ มีหลายจุดที่มีความคิดเห็นตรงกันโดยบังเอิญ

อย่างเช่น ทุกครั้งที่ตัวเองเลือกที่จะหักหลังผลประโยชน์ตรงหน้า มักจะเจ็บหน้าอกตลอด แต่พอตัวเองฝืนไปสักพัก ก็ยังเลือกแบบเดิมต่อไป

เพราะจิตใต้สำนึกของตัวเองคิดว่าตัวเองไม่มีหัวใจแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ทำสิ่งใดที่มาจาก ‘จิตสำนึก’ ก็จะคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า อ้อ เรื่องนี้ฉันไม่ควรทำ จากนั้นก็จะเจ็บ

ก็เหมือนกับความยากลำบากวัยเด็กของใครคนหนึ่ง ที่ทิ้งบาดแผลทางจิตใจเอาไว้ เมื่อเจอเหตุการณ์หรือฉากที่คล้ายกัน ก็จะรู้สึกไม่สบายทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกัน

“อย่างนั้นผมต้องไปหาจิตแพทย์”

“ฉันรู้จักจิตแพทย์ที่เก่งคนหนึ่ง เขาสามารถช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้” ถังซือกล่าว

“คนนั้นเหรอ” โจวเจ๋อนึกถึงใครคนนั้นโดยอัตโนมัติ

“ขอเพียงเขามีชีวิตกลับมา ปัญหาของคุณ เขาจะสามารถจัดการได้”

“ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาหนีไปไหนแล้ว”

“เขาไม่ได้หนี” ถังซือพูดแก้ให้ถูกต้อง “เขาไปหาพวกเขาแล้ว”

แล้วหัวข้อการสนทนาก็จบลงตรงนี้ ตอนที่โจวเจ๋อกำลังจะลงไปข้างล่าง ถังซือถามอีกว่า

“ช่วยเรียกศพผีสาวคนนั้นขึ้นมาได้ไหม”

“จะทำอะไร”

“อยากให้เธอนอนเป็นเพื่อนฉัน”

“ผมจะไปถามเธอว่าตกลงไหม”

พอลงไปข้างล่าง ไป๋อิงอิงนั่งเล่นเกมมือถืออยู่หลังเคาน์เตอร์ โจวเจ๋อไม่สนใจเธอ ไม่ช่วยผู้หญิงที่อยู่ข้างบนคนนั้น ถามความคิดเห็นของไป๋อิงอิง แล้วเดินออกจากประตูร้านเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง

จิตแพทย์เหรอ เขาพอรู้จักจิตแพทย์เก่งคนหนึ่ง

คราวที่แล้วหวังเคอได้พูดกับตัวเองว่า ต่อไปเขาจะไม่ไปหาโจวเจ๋ออีก แต่ถ้าหากโจวเจ๋อมีเรื่องจำเป็นสามารถไปหาเขาได้

แล้วเขาก็พูดถูกจริงๆ

โจวเจ๋อนั่งรถแท็กซี่มาถึงหน้าคฤหาสน์ของหวังเคอก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว จากนั้นเขาจึงกดกระดิ่ง

ประตูถูกเปิดออก หวังเคอที่ยังใส่ชุดนอนอยู่ ปรากกฎตัวอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าโจวเจ๋อมา เขาตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็แสดงท่าทางให้โจวเจ๋อเข้าไป

กลิ่นเนื้อหอมๆ ลอยมาจากภายในบ้าน น่าจะกำลังตุ๋นเนื้ออยู่ในห้องครัว

“กินข้าวด้วยกันไหม” หวังเคอถามความคิดเห็น “เพิ่งซื้อกระดูกหมูมา ตุ๋นนานมากแล้ว จำได้ว่าตอนเด็กพวกเราอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า กินข้าวสักมื้อไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

โจวเจ๋อส่ายหน้า “ฉันกระเพาะไม่ค่อยดี”

“ไม่เป็นไร งั้นก็ดื่มน้ำซุปหน่อย อ้อใช่ นายมาหาฉัน มีธุระใช่ไหม”

“ฉันถูกคนสะกดจิต คนที่สะกดจิตฉันบอกว่าฉันไม่มีจิตสำนึก ตอนนี้ฉันอยากเอาจิตสำนึกของฉันกลับมา” โจวเจ๋อพูดตรงประเด็นทันที

