ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 185 ประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของเนตรสวรรค์

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่มองเห็นก็รู้สึกตกใจ

 

จู่ๆ ทำไมมีผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์สามคนโผล่มาเสียได้?

 

ไม่ได้บอกว่าผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ในเมืองฉางอันรวมกันแล้วก็ไม่เกินสองหยิบมือหรอกหรือ?

 

สตรีชุดขาวผู้นี้ช่างเป็นตัวก่อเรื่องเสียจริงๆ คราวเดียวก็ยั่วโทสะถึงสามคน

 

“จับนางเอาไว้”

 

“อย่าให้นางหนีไปได้”

 

ท่ามกลางเสียงตะโกน ยอดฝีมือชุดเกราะที่ตามอยู่ข้างหลังยิงธนูและอาวุธลับต่างๆ ไม่หยุด พากันไล่ล่าสังหารสตรีชุดขาว

 

สตรีชุดขาวแบกกระบี่ยาว เรือนร่างเพรียวลม บินพลิ้วไหวราวเทพเซียน หลบหลีกอาวุธลับเหล่านั้นไปได้ แต่เหมือนนางจะได้รับบาดเจ็บ ความเร็วในการหนีไม่มากนัก ระยะห่างของนางกับผู้ไล่สังหารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

“ฮ่าๆ พิษในกายนางกำลังออกฤทธิ์แล้ว”

 

“ใต้เท้ามีคำสั่งลงมา ให้จับเป็นนาง”

 

ทั่วร่างยอดปรมาจารย์ชุดคลุมดำสามคนกะพริบแสงกำลังภายในวูบวาบ ประชิดเข้ามาใกล้อย่าต่อเนื่อง

 

หลี่มู่ขมวดคิ้ว

 

สตรีชุดขาวโดนพิษ?

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

แต่นางล่วงเกินผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ เกรงว่าเรื่องที่สร้างคราวนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล็ก

 

ทว่า ถูกยอดปรมาจารย์สามคนไล่ล่าสังหารติดๆ กัน ทั้งยังไม่ได้สู้กันซึ่งหน้า แต่ใช้พิษรับมือ คาดว่าพลังของสตรีชุดขาวผู้นี้จะน่ากลัวยิ่งกว่า น่าจะอยู่เหนือการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์เหมือนกัน

 

ช่วย หรือไม่ช่วย?

 

หลี่มู่ค่อนข้างลังเล

 

แน่นอนว่าเขารู้สึกดียิ่งกับสตรีชุดขาว ตอนนั้นในตำบลสุขสงบ ที่ร้านบะหมี่ของแม่เฒ่าไช่ สตรีชุดขาวผดุงความยุติธรรม เห็นความอยุติธรรมก็เข้าไปช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ภายหลังนางกำจัดพวกอันธพาลหม่าซาน แล้วยังมอบเคล็ดวิชานึกนิมิตรให้แก่เขา ถึงแม้หลี่มู่ตอนนี้จะยังทะลวงระดับขั้นนึกนิมิตรไม่ได้ แต่นี่ก็นับว่าเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่ง

 

ปัญหาก็คือ สตรีชุดขาวแค่ดูก็รู้แล้วว่าฐานะสูงส่ง น่ากลัวว่าคงเป็นชนชั้นสูงของจักรวรรดิหรือเชื้อพระวงศ์อะไรเทือกนี้ หากลงมือช่วยเหลือ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีทางการเมืองในราชสำนักของจักรวรรดิ ในฐานะชาวโลกที่มีอิสระเสรีมาโดยตลอด หลี่มู่เบื่อหน่ายพวกนักปกครองมาก

 

ทว่า ในชั่วขณะที่เขากำลังลังเล สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

 

“อึก…” สตรีชุดขาวที่กำลังโบยบินร้องครางเสียงต่ำ ธนูดอกหนึ่งปักบนไหล่ รอยเลือดสีแดงสดย้อมชุดขาว ทำให้ฝีเท้าของนางโซเซจนเกือบล้ม

 

นางดิ้นรนดีดตัวขึ้นมา และจับพลัดจับผลูพุ่งมาทางเจดีย์หินที่หลี่มู่อยู่

 

ส่วนยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสามที่ไล่ตามมาติดๆ ไม่รามือ ตอนนี้ก็พบหลี่มู่ที่ยืนอยู่บนเจดีย์หินก่อนก้าวหนึ่ง

 

“นางมีพวกมาคอยรับ ระวังอย่าให้หนีไปได้ จับไปพร้อมกันเลย”

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำที่อยู่ข้างหน้าสุดคนนั้นโบกมือ ตัดสินใจอย่างเฉียบขาด

 

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

 

ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งมาทางหลี่มู่

 

