ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 184 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจใต้แสงจันทร์

จอมศาสตราพลิกดารา

“คุณชายหลี่มู่ผู้เพียบพร้อมไร้เทียมทานทั้งบุ๋นบู๊ชอบพอเจ้า ไม่ช้าเร็วเจ้าก็ต้องไปจากที่นี่ ข้าดีใจแทนเจ้า และยิ่งไม่มีทางขัดขวาง แต่ว่า น้องสาวข้า หลายปีมานี้ ข้าก็ทุ่มเงินทองและความตั้งใจลงไปกับเจ้าไม่น้อย แต่เดิมหวังว่าเจ้าจะสามารถกุมตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งฉางอันเอาไว้ได้ พลิกสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ของเราในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้ ยังเหลืออีกหลายสิบวันก็จะถึงการแข่งขันชิงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งที่จัดขึ้นปีละครั้งของเมืองฉางอันแล้ว ข้าขอร้อง ขอให้เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันด้วยเถอะ เอาชนะนำชื่อเสียงมาให้หอสดับเซียน นับว่าคืนบุญคุณพี่สาวคนนี้ได้หรือไม่?”

 

ท่านแม่ไป๋เซวียนไม่ปิดบัง พูดเปิดอกไปตามตรง

 

“เรื่องนี้…” ฮวาเสี่ยงหรงได้ยินดังนั้น ก็ลังเลไปเล็กน้อย

 

นางยินดีที่จะทดแทนบุญคุณของท่านแม่ไป๋เซวียน ถึงอย่างไรอยู่ที่หอสดับเซียนก็ต้องขอบคุณที่ท่านแม่ไป๋เซวียนดูแล นางถึงไม่ตกระกำลำบากจริงๆ แต่ปัญหาก็คือตอนนี้หัวใจนางมีเจ้าของแล้ว นับว่าเป็นคนของหลี่มู่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง หากหลี่มู่ไม่ชอบใจเล่า นางไปชิงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องไปปรากฏตัว

 

นางค่อนข้างลำบากใจ

 

ไป๋เซวียนฉลาดเป็นกรด แค่มองก็เข้าใจความคิดของฮวาเสี่ยงหรง นางหัวเราะบอก “เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าว่าคุณชายหลี่มู่ไม่ใช่บัณฑิตอวดรู้ความคิดคร่ำครึ และคงยินดีคล้อยตามเจ้าเช่นกัน เจ้าลองถามดูได้ หากคุณชายหลี่มู่ไม่เห็นด้วย เช่นนั้นข้าจะไม่บังคับเจ้าเด็ดขาด จะไม่มีทางนำความสุขชั่วชีวิตของเจ้ามาล้อเล่น”

 

……

 

หลี่มู่มาถึงโถงใหญ่ของหอสดับเซียน ก็มีคนมากมายรายล้อมเข้ามาด้วยใบหน้าประจบประแจง

 

ยากลำบากสิบปีไร้คนถามไถ่ ยามมีชื่อเสียงแล้วไซร้คนรู้จักทั่วแผ่นดิน

 

ประโยคนี้ใช้กับหลี่มู่ในตอนนี้ พูดได้ว่าเหมาะเจาะเป็นอย่างยิ่ง

 

ก่อนหน้านี้เขาแต่งกลอนออกมาสามบท ทั้งยังมีพลังแท้จริงขั้นยอดปรมาจารย์ ก็สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งเมืองฉางอันได้แล้ว และมาวันนี้ เพียงแค่ขึ้นสู้ก็สังหารธรรมจารย์กระบี่สวรรค์ได้ในชั่วพริบตา กล่าวได้ว่าทำให้ทั้งเมืองฉางอันตกอยู่ในความบ้าคลั่ง

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์กลายเป็นขั้นฟ้าประทาน ทำลายโครงสร้างขั้วอำนาจที่มีมาอย่างยาวนานและสมดุลแต่เดิมของเมืองฉางอันลง หลี่มู่แสดงกำลังรบขั้นฟ้าประทานออกมา ก็มีผลแบบเดียวกัน

