ตอนที่ 88 เจ้าเจอเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
ผ้าม่านหน้าห้องด้านในถูกเลิกขึ้น ปรากฏชายหนุ่มในชุดคลุมยาวเดินออกมา
หยุนเชวี่ยหันมองใบหน้าของชายคนนั้น นางพลันรู้สึกขบขันทันที
ใบหน้าของเขาละม้ายคล้ายกับผู้เฒ่าหยูราวกับแกะ รูปร่างอ้วนและเตี้ย ใบหน้ากลมแบน ผมบางถูกมวยขึ้นสูง หางตาและมุมปากตกลงจึงทำให้ใบหน้านั้นราวกับหงุดหงิดตลอดเวลา
“ทะ ทะ ท่านพ่อ มะ มะ มี อะ อะ อะไรรึ?” ชายผู้นั้นเอ่ยถามขณะถือหนังสืออยู่ในมือ
“ไล่พวกมันออกไป” ผู้เฒ่าหยูกล่าวอย่างหมดความอดทน
ชายผู้นั้นเหลือบมองหยุนลี่เต๋อ “ทะ ทะ ทำไม จะ จะ เจ้า…”
หยุนเชวี่ยลุ้นตัวโก่งว่าเมื่อไรเขาจะพูดจบประโยคเสียที ดังนั้นนางจึงยืดคอขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“มะ มะ มา ทะ ทะ ที่นี่ อะ อะ อีก!”
ในที่สุดชายผู้นั้นก็กล่าวจนจบประโยคขณะที่พยักหน้าอย่างจริงจัง
“พี่ใหญ่” หยุนลี่เต๋อกล่าวอย่างสุภาพ “ข้ามาพูดคุยเรื่องน้องสาวของข้าและท่าน เป็นเพราะครอบครัวของข้าทำเรื่องไม่ดีกับท่านก่อน…”
สงสัยเขาคงกินน้อยไปหน่อย หยุนเชวี่ยครุ่นคิด… ช้าก่อน!
บิดาของนางพูดว่าอะไรนะ?
เขาคือคนที่หยุนชิ่วเอ๋อต้องแต่งงานด้วยรึ?
หยุนเชวี่ยงงเป็นไก่ตาแตก
หยุนชิ่วเอ๋อเจองานหนักเข้าแล้ว!
รัชสมัยราชวงศ์เหลียงให้ความสำคัญกับคำมั่นของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อเป็นใหญ่ แม้จะเป็นการคลุมถุงชน แต่ก็มีกฎเกณฑ์ตามธรรมเนียมที่เรียกว่า ‘การพบหน้า’
สาเหตุที่เรียกว่า ‘การพบหน้า’ คือก่อนแต่งงาน ทั้งสองฝ่ายจะนัดหมายวันเวลาและสถานที่ให้ทั้งสองคนได้พบปะเจอหน้ากัน
ฝ่ายหญิงมักจะไปยังสถานที่นั้นพร้อมกับพี่สาวที่ออกเรือนแล้วหรือพี่สะใภ้ ในขณะที่ฝ่ายชายจะแสร้งทำทีไปเที่ยวยังสถานที่นั้นและแอบมองฝ่ายหญิง
เมื่อทั้งสองฝ่ายมีรูปลักษณ์และกิริยาที่ถูกตาต้องใจกัน จากนั้นจึงถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรื่องสามหนังสือหกพิธีการ*และเรื่องงานแต่งงาน
หยุนชิ่วเอ๋อเคยพบหน้าลูกชายของตระกูลหยูมาก่อนอย่างนั้นรึ
หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายผู้มีนามว่าหยูซื่อที่ยืนอยู่ด้านหน้าและคิดในใจว่าบางทีเขา… อาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น อืม… แล้วหนังสือล่ะ…
จากนั้นนางจึงเลื่อนสายตาไปที่หนังสือในมือของเขา…
‘หนังสือปกขาว’ บนหน้าปกมีตัวอักษรขนาดใหญ่ห้าตัว นอกจากนี้บนหน้าปกยังมีภาพวาดการเสพกามของชายและหญิงอยู่ด้วย
หยุนเชวี่ยแสร้งทำทีไม่รู้ไม่ชี้ ใบหน้าของนางแดงก่ำขณะหลุบตามองต่ำ
ชายผู้นี้อ่านหนังสือลามกในตอนกลางวันแสก ๆ โดยไม่แอบซ่อนหรือปกปิดเลย ช่างเป็นคนเปิดเผยอะไรเช่นนี้!