คราวนี้ หลี่มู่ไม่ช่วยก็ต้องช่วยแล้ว

 

เขาหลบลูกธนู จากนั้นฉีกแขนเสื้อมาปิดหน้าตัวเองไว้ แล้วกระโดดขึ้นฟ้าตรงเข้าไปรับมือ

 

ร่างของเขารวดเร็วอย่างยิ่งยวด

 

ชั่วขณะที่เฉียดผ่านสตรีชุดขาว เขาพูดเสียงต่ำว่า “เจ้ารีบไป ข้าจะสกัดพวกมันไว้”

 

สายลมยามราตรีพัดผ้าคลุมหน้าของสตรีชุดขาวเลิกพลิ้วขึ้นมา ดวงตางดงามดั่งดวงดารายามค่ำคืนฉายแววตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าในยามจนตรอกเช่นนี้จะมีคนโผล่มาช่วยจากบนฟ้า

 

และตอนนี้ หลี่มู่ประหนึ่งสายฟ้าแลบ พุ่งไปสกัดกั้นยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสามคนนั้นเอาไว้

 

“ขวางข้า? ตายซะ!”

 

ยอดฝีมือชุดดำที่เป็นหัวหน้าตะโกนลั่น ฝ่ามือหนึ่งโจมตีออกไป

 

กลางท้องฟ้า เสียงประหลาดดั่งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้น ปะปนมาด้วยกลิ่นเหม็นคาวราวศพเน่าก็ไม่ปาน พลังฝ่ามือดุจคลื่นน่าสะพรึงกลัวพุ่งโจมตีมายังหลี่มู่

 

เขามั่นใจมากว่าสามารถโจมตีผู้ขัดขวางให้บาดเจ็บได้ในฝ่ามือเดียว

 

ในเมืองฉางอัน คนที่สามารถรับ ‘คลื่นคลั่งซากกระดูก’ ได้นั้นมีอยู่ แต่ไม่ใช่เจ้าเด็กที่จู่ๆ โผล่มาเบื้องหน้าคนนี้แน่

 

แต่ทว่า…

 

“ลูกไม้ตื้นๆ”

 

หลี่มู่รวบนิ้วชิดดุจดาบ ก่อนพลิกมือโจมตีออกไป

 

ประกายดาบสายหนึ่งราวกับไหมสีเงินแหวกท้องฟ้า ผ่าพลังฝ่ามือกลิ่นคาวคลุ้งของยอดปรมาจารย์ชุดดำออกเป็นสองส่วน ประกายดาบไม่ขาดสายโจมตีโดนยอดปรมาจารย์ชุดดำจนกระเด็นออกไปไกลท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เลือดสดๆ สาดกระเซ็น รอยดาบเส้นหนึ่งบนร่างเด่นชัด ปากก็กระอักเลือด เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

 

“อะไรกัน?”

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำสองคนที่เหลือตกตะลึง

 

“ท่านเป็นใครมาจากไหน?” ยอดปรมาจารย์ชุดดำอีกคน ใบหน้าฉายแววเคร่งขรึม ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

 

หลี่มู่ม้วนตัวกลางอากาศ กลับมายังเจดีย์หิน เศษผ้าปิดหน้าปิดตาไว้ เหลือแค่ดวงตาให้เห็น ในน้ำเสียงไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย อีกทั้งค่อนข้างแหบแห้ง เอ่ยว่า “ไม่อยากตายก็ไสหัวไป”

 

เขาไม่อยากสู้กับคนพวกนี้

 

สตรีชุดขาวถูกพิษ ไปไหนได้ไม่ไกล จำต้องไปช่วย

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสามตึงเครียดขึ้นมา

 

หลี่มู่ลงมือกระบวนท่าเดียว ก็ทำให้ผู้ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาบาดเจ็บสาหัส ทำให้พวกเขาตะลึงงัน ทั้งยังรู้สึกถึงความหวาดกลัว โดยเฉพาะในตัวของหลี่มู่ พวกเขาสัมผัสถึงคลื่นกำลังภายในไม่ได้แม้แต่น้อย นี่ยิ่งน่าสะพรึงกลัวเข้าไปใหญ่ ในสายตาของพวกเขา พลังของหลี่มู่ล้ำลึกยากเกินหยั่ง อาจจะเป็นขั้นฟ้าประทาน

 

“ใต้เท้า สตรีนางนี้คือผู้ที่เชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิตามจับตัว ขอเตือนท่านอย่าได้เข้ามาเกี่ยวพันด้วย มิฉะนั้น ต่อให้เป็นฟ้าประทานก็คงจะจบไม่ดีนัก” ยอดปรมาจารย์ชุดดำที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นมีจมูกงุ้ม ริมฝีปากบางมาก ลักษณะท่าทางอย่างคนชั่วช้าใจดำ เขาโคจรกำลังภายในคงสภาพบาดแผลไว้พลางกัดฟันพูดขึ้น

 

เขาคือพี่ใหญ่ในหมู่คนทั้งสาม

 

“ฮี่ๆๆๆๆ …” หลี่มู่ใช้ ‘ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก’ เปลี่ยนเสียงพูด เสียงหัวเราะพิลึกเหมือนตัวร้ายแหบแห้งคล้ายหินแร่สองก้อนเสียดสีกัน เอ่ยว่า “ราชวงศ์ของจักรวรรดิแล้วอย่างไร…พวกเจ้าจะไสหัวไปหรือไม่? ถ้าไม่ไสหัวไปก็อย่าหาว่าดาบข้าไร้ความปรานี” ท่าทีแข็งกร้าวเป็นที่สุด

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสามและผู้แข็งแกร่งชุดเกราะสิบกว่านายข้างหลังเผยสีหน้าลังเล

 

คืนนี้อุตส่าห์วางแผนจะจับคนคนนั้น พูดได้ว่าเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญกลับมีอุปสรรคแทรกเข้ามากลางคันเสียได้ หรือว่าจะยอมแพ้ไปแบบนี้? คว้าน้ำเหลวกลับไป ฝ่าบาทจะต้องกริ้วเป็นแน่

 

“น้องสอง น้องสาม บุก ขวางเขาเอาไว้!”

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำที่ได้รับบาดเจ็บตัดสินใจ

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำข้างกายเขาทั้งสองกลายเป็นดั่งลูกธนูพุ่งจากคันศรทันที แต่ละคนต่างสำแดงท่าร่าง ตรงไปล้อมโจมตีหลี่มู่

 

ในขณะเดียวกัน ตัวยอดปรมาจารย์ชุดดำที่ได้รับบาดเจ็บก็ฝืนสะกดบาดแผล นำกลุ่มนักรบชุดเกราะคนอื่นๆ คิดจะอ้อมเจดีย์หินไปไล่ตามสตรีชุดขาว

 

หลี่มู่เปลี่ยนความคิด รู้ว่าตอนนี้คิดจะออมมือคงไม่ได้แล้ว

 

ดูจากการกระทำของคนพวกนี้ ก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน

 

“ฮิๆๆๆ…เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี”

 

หลี่มู่เสพติดกับการแสดงบทตัวร้าย โดยเฉพาะเสียงหัวเราะประหลาดเยี่ยงนกฮูก มือหนึ่งกดไปบนยอดเจดีย์หินพร้อมกระตุ้น ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ เสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา กระเบื้องบนยอดเจดีย์พลันแตกละเอียดเป็นขนาดเท่าลูกหิน และพุ่งไปโจมตียอดปรมาจารย์ชุดดำดุจลูกธนูเจาะเกราะ

 

ในเวลาเดียวกัน เขาก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ เปลี่ยนฝ่ามือเป็นหมัดแล้วซัดออกไปทันที

 

รอยหมัดดุจมังกร ปราณหมัดราวสายฟ้า พลังหมัดประหนึ่งขุนเขา

 

ตูม ตูม!

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสองเพียงถูกสัมผัสก็กระเด็นลอยออกไป

 

ทว่าพวกเขาเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว จึงลอบผ่อนกำลัง อาศัยพลังสะท้อนกลับลอยถอยหลังและสลายพลังหมัด ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ก็รู้สึกว่ากำลังภายในปั่นป่วน เลือดลมลอยตัว ใกล้จะควบคุมไม่ได้แล้วเต็มที รู้สึกแค่ว่าพลังจากวิชาหมัดของคู่ต่อสู้มากมายมหาศาล ราวกับดวงดารายักษ์บดขยี้เข้ามา เกินจะควบคุมไหว ไม่อาจต้านทานได้

 

“เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”

 

“เป็นใครกัน ถึงได้มีพลังหมัดเช่นนี้”

 

ทั้งสองคนแอบตกใจ แต่ก็ไม่กล้าชักช้าลีลา สำแดงท่าร่างตรงไปล้อมโจมตีหลี่มู่ ไม่ปะทะซึ่งหน้าอีกต่อไป ทว่าเข้าสู้ระยะประชิด แค่ตรึงกำลังหลี่มู่เอาไว้ ทำให้เขาปลีกตัวไปช่วยสตรีชุดขาวไม่ได้ก็พอ

 

ทำไมหลี่มู่จะดูแผนของพวกเขาไม่ออก?

 

เขาลงมือโจมตียอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสองอย่างหนักหน่วงไม่หยุด

 

ทั้งสองคนแม้จะล่าถอยไปติดๆ กัน กลับเหมือนแผ่นยาหนังหมา ล้อมวงหลี่มู่ไว้อย่างเหนียวแน่น

 

‘สองคนนี้เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดปรมาจารย์ ประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน กลอุบายมากมายไม่จบสิ้น นี่ก็ไม่ใช่เวทีประลองด้วย หากหลบหลีกตลอดยากจะคว้าโอกาสเอาไว้ได้ คิดจะโจมตีสังหารพวกเขา คงต้องงัดลูกไม้ทั้งหลายออกมาแล้ว…’

 

หลี่มู่หงุดหงิดใจ

 

สายตาของเขามองเห็นสตรีชุดขาวอยู่ไกลออกไปประมาณสามร้อยจั้ง ร่างโอนเอนโซเซ เห็นได้ชัดว่าพิษออกฤทธิ์ ใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ส่วนพี่ใหญ่ของพวกยอดปรมาจารย์ชุดดำก็นำคนไล่ตามไป ใกล้จะจับได้เต็มที

 

ช่วยคนก่อนค่อยว่ากัน

 

หลี่มู่สำแดงท่าร่าง บินพุ่งไปรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ

 

ยอดปรมาจารย์สองคนนั้นสกัดกั้นสุดกำลัง

 

นี่คือการต่อสู้ที่อัดอั้นที่สุดครั้งหนึ่งของหลี่มู่

 

“เนตรสวรรค์ เปิด!”

 

เขาโคจรพลังจิตวิญญาณไว้ที่หว่างคิ้ว เนตรสวรรค์เปิดออก ส่งแสงไร้รูปร่างออกมาหุ้มร่างของยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสองเอาไว้ เพียงกวาดไปก็มองเห็นวิธีและเส้นทางของกำลังภายในที่โคจรอยู่ในร่างคู่ต่อสู้ทั้งหมด ไม่มีอะไรมาบดบัง

 

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับใช้เครื่องตรวจจับความร้อนสำรวจอย่างไรอย่างนั้น

 

ในกายของยอดปรมาจารย์สองคน กระแสพลังงานสีเทาอ่อนแต่ละสายๆ หมุนเวียนไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้เฉพาะ แฝงไว้ด้วยแก่นแท้ของวิถียุทธ์ที่พวกเขาฝึกฝน หากอธิบายให้เห็นภาพก็คล้ายกับแผงวงจรวิชาฟิสิกส์ที่หลี่มู่เคยเรียนบนโลก ความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังงานสีเทาเป็นตัวแทนของจุดแข็งแกร่งอ่อนแอต่างๆ ภายในกาย

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่แสงริบหรี่พวกนั้น ยิ่งสื่อถึงข้อบกพร่องและจุดอ่อนในเคล็ดวิชาของยอดปรมาจารย์ชุดดำทั้งสอง

 

“สังหาร!”

 

หลี่มู่แค่มองเห็นก็กระจ่างแจ้ง โคจรเคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ก่อนจะแตะฝ่ามือไปบนต้นไม้ข้างหน้า

 

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

 

ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ ใบไม้สีเขียวแกมเหลืองนับไม่ถ้วนถูกเคล็ดวิชากระตุ้น พริบตาที่หลุดออกจากกิ่งไม้ก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายลูกศร มาพร้อมด้วยปราณธนูที่แหลมคมไร้เทียมทาน คมกริบประดุดาบเหล็ก พุ่งโจมตีสังหารทั้งสองคนไม่ต่างจากพายุฝน

 

ยอดปรมาจารย์ชุดดำสองคนรวบรวมกำลังภายใน เปลี่ยนให้เป็นสนามกำลังภายในป้องกันไว้ พลังฝึกถูกผลักดันจนถึงขีดสูงสุด

 

ใบไม้พวกนั้นปกคลุมพวกเขาไว้ในชั่วพริบตา

 

พลังโจมตีมหาศาลสะเทือนจนทั้งสองฝีก้าวไม่มั่นคง กำลังภายในกระเพื่อมปั่นป่วน เลือดลมพร่อง

 

‘สัมผัสจิตดุจธนู’ สมกับเป็นวิชาสุดยอดที่กัวอวี่ชิงถ่ายทอดให้ ถึงแม้หลี่มู่จะฝึกฝนกำลังภายในออกมาไม่ได้ แต่ก็สามารถกระตุ้นได้จนถึงระดับนี้

 

แต่ว่าหากอยากจะสังหารในกระบวนท่าเดียวยังด้อยไปหน่อย

 

ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ก็เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์สองคน

 

ทว่า หลี่มู่วางแผนไว้ก่อนแล้ว

 

ต่อไปต่างหากถึงจะเป็นกระบวนท่าสังหารที่แท้จริง

 

……………………………