 

และสำหรับผู้ยิ่งใหญ่แต่ละฝ่ายทั้งหลาย พวกเขายินดีที่คนซึ่งก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานคือหลี่มู่มากกว่า

 

เพราะไม่ใช่คนของฝักฝ่ายใดๆ ในเมืองฉางอัน

 

นี่ก็หมายความว่าเป็นคนที่สามารถแย่งมาได้ ไม่ว่าใครก็ตามหากชิงตัวเด็กหนุ่มขั้นฟ้าประทานที่ศักยภาพมากมายเช่นนี้มาฝั่งของตัวเองได้ นั่นแทบจะหมายความว่ายืนอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลต่อผู้สูงศักดิ์เมืองฉางอันได้อย่างมั่นคงแล้ว

 

ดังนั้น ต่อให้ต้องประจบประแจงอีกสักกี่ครั้ง ถูกเมินอีกสักกี่หน ก็ยังมีคนมากมายอยากมีสายสัมพันธ์กับหลี่มู่

 

ดีที่เจิ้งฉุนเจี้ยนรออยู่ในโถงใหญ่นานแล้ว พอหลี่มู่ออกมาก็รีบแหวกฝูงชนพาเขาออกไปจากหอสดับเซียน

 

หลี่มู่ขี่เสือดาวเบญจมาศ ตลอดทางดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก

 

เมื่อมาถึงตรอกไล่หมูก็เป็นเวลาหลังจากนั้นครึ่งชั่วยามแล้ว

 

“ทำไมจึงกลับมาช้าเช่นนี้เล่า?” มารดาหลี่มู่เตรียมสุราอาหารไว้ตั้งนานแล้ว อุ่นแล้วอุ่นอีก ในที่สุดหลี่มู่ก็กลับมา ใบหน้านางประดับรอยยิ้ม พูดอย่างกล่าวโทษเล็กน้อย

 

หลี่มู่ก็ยากจะอธิบายเรื่องที่กายเต๋าฟ้าประทานของฮวาเสี่ยงหรงสามารถช่วยตนฝึกฝนทะลวงขั้น จึงได้แต่บอกว่าหลังจากการต่อสู้ตนอยากผ่อนคลายสักหน่อย จึงไปฟังดนตรีที่หน่วยเลี้ยงรับรอง

 

สมาชิกในเรือนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว มารดาหลี่มู่ดื่มเหล้าไปหลายจอก อดไม่ได้ที่จะเตือนหลี่มู่อ้อมๆ

 

ในความคิดของนาง คนหนุ่มสาวจะต้องอยู่ในขอบเขต หอคณิกาสถานที่เช่นนี้ไปบ้างเป็นบางครั้งได้ แต่อย่าลุ่มหลงในอิสตรี ป้องกันไม่ให้หลงใหลจนเสียเสียสติ อีกทั้งทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ทำร้ายร่างกายโดยง่าย นารีคือมีดขูดกระดูกแท้ๆ

 

หลี่มู่เดิมทีคิดจะอธิบายว่าตนไปหน่วยเลี้ยงรับรองมาสองครั้ง ความจริงแล้วก็แค่ไปดื่มเหล้าเท่านั้น หลักๆ แล้วฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นเด็กหนุ่มจริงแท้แน่นอน แต่ก็รู้สึกว่าอธิบายไปไม่มีความหมายอะไร จึงได้แต่ยิ้มตอบรับไว้

 

น่าสงสารพ่อแม่ในโลกหล้านี้เสียจริง

 

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋ที่อยู่ข้างๆ ปิดปากหัวเราะ

 

ยามบ่าย คู่สามีภรรยาตงเสวี่ยและหนิงจิ้งก็มาแสดงความยินดีที่หลี่มู่เอาชนะธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ได้ และยังนำของกำนัลจากสกุลหนิงมามอบให้ แต่ว่าหลี่มู่ไม่อยู่ ทั้งสองนั่งเพียงแค่ชั่วครู่ก็กลับไป