ดูเหมือนว่าหยุนลี่เต๋อจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเช่นกัน เขาจึงดันตัวลูกสาวไปด้านหลังและใช้ร่างกายกำยำบังนางไว้
“ไร้ศีลธรรม! น่าขายหน้า!” หยุนลี่จงขมวดคิ้วพลางกล่าวดูถูก
หยูซื่อเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนถือหนังสืออะไรอยู่ในมือ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย หยูซื่อเอามือซ่อนด้านหลังอย่างช้า ๆ ก่อนฉีกยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขนาดใหญ่ที่มีสีเหลืองราวกับข้าวโพด
หยุนลี่จงมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “น่าเกลียด เสียชื่อเสียงของบัณฑิต!”
“ขะ ขะ ข้า มะ มะ ไม่ได้ อะ อะ อ่าน…” หยูซื่อชูหนังสือปกขาวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “จะ จะ เจ้า ตะ ตะ ต้องดูที่ นะ นะ เนื้อหา ดะ ดะ ด้านใน มะ มะ ไม่ใช่ คะ คะ แค่ตัวอักษร มะ มะ ไม่กี่คำ”
จากนั้นเขาจึงหันไปประจันหน้ากับหยุนลี่จง…
“กลางวันแสก ๆ! ไร้ศีลธรรม! เอามันออกไปไกล ๆ!” หยุนลี่จงหันหน้าหนีพลางใช้แขนเสื้อปิดตา
หยุนเชวี่ยขมวดคิ้วแน่น เขาเป็นคนโง่หรือ?
“ซื่อเอ๋อ อย่าเสียเวลาสนทนากับไอ้บัณฑิตปัญญาอ่อน ไล่มันออกไปให้พ้น!” ผู้เฒ่าหยูเผยสีหน้าเศร้าโศกราวกับจะหลั่งน้ำตา
“ทะ ทะ ท่านพ่อ ขะ ขะ ของข้า บะ บะ บอกให้ พะ พะ พวกเจ้า สะ สะ ไสหัว อะ อะ ออกไป…” หยูซื่อพูดคำว่า ‘ไสหัวออกไป’ มากกว่าสิบครั้ง ขณะพยายามดันตัวของอีกฝ่ายออกไป
หยุนเชวี่ยเกรงว่าเขาจะหมดลมหายใจไปเสียก่อน นางจึงเดินออกไปแต่โดยดี
หยุนลี่เต๋อใช้มือข้างหนึ่งบังตัวของหยุนเชวี่ยจากหยูซื่อ “ท่านลุงหยู ข้าขอพูดให้จบก่อนได้หรือไม่ขอรับ?”
หยุนลี่จงสะบัดแขนเสื้อด้วยความรังเกียจก่อนตะโกนเสียงแข็ง “อย่าใช้มือสกปรกของเจ้าแตะตัวข้า!”
“ไม่มีเงินก็ไสหัวไปซะ! ไปให้พ้น!”
“ท่านลุงหยู ครั้งนี้ข้านำเงินมาแล้วขอรับ”
“พวกตลบตะแลง ไล่มันออกไป!”
หยูซื่อเดินไล่พวกตระกูลหยุนออกไป “อะ อะ ออกไป…”
“ซื่อเอ๋อ บอกให้พวกมันเอาเงินมา” ผู้เฒ่าหยูออกคำสั่ง
ซื่อเอ๋อ “งะ งะ เงิน…”
“เฮ้อ…” หยุนเชวี่ยเอามือทาบอกพลางสูดหายใจเข้าลึก
ทุกคนต่างตกตะลึง เขายอมอ่อนลงแล้วหรือ? เหตุใดเขาถึงต้องการให้ลูกชายที่พูดติดอ่างของเขาเป็นคนทวงเงินเล่า?
หยุนลี่เต๋อล้วงถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ ทันใดนั้นทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างยื่นมือออกมาห้ามปราม
“ท่านพ่อ ๆ ช้าก่อนเจ้าค่ะ!” ทันทีที่หยุนเชวี่ยเอ่ยปาก หยูซื่อก็ทำทีจะพาตัวนางออกไป หยุนเชวี่ยจึงเงียบไปอีกครั้ง
“หยุดก่อน!” หยุนลี่จงกล่าวพร้อมเชิดคางขึ้น “นี่คือการทำสัญญาปากเปล่า หากพวกเจ้ารับเงินไปแล้วกลับมาระรานครอบครัวของข้าเล่า?”
“หากคิดเช่นนั้น พวกเจ้าไปสอบถามผู้อื่นในย่านนี้ก็ได้ว่าตระกูลหยูของข้าเป็นคนกลับกลอกหรือไม่?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอเพียงเจ้าประทับลายนิ้วมือลงบนสัญญา ข้าก็จะมอบเงินให้ทันทีและจะไม่ผิดคำมั่น”
“พี่ใหญ่” หยุนลี่เต๋อเหลือบมองหยุนลี่จง
นี่ไม่ใช่การหลอกลวงผู้อื่นหรอกหรือ? เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเงินเพียงสิบตำลึง ทว่ายังอยากทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
“เจ้ารองอย่าขัด” หยุนลี่จงยื่นมือออกไปห้ามพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “อยู่เฉย ๆ”
“ถ้าจะให้พูดตามตรง คนในครอบครัวของข้ามีแต่บัณฑิตทั้งนั้น! บัณฑิตย่อมไม่พูดจาเหลวไหล!” ผู้เฒ่าหยูยังคงกล่าวกระแนะกระแหน
“ข้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูด หากเป็นอย่างที่พูดจริง เจ้าคงไม่สบถคำหยาบออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก!”
หยุนลี่จงมีจิตวิญญาณอันสูงส่งของบัณฑิต ในขณะที่ผู้เฒ่าหยูมักพูดคำว่า ‘กับผี’ และ ‘บัณฑิตปัญญาอ่อน’ พร้อมกับด่าทอสาปแช่งด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ข้าจะไม่เสียเวลาไม่พูดจาไร้สาระกับบัณฑิตปัญญาอ่อนหรอก” ผู้เฒ่าหยูตบโต๊ะอย่างเต็มแรง “เงินเพียงยี่สิบตำลึง ถ้าข้าไปฟ้องร้องต่อสำนักงานบริหาร พวกเจ้าแพ้ราบคาบแน่!”
สองพ่อลูกตระกูลหยูมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องไปที่หยุนลี่จงและหยุนลี่เต๋อ
“ท่านลุงหยู ข้าเตรียมเงินมาแล้วจริง ๆ ไม่ได้หลอกลวงท่านเลยขอรับ” หยุนลี่เต๋อถูมือเข้าด้วยกันขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “แต่ว่าข้ามีเพียงสิบตำลึง…”
หยุนลี่เต๋อยังพูดไม่จบ ผู้เฒ่าหยูก็อ้าปากด่าทอเสียงเสียก่อน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่ากลัวราวกับปลาดุก
“ต้องยี่สิบตำลึงเท่านั้น หากไม่มีก็ไสหัวออกไปซะ!”
“ท่านลุงหยู พวกเราหาเงินยี่สิบตำลึงไม่ทันจริง ๆ ขอรับ พวกเราขอต่อรองได้หรือไม่?”
“ต่อรองกับผีน่ะสิ!” ผู้เฒ่าหยูพ่นลมหายใจ “ตอนที่ข้าไปที่บ้านของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดถึงมันเล่า?”
หยุนลี่เต๋ออึ้งจนกล่าวไม่ออก
หากพูดถึงเรื่องนี้ ตระกูลหยุนนั้นทำได้เจ็บแสบยิ่งนัก หญิงชราผู้มีความหยาบกระด้างมักด่าทอตระกูลหยูด้วยถ้อยคำหยาบคายจนเสียงดังลั่น
ตระกูลหยูไม่สามารถยอมรับการกระทำเหล่านั้นได้ หยุนชิ่วเอ๋อกล่าวว่านางไม่ต้องการแต่งงาน แล้วผู้ใดจะขืนใจนางได้?
