ตอนที่ 163 ฤดูหนาวบ้านอบอุ่น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 163 ฤดูหนาวบ้านอบอุ่น

รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบเจ็ด หิมะแรกของฤดูหนาวที่เมืองหลวงจินหลิงได้ตกลงมาแล้ว

หิมะที่ตกหนักทำให้เมืองจินหลิงที่ใหญ่โตถูกตกแต่งไปด้วยสีเงิน จวนฟู่ที่เมืองหลวงท่ามกลางหิมะที่ตกหนักนี้ก็ได้เปลี่ยนไปจนเหมือนบทกวีเหมือนภาพวาด

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหรานและมองไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ในใจนั้นมีเรื่องที่ปลงตกอยู่มากมาย

เพียงพริบตาก็ได้มาถึงโลกนี้เป็นเวลาเจ็ดเดือนกว่าแล้ว เวลามิได้ยาวนาน แต่กลับทำหลายสิ่งหลายอย่างลงไปแล้ว

ซีซานเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้นการวิจัยและพัฒนาไฟ ดินปืนก