 

ในช่วงกินข้าว วิญญาณของชิวอี้ปรากฏขึ้นชั่วครู่หนึ่ง

 

เนื่องจากได้รับการหล่อเลี้ยงจากเครื่องรางเต๋า ‘โลงผี’ โดยเฉพาะการเพิ่มพลังจาก ‘ภาพเลี้ยงผีสำนักเขาอินซาน’ วิญญาณของชิวอี้จึงแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถพูดกับคนเป็นๆ ได้แล้ว เพียงแต่ไม่อาจยกวัตถุที่ค่อนข้างหนักได้ ซ้ำยังมีเรื่องที่ไม่สะดวกอีกหลายอย่าง แต่นี่ก็ทำให้พวกมารดาหลี่มู่ดีใจเหลือเกินแล้ว

 

หลี่มู่เก็บเรื่องฟื้นคืนชีพให้ชิวอี้ไว้ในใจมาโดยตลอด

 

ทว่าเรื่องนี้ซับซ้อนนัก เกรงว่าคงต้องรอจนไปจากดาวดวงนี้ เข้าสู่ดาวดวงอื่น แล้วหาวิชาเต๋าของเซียนที่แท้จริงหรือไม่ก็ขอคำชี้แนะจากซินแสเฒ่าถึงจะมีความหวัง

 

หลังกินข้าวเสร็จ มารดาหลี่มู่ก็กลับห้องไปพักผ่อน

 

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋นำรายการของกำนัลมา ต้องการจะรายงานหลี่มู่ถึงที่มาของบุคคลฝ่ายต่างๆ ที่ส่งของกำนัลมาวันนี้

 

หลี่มู่โบกมือ “ของกำนัลรับเอาไว้ก็พอ ส่วนที่ว่าใครส่งมาไม่จำเป็นต้องรู้”

 

สาวใช้ทั้งสองปิดปากหัวเราะ ขบขันท่าทาง ‘ไร้ยางอาย’ ของคุณชายพวกนาง

 

ทว่า บุคคลยิ่งใหญ่ที่ปกติพวกนางแค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยได้พบหน้า ในตอนบ่ายกลับมาปรากฏตัวยิ้มประจบประแจงอยู่หน้าประตู แต่ละคนปากเรียกพี่สาว ความรู้สึกเช่นนั้นช่างสะใจเสียจริงๆ

 

“คุณชายเจ้าคะ โจวเต๋อเต้าจากสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผล วันนี้ตอนบ่ายก็มาแล้วเช่นกัน เขาส่งตั๋วทองของสมาพันธ์การค้าใต้หล้ามารวมแล้วหนึ่งล้านสองแสน บอกว่าภายในสามวันจะรวบรวมอีกสามแสนส่งมาให้ ขอคุณชายได้โปรดขยายเวลาให้อีกสามวัน” ชุนเฉ่าหอบตั๋วทองปึกโตมา

 

เด็กคนนี้ทำท่าทางเหมือนจะเป็นลม

 

นางเคยเห็นเงินมูลค่ามหาศาลแบบนี้เสียที่ไหนกัน

 

หลี่มู่พยักหน้า รับตั๋วทองโดยไม่ได้นับ เก็บไว้แล้วให้ชุนเฉ่าไปหนึ่งใบ “เอาไปใช้ในบ้านก่อนก็แล้วกัน”

 

รอจนหลี่มู่กลับไปห้องฝึกยุทธ์ ชุนเฉ่าถึงเห็นจำนวนกว่าหนึ่งแสนบนตั๋วทอง ถึงกับตาลายไปหมด

 

ความรู้สึกที่มีเงินช่างดียิ่งนัก

 

……

 

ราตรีผ่านไปเนิบช้า

 

เมืองฉางอันยามราตรีที่เสียงดังโหวกเหวก เมื่อเข้าสู่กลางดึกค่อยๆ ก็เริ่มสงบลง

 

เงาร่างหนึ่งออกมาจากตรอกไล่หมู ความเร็วสุดยอดราวกับกลุ่มหมอกควันใต้แสงจันทร์ พุ่งตัวไประหว่างสิ่งก่อสร้าง กระโดดทีไปไกลหลายพันจั้ง ไม่นานนักก็กลืนไปในเงามืดยามค่ำคืน

 

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม

 

หน้าประตูคฤหาสน์ฐานที่มั่นหลักของพรรคจันทราโลหิต

 

ร่างเงาประดุจหมอกควันกลุ่มนั้นร่อนลงบนประตูใหญ่สูงตระหง่านสามจั้ง ภายใต้แสงจันทราสาดส่อง ร่างสูงโปร่ง ผมสั้น ใบหน้าสง่าองอาจ เป็นหลี่มู่นั่นเอง

 

“ยามจื่อแล้ว”

 

เขาก้มมองทั่วทั้งคฤหาสน์ แผ่พลังจิตวิญญาณออกไป ทันใดนั้นใบหน้าก็ฉายแววตกใจ

 

อะไรเนี่ย?

 

ทั้งคฤหาสน์ไม่มีคนเลย?

 

หลี่มู่คิดไปว่าประสาทสัมผัสของตนผิดพลาด

 

เขาโคจรพลังจิตวิญญาณ เบิกเนตรสวรรค์มองไปในคฤหาสน์ ทุกที่ที่กวาดสายตาผ่าน มีเพียงร่างพลังงานชีวิตของสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเช่นยุง งู หนู ไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์ใดๆ คฤหาสน์หลังใหญ่โตว่างโล่งอย่างสมบูรณ์

 

“จอมมารจันทราโลหิตหนีไปแล้วอย่างนั้นรึ?”

 

หลี่มู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ

 

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแค่ใช้วิชาเต๋าขู่ไปเล็กน้อย บุคคลยิ่งใหญ่ผู้นี้ก็ถึงกับพาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนหนีไปหมด

 

ขี้ขลาดขนาดนี้เลย?

 

ร่างของหลี่มู่วูบไหวเข้าไปในคฤหาสน์ ค้นหาไปทั่วภายใต้แสงจันทร์

 

คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ พรรคจันทราโลหิตทุ่มเทแรงใจเฝ้าดูแลมานานขนาดนี้ แค่เวลาครึ่งบ่ายไม่มีทางย้ายออกไปเกลี้ยงจนไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ แน่ อย่างไรก็น่าจะมีเบาะแสบางอย่างบ้าง ที่จริงหลี่มู่ค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ในพรรคจันทราโลหิตทีเดียว

 

แต่ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม หลี่มู่ค้นหาจนทั่วคฤหาสน์ เขาเจอกระทั่งห้องใต้ดินที่ลับสุดยอด ห้องลับบางห้อง แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ

 

“จอมมารจันทราโลหิตช่างละเอียดเสียจริง พรรคจันทราโลหิตดำเนินการลึกลับ ประมาทไม่ได้เลย”

 

หลี่มู่ปลงๆ อยู่บ้าง

 

จากรูปแบบและโครงสร้างของทั้งคฤหาสน์ ตอนนั้นพรรคจันทราโลหิตก็ทุ่มแรงใจไว้ในนี้ไม่น้อยเลย

 

ฐานที่มั่นหลักที่เฝ้าดูแลเป็นอย่างดีมานานขนาดนี้ บทจะทิ้งก็ทิ้ง ทั้งยังย้ายไปได้โดยไม่มีช่องโหว่ใด ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ นี่กลับทำให้ใจของหลี่มู่เกิดระแวดระวังขึ้นมา

 

สุดท้ายเขาก็ไปจากคฤหาสน์พรรคจันทราโลหิต

 

เมืองฉางอันกลางแสงจันทร์ เงียบสงบเป็นสุข งดงามไปอีกแบบหนึ่ง

 

หลี่มู่ข้ามผ่านท่ามกลางหอใหญ่อาคารสูง ไม่รีบร้อนกลับไป ไม่ง่ายกว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนเช่นนี้ สุดท้ายเขาก็ตามแสงโคมไฟมาถึงบริเวณใกล้ๆ กับหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายโดยไม่รู้ตัว ในเมืองฉางอันอันใหญ่โต มีเพียงเขตพื้นที่บริเวณนี้เท่านั้นที่ได้ยินเสียงดนตรีขับกล่อมทั้งวัน เสียงเพลงเสนาะลอยละล่อง ต่อให้เป็นกลางดึกก็ยังคงคึกคักยิ่งนัก

 

หลี่มู่ยืนอยู่บนยอดเจดีย์สูงแห่งหนึ่งห่างจากถนนกลิ่นกำจายหลายร้อยจั้ง ก้มลงมองเบื้องล่าง

 

หน่วยเลี้ยงรับรองที่มีโคมไฟส่องสว่าง ผู้คนได้กลิ่นสุรากลิ่นผงชาด อบอวลไปครึ่งผืนฟ้า

 

หลี่มู่มองไปยังหอสดับเซียน ห้องของฮวาเสี่ยงหรงโคมไฟดับไปแล้ว ท่าทางนางคงหลับไปเรียบร้อย ตอนเช้าร่ายรำติดๆ กันหลายเพลงขนาดนั้น คงเหนื่อยเอาการเช่นกัน

 

มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ โดยไม่รู้ตัว เขากำลังเตรียมหมุนตัวจากไป

 

ทันใดนั้น เสียงลมแหวกอากาศพลันลอยมาจากจุดที่ลึกเข้าไปในถนนกลิ่นกำจาย

 

ภายใต้แสงจันทร์ ร่างเงาคนหลายร่างรวดเร็วราวสายฟ้า ไล่ตามหน้าหลัง กำลังมุ่งมายังเจดีย์หินที่หลี่มู่อยู่

 

“เอ๋? มียอดฝีมือกำลังไล่สังหาร” หลี่มู่มองออกในทันที

 

ใจของเขากระตุกเล็กน้อย แอบเฝ้าสังเกตการณ์

 

ไม่นานเขาก็จำได้ ร่างที่หลบหนีอยู่ข้างหน้าสุดเป็นคนคุ้นเคยกันดี…สตรีชุดขาวที่เจอกันที่ตำบลสุขสงบคนนั้น

 

รูปร่างและบุคลิกของสตรีผู้นี้งามเลิศล้ำเกินไป โดยเฉพาะใบหน้าสง่าสูงส่งไร้ใครเทียมที่เผยออกมาให้เห็นยามกินบะหมี่ในตอนนั้น ทำให้หลี่มู่จำฝังใจได้เป็นพิเศษ ตอนนี้ต่อให้คลุมหน้าและอยู่ห่างไปไกล แต่ด้วยสายตาคมกริบของหลี่มู่ในตอนนี้ แน่นอนว่าจำนางได้ทันที

 

เพียงแต่ ตอนนี้สตรีชุดขาวเป็นฝ่ายถูกไล่สังหาร

 

ส่วนคนที่ตามมาข้างหลังเหล่านั้น นอกจากสามคนที่เป็นหัวหน้าสวมชุดคลุมดำแล้ว ร่างที่เหลืออีกหลายสิบก็สวมชุดเกราะแบบเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นสมาชิกของขั้วอำนาจใดสักกลุ่ม อีกทั้งพลังยังแข็งแกร่งกันหมด ทุกคนไม่ด้อยไปกว่าหวางเฉินที่มีพลังฝึกขั้นปรมาจารย์เลย โดยเฉพาะร่างชุดดำที่เป็นหัวหน้าสามร่างนั้น พลังฝึกเป็นถึงขั้นยอดปรมาจารย์

 

…………………………………………