ตอนที่ 933-934

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 933+934 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 933 แต่ยามนี้แม้แต่ข้อนี้เขาก็ทำไม่ได้…

คนชุดขาวผู้นั้นมองคราบเลือดที่ริมสระ คล้ายจะขมวดคิ้ว วาดแขนเสื้อคราหนึ่ง ริมสระพลันสะอาดเอี่ยมดั่งล้างด้วยน้ำ มองไม่เห็นคราบเลือดอีกเลย

เขาแหงนหน้ามองฟากฟ้า ทิศทางนี้ที่เขามองไป สายตาจะมองทะลุผิวกระจกตรงใจกลางห้องโถงได้พอดี มองเห็นนภาดาษดาวที่ด้านนอก

สายตาเขาจับจ้องดวงใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางดวงนั้น

โบกไม้โบกมือเบาๆ อยู่ครู่ใหญ่ ทำท่าดึงบางอย่างลงมา “เจ้าอยู่ข้างบนนานพอแล้ว! สมควรลงมาเปลี่ยนให้ผู้อื่นขึ้นไปบ้าง!”

สายตาเขาซอกแซกไปตามท้องฟ้าส่วนอื่นรอบหนึ่ง คิ้วขมวดนิดๆ

บนฟ้ามีดาวมากมายเกินไป เขาไม่อาจแยกแยะอย่างชัดเจนได้ว่าดวงไหนเป็นเป็นตัวแทนของผู้ใด ดังนั้นจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วดวงไหนคือตัวแทนของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…

ที่แท้คนผู้นั้นไปซอนอยู่ที่ไหนกัน?

….

วันต่อมากู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาในเรือนตน เมื่อเธอลุกขึ้นนั่งศีรษะก็โยกไปมาเธอเคยดื่นจนเมาแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทราบว่าถ้าเมาแล้ววันต่อมาจะปวดหัวได้ง่ายๆ เพราะอาการแฮงค์ แต่หนนี้เธอเมาหนักถึงขนาดนั้น ทว่าหลังจากตื่นขึ้นมากลับพบว่าสมองแจ่มใสยิ่ง ไม่รู้สึกปวดหัวเลยสักนิด

เธอนั่งทบทวนบนเตียงครู่หนึ่ง เหตุการณ์เมื่อคืนแวบขึ้นมาเบื้องหน้าเธอทีละฉากๆ

เธอดื่มสุรา จากนั้นอิงเหยียนนั่วก็มาร่ำสุรากับเธอ…

แล้วต่อจากนั้นล่ะ?

เธอใช้มือกดจุดไท่หยางตรงขมับตน ขบคิดพลางออกแรงไปด้วย ก็พบว่านึกอะไรไม่ออกอยู่ดี…

เธอไม่ใช่คนที่เมาง่ายๆ แต่ถ้าเมาแล้วจะมีอาการอย่างไรนั้นตัวเธอก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ดังนั้นพอยามนี้นึกเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง เธอจึงไม่เก็บมาใส่ใจ

เธอมองกำไลบนข้อมือ อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้

นำกำไลวงนั้นมาแนบบนหน้าตน สัมผัสอุณหภูมิของกำไล

ตี้ฝูอีบอกว่าหากเขาประสบเหตุเหนือความคาดหมาย กำไลวงนี้จะแตกหัก ความจริงแล้วเธอก็เชื่อครึ่งม่เชื่อครึ่ง ต่อมาจึงถามหยกนภาอีกรอบ หยกนภาเป็นผู้รอบรู้ มันบอกประโยชน์ใช้สอยกำไลวงนี้ของกู้ซีจิ่ว เหมือนที่ตี้ฝูอีบอกทุกประการ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเชื่ออย่างสนิทใจ

ยามนี้กำไลวงนี้ยังอยู่ดี นั่นยืนยันได้ว่าเขาก็ยังอยู่ดีเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลใดจึงไม่ปรากฏตัวออกมา

คนผู้นี้ติดนิสัยทำอะไรตามใจตนมาโดยตลอด จัดการเรื่องราวก็แค่แยกแยกถูกผิด น้อยมากที่จะคำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่น…

อันที่จริงเธอก็เข้าใจเขาเหมือนกัน แต่นานขนาดนี้แล้วเขายังไม่ยอมปรากฏตัวในใจเธอจึงไม่สบายใจยิ่งนัก เธอไม่ขอให้เขาบอกเธอทุกเรื่อง เธอไม่ขอให้เขาเปิดเผยความลับทั้งหมดกับเธออย่างซื่อตรง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ส่งคนมาแจ้งเธอบ้างว่าปลอดภัยดี แต่ยามนี้แม้แต่ข้อนี้เขาก็ทำไม่ได้…

กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วเล็กน้อย ไม่ยินดีใคร่ครวญเรื่องพวกนี้

ช่างเถอะ เธอยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ ไม่มีเวลามาชอกช้ำระกำใจอยู่ที่นี่ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้

พลันลุกขึ้นมาจากเตียง พร่งนี้ต้องออกไปทำภารกิจ ภารกิจครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เธอต้องตระเรียมข้าวของบางส่วนไว้ล่วงหน้า…

….

ณ วังหลวงของอาณาจักรเฟยซิง

จักรพรรดิซวนเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักอย่างหงุดหงิดฉุนเฉียว

มีองครักษ์นายหนึ่งเข้ามาถวายสาสน์กราบทูล “ฝ่าบาท นี่คือข่าวการทัพที่องค์รัชทายาทให้นำมาถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิซวนฉวยไปทันที คลี่จดหมายออกอ่าน แล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ เอ่ยอย่างโกรธกริ้ว “เหตุใดยังไม่ได้ชัยอีก?! กองทัพของเรามิใช่ว่ามีทัพลับที่แข็งแกร่งมากหรอกหรือ? โง่เง่า สวะไร้ประโยชน์!”

องครักษ์นายนั้นก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจา ระยะนี้จักรพรรดิซวนอารมร์ฉุนเฉียวยิ่งนัก ขยับเขยื้อนนิดหน่อยก็สำแดงโทสะแล้ว เขาไม่กล้าไปแตะตาพายุหรอก

“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้พ้นหน้าเรา!” จักรพรรดิซวนโบกมือ ไล่องครักษ์นายนั้นออกไป

ภายในห้องทรงงานกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง

จักรพรรดิซวนเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ ทันใดนั้นก็สัมผัสถึงบางสิ่งได้ หันหลังขวับทันที มองเห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเขา…

————————————————————————————-

บทที่ 934 ท่านไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

สตรีนางนี้สวมชุดฝ่ายใน น้ำตาโลหิตสองสายไหลอาบ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วหวิวหลายคำ “ฝ่าบาท ทรงปรักปรำหม่อมฉัน…”

เป็นจิ้งกุ้ยเฟย ถูกเขาประหารด้วยแพรขาวผู้นั้น!

มีผี!

เส้นขนทั่วร่างจักรพรรดิซวนลุกชันขึ้นมา ยกมือฟาดออกไป!

พลังวิญญาณดั้งเดิมของเขาคือขั้นสี่ ถึงแม้จะอยู่สุขสบายมาเนิ่นนานยิ่ง แต่ฝ่ามือที่ฟาดออกไปนี้ยังคงทรงอานุภาพนัก เขานึกว่าจะสามารถซัด ‘ผี’ ตัวนี้ให้กระเด็นไปได้ นึกไม่ถึงว่าผีตัวนั้นกลับหายวับไปในพริบตา

จากนั้นต้นคอของจักรพรรดิซวนก็มีไอเย็นเป่ารด “ฝ่าบาท หม่อมฉันกับองครักษ์หวาไม่ได้มีอะไรกันเลย ทว่าฝ่าทกลับปรักปรำหม่อมฉัน เเพื่อเปิดศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยใช่ไหมเพคะ?”

ทั้งร่างจักรพรรดิซวนแทบจะแข็งทื่อไปหด เขาพุ่งไปด้านหน้าทันที หันกลับไปอย่างหวาดผวา ทว่ายังคงมองไม่เห็นเงาร่างของจิ้งกุ้ยเฟยเช่นเดิม กลับมีแขนข้างหนึ่งโอบด้านหลังเขาไว้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันกล่าวถูกไหมเพคะ?”

จักรพรรดิซวนสำแดงออกไปติดๆ กันหลายกระบวนท่า ล้วนเสมือนซัดใส่อากาศ เขาหวาดผาตนแทบฉี่รดกางเกงแล้ว ในที่สุดก็ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “อะไรกันนักหนา?!”

“เหตุใดต้องเปิดศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยให้ได้ล่ะเพคะ? ฝ่าบาท เฮ่าเยวี่ยกับเฟยซิงมิใช่พันธมิตรกันหรือ?”