หวังเคอขมวดคิ้ว รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจอยู่บ้าง แล้วเอ่ยว่า

“ที่ฉันลองคราวที่แล้ว ไม่สามารถสะกดจิตนายได้ นายบอกว่าปกติจะนอนไม่หลับ ดังนั้นวิธีโดยตรงเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด ฉันไม่สามารถทำกับนายได้ และได้แต่ใช้วิธีทางอ้อมลองดูว่าจะได้ผลไหม”

“ลองดูก็แล้วกัน”

ทั้งสองคนมาที่ห้องหนังสือชั้นสอง หวังเคอเปลี่ยนใส่ชุดทำงานเรียบร้อยแล้วนั่งลง จากนั้นยื่นนาฬิกาพกให้โจวเจ๋อ

“นายใช้อันนี้ส่ายไปมาต่อหน้าฉัน ลองสะกดจิตฉันดู ถึงตอนนั้นพวกเราสองคนก็เข้าสู่กลไกทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึก”

โจวเจ๋อไม่รอช้า หยิบนาฬิกาพกส่ายไปมาตรงหน้าหวังเคอโดยตรง

หวังเคอมองอย่างตั้งใจมาก มองไปมองมาจากนั้นเขาก็หลับตา

ขณะเดียวกันโจวเจ๋อก็รู้สึกเหนื่อย เหมือนกับว่าตอนนี้หวังเคอกำลัง ‘นอนหลับ’ และมีผลกระทบต่อตัวเองไม่มากก็น้อย

“นายหลับไปแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม

หวังเคอไม่ตอบ

“นายชื่ออะไร”

“หวังเคอ”

เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก โจวเจ๋อไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้มากเท่าไร แต่ในเวลานี้ ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์อะไร

“นาย…”

ทันใดนั้น โจวเจ๋อก็รู้สึกว่าสายตาของตัวเองพร่าเลือนพักหนึ่ง ระหว่างนั้นเหมือนว่าเขาจะได้ยินผู้ชายคนหนึ่งกำลังถามตัวเอง

“คุณคิดว่าคุณต้องการจิตสำนึกไหม”

โจวเจ๋องุนงงในทันใด แต่ก็ยังตอบว่า “ทำเรื่องดีอาจไม่ได้ผลดีตอบแทน”

“ดังนั้นส่วนลึกสุดในหัวใจของคุณ จริงๆ แล้วคุณปฏิเสธความยึดถือที่เคยชินก่อนหน้านั้นของตัวเองมาตลอด”เสียงของผู้ชายดังมาอีกครั้ง

ต่อจากนั้นก็เป็นการสนทนาที่ยาวนาน ตัวของโจวเจ๋อไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ดูเหมือนจะสนทนาและตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

ตรงหน้าของเขา มีหม้อใบหนึ่ง ในหม้อนั้นกำลังต้มน้ำซุปอยู่ และข้างในก็กำลังต้มกระดูกชิ้นใหญ่ กลิ่นแรงมาก

ปัง!

นาฬิกาพกร่วงหล่นจากมือของโจวเจ๋อลงสู่พื้น

โจวเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้น หวังเคอที่อยู่ข้างหลังโต๊ะหนังสือก็ลืมตาเช่นกัน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยมาก

“สำเร็จไหม” โจวเจ๋อถาม

หวังเคอพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า จากนั้นเอ่ยขอโทษ

“ปัญหาของนาย ซับซ้อนเล็กน้อย จริงๆ แล้วความสับสนว่าต้องการจิตสำนึกไหม อยู่ที่ตัวของนาย อาจจะเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ที่นายได้เจอช่วงนี้ ทำให้ความเชื่อถือแต่เดิมได้คลายลง บวกกับแรงผลักดันจากภายนอก กลายเป็นปมหัวใจของนาย”

โจวเจ๋อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วทำสีหน้าครุ่นคิด

“อ้อใช่ นายได้ถามคำถามอะไรกับฉันหรือเปล่า” หวังเคอถามขึ้นทันใด

การสะกดจิตแบบนี้เป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ในความเป็นจริงหวังเคอใช้การสะกดจิตกับโจวเจ๋อแบบลวกๆ แต่หวังเคอกลับเปิดใจทั้งหมดกับโจวเจ๋ออย่างสิ้นเชิง

“ฉันไม่ได้ถาม เพราะว่าฉันเห็นซุปเนื้อหม้อหนึ่ง นายหิวมากใช่ไหม”

“ใช่ หิวแล้ว” หวังเคอพยักหน้า

จากนั้นหวังเคอก็ลากโจวเจ๋อไปที่ห้องครัว เปิดหม้ออัดแรงดัน ข้างในคือซี่โครงหมูตุ๋น

“มา กินข้าวด้วยกัน ถือเสียว่าย้อนความทรงจำวัยเด็ก”

โจวเจ๋อพลันรู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่ความจริง

นักจิตวิทยาผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง ตุ๋นซี่โครงหมูที่ชื่นชอบในบ้านของตัวเอง ฉากภาพนี้ทำให้คนรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

กระทั่งหน้าอกของโจวเจ๋อยังมีความรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง

“ฉันไม่กิน”

โจวเจ๋อถอยหลังไปสองสามก้าวเมื่อได้สติ แล้วออกมาจากห้องครัว

หวังเคอกำลังปรุงน้ำจิ้มอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเอ่ยว่า “ขอกินเป็นเพื่อนพี่ชายหน่อย”

“นายกินเองเถอะ”โจวเจ๋อยังคงปฏิเสธ จากนั้นสายตาของเขาได้กวาดมองหม้ออัดแรงดันกับซี่โครงหมูที่ต้มอยู่ในหม้อบ่อยครั้ง

“ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นเนื้อที่ฉันเลือกให้นายโดยเฉพาะ รสชาติดีแน่นอน” หวังเคอพูดเชื้อเชิญต่อ

“พี่สะใภ้ละ” โจวเจ๋อถาม

มือที่ถือจานของหวังเคอสั่นทันใด พร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่ก็ยังตอบว่า “เธอไปทำผม”

“อ้อ” โจวเจ๋อไม่พูดอะไรอีก

จากนั้นโจวเจ๋อก็มองหม้ออัดแรงดันอีกครั้ง

ความรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนเหมือนจะรุนแรงขึ้น

“สามีคะ คุณต้มน้ำซุปอีกแล้ว” เวลานี้ เสียงของผู้หญิงดังมาจากประตูอัตโนมัติ

โจวเจ๋อหันไปมองจึงเห็นเธอ ทันใดนั้นเขามีความรู้สึกเหมือนก้อนหินใหญ่ร่วงหล่นบนพื้น

หรือว่าฉันคิดมากไป

“ใช่แล้ว นี่คืองานอดิเรกของผม” หวังเคอหัวเราะเหอะๆ ขณะเอ่ยพูด

ภรรยาของเขาเดินมาข้างๆ โจวเจ๋อ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “ไม่น่าเชื่อใช่ไหมละ งานอดิเรกของนักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ ก็คือหาเวลาว่าง แล้วต้มน้ำซุปให้ตัวเองกิน ถึงแม้ว่าจะกินไม่ลงแต่กลับรู้สึกพอใจมาก”

“พอได้ครับ” โจวเจ๋อเม้มปาก “ตอนเด็กฐานะยากจน พอโตขึ้นความฝันถึงเป็นจริง”

“มา ดื่มสักชาม”

หวังเคอตักน้ำซุปหนึ่งชาม ข้างในโรยด้วยกระเทียมสับหัวหอมสับ แล้วก็เหยาะน้ำมันงาสองหยดกับใส่พริกไทยขาวลงไปนิดหน่อย

โจวเจ๋อยกน้ำซุปขึ้นมา ตอนที่กำลังลังเลว่าจะฝืนตัวเองให้ดื่มนั้น เขากลับสังเกตอะไรได้บางอย่าง

ภรรยาที่ยืนข้างตัวเอง เธอเขย่งปลายเท้าเดิน หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เธอเดินไปข้างหม้ออัดแรงดัน ช่วยหวังเคอตักน้ำซุป พร้อมกับกำชับว่า

“กินเยอะๆ นะคะ อย่าสิ้นเปลือง”

…………………………………………………………………………