หากทั้งสองตระกูลยอมอ่อนข้อให้กันตั้งแต่แรก บางทีความบาดหมางเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้
“โอ้ ใครมาที่นี่กัน? เสียงดังไม่หยุดเลย” ผ้าม่านของห้องด้านในร้านถูกเลิกขึ้น หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าเดินออกมา “คนของผู้เฒ่าหยุนนี่เอง”
“ท่านอา” หยุนลี่เต๋อกล่าวเรียก
“โอ้ เอาเงินมาจ่ายหรือ?” สตรีรูปร่างเตี้ย อ้วน ใบหน้าดุร้าย รอยยิ้มของนางน่ากลัวจนขนลุกชัน
หยุนเชวี่ยเลื่อนสายตามองดูทั้งสามคนอย่างช้า ๆ เป็นครอบครัวเดียวกันจริงหรือ… ช่างไม่เหมือนครอบครัวเดียวกันเอาเสียเลย…
*สามหนังสือหกพิธีการ คือ ขั้นตอนการสู่ขอเจ้าสาวแบบจีนโบราณ โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนหนังสือสามฉบับระหว่างตระกูล และการดำเนินตามพิธีการหกข้อ “สามหนังสือ” ได้แก่
หนังสือหมั้นหมาย คือหนังสือระบุถึงความตั้งใจแต่งงานและการให้คำมั่นสัญญาของคู่บ่าวสาว
หนังสือสินสอด คือหนังสือระบุประเภทรายการและจำนวนของขวัญงานแต่ง จัดทำขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงยอมรับการแต่งงานแล้ว
หนังสือรับตัว คือหนังสือที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวในวันแต่งงาน เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันถึงการรับเจ้าสาวเข้าตระกูลฝ่ายชายอย่างเป็นทางการ
ส่วน “หกพิธีการ” ได้แก่
การสู่ขอ ผู้ใหญ่ฝ่ายชายและแม่สื่อเดินทางไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง และหากการสู่ขอสำเร็จลุล่วง แม่สื่อก็จะได้รับของขวัญตอบแทน นอกจากนั้นครอบครัวฝ่ายหญิงจะถือโอกาสนี้ล้วงลึกข้อมูลครอบครัวฝ่ายชายจากแม่สื่อด้วย
ขอวันเดือนปีเกิด หากสองครอบครัวตกลงแต่งงานกัน พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมอบวันเดือนปีเกิดของลูกสาวให้บ้านฝ่ายชาย โดยปีนักษัตรของจีนจะมีบทบาทอย่างมากในชั้นตอนนี้
การเสี่ยงทาย หลังจากรับแผ่นกระดาษที่เขียนวันเดือนปีเกิดของฝ่ายหญิงมาแล้ว พ่อแม่ฝ่ายชายจะนำกระดาษแผ่นนั้นไปวางหน้ารูปปั้นเทพเจ้าหรือบนโต๊ะบูชาบรรพบุรุษ เพื่อขอคำชี้แนะว่าการแต่งงานครั้งนี้จะราบรื่นหรือไม่ หากไม่มีสัญญาณความอัปมงคลอันใด ทั้งสองฝ่ายก็จะเดินหน้าพิธีแต่งงาน
มอบสินสอด ฝ่ายชายส่งหนังสือหมั้นหมายและหนังสือสินสอดไปบ้านฝ่ายหญิง หลังจากนั้นครอบครัวฝ่ายชายจะนำสินสอดไปมอบให้ฝ่ายหญิง และครอบครัวฝ่ายหญิงก็จะมอบของขวัญตอบกลับมา
ดูฤกษ์ยาม ครอบครัวฝ่ายชายจะรับหน้าที่หาฤกษ์งามยามดีสำหรับการจัดพิธีแต่งงานตามตำราโหราศาสตร์ ก่อนจะนำวันที่ได้ไปปรึกษาบ้านฝ่ายหญิง
เจ้าบ่าวจะสวมชุดพิธีการเต็มยศเดินทางไปรับเจ้าสาวที่บ้าน โดยธรรมเนียมกำหนดให้เจ้าบ่าวไปเคารพศาลบรรพชนของฝ่ายหญิง และรับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวมาทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่บ้านฝ่ายชาย ซึ่งครอบครัวฝ่ายหญิงบางครอบครัวจะนำน้ำสะอาดสาดตามหลังเกี้ยว เพื่อสื่อว่าลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็ถือเป็นคนของฝ่ายชาย เสมือนน้ำที่สาดออกไป