“แล้วอย่างไรเล่า? เราต้องการเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด! เราจะรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง!” จักรพรรดิววนโบกกำปั้นไปมา

จากนั้นจู่ๆ ท้ายทอยเขาก็เจ็บแปลบ ถูกทุบให้สลบไปทันที

จิ้งกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านหลังเขาผู้นั้นพุ่งฉิวมาด้านหน้า ขณะที่กำลังจะสัมผัสชีพจรที่ข้อมือเขา เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากกฎขึ้นด้านหลังเธอ เด็กหนุ่มปากแดงฟันขาว สง่างามดั่งลำไผ่ “ให้ข้าทำเถอะ”

ขณะที่พูด เด็กหนุ่มก็จับชีพจรบนข้อมือจักรพรรดิซวนแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “เขาไม่ได้ถูกสิ่งใดสิงร่าง ดวงวิญญาณในร่างนี้ก็คือเขา”

จิ้งกุ้ยเฟยถอดชุดฝ่ายในออก เผยให้เห็นชุดทะมัดทะแมงสีดำที่อยู่ด้านใน มือถูคลึงใบหน้าครู่หนึ่ง ลอกหน้ากากหนังคนแผ่นหนึ่งออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง เป็นกู้ซีจิ่วนั่นเอง

เธอก้มหน้าเหลือบมองจักรพรรดิซวนแวบหนึ่ง “เขายังคงเป็นตัวเองอยู่จริงๆ เพียงแต่นิสัยเขาฉุนเฉียวมาก แถมยังโอหังไม่น้อย คิดจะเลียนแบบปฐมจักรพรรดิ[1] อยากรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง…ข้าสงสัยว่าเขาจะถูกฉีดยากล่อมประสาทบางอย่างเข้าไปในร่าง”

เด็กหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้น “ยากล่อมประสาท?”

มุมปากกู้ซีจิ่วหยักยิ้มนิดๆ “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเรื่องที่เขาทำในยามนี้เหมือนถูกล้างสมอง?”

เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่พูดอะไร

ไม่รู้ว่ากู้ซีจิ่วหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากไหน เจาะเข้าที่เส้นเลือดของจักรพรรดิซวนทันที ยามที่ดึงออกมาอีกครั้งก็มีเลือดติดมาครึ่งเล่ม จากนั้นก็โบกมือให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนร่วมงาน “ข้าจะไปตรวจสอบเลือด ฝากเจ้จัดการด้วยนะ” พลันหมุนกายหายลับไป

เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนร่วมงานถอนหายใจเบาๆ เหลือบมองจักรพรรดิซวนแวบหนึ่ง ยื่นมือไปตบร่างจักรพรรดิซวนเบาๆ จักรพรรดิประหนึ่งถูกปลุกจากฝัน ลืมตาขึ้น ทันทีที่เด็กหนุ่มผู้นั้นก็สะดุ้งโหยง อ้าปากจะส่งเสียง เด็กหนุ่มผู้นั้นพลันชูมือ ไม่รู้ว่าหยิบไม้บรรทัดเล่มหนึ่งออกมาจากไหนกดลงบนปากของจักรพรรดิซวน จากนั้นเขาก็กะพริบตา “ฝ่าบาท ท่านเห็นอะไรหรือ?”

จักรพรรดิซวนเหมือนถูกสะกดจิต สายตาล่องลอย “อะไร…เห็นอะไร?”

เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง เอ่ยเสียงนุ่ม “ท่านไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

จักรพรรดิซวนพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “อืม เราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”

เด็กหนุ่มพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็หันหลังจากไป

จักรพรรดิซวนนั่งโง่งมอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ มองซ้ายมองขวา เอ๊ะ ทำไมเรามานอนอยู่บนพื้นล่ะ?

….

ภายในเรือนที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง กู้ซีจิ่วกำลังยุ่งง่วนเป็นขั้นเป็นตอนอยู่

กว่าหนึ่งปีมานี้เเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างนัก แลละใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เธอร่ำเรียนมาจากยุคปัจจุบัน ค้นคว้าสิ่งของมากมายที่เป็นไปไม่ได้ในยุคนี้ได้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่นอุปกรณ์ตรวจเลือดเครื่องนี้และยารักษาโรค…

————————————————————————————-

[1]  ปฐมจักรพรรดิในที่นี้หมายถึงจิ๋นซีฮ่องเต้ผู้เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน และเป็นผู้รวบร่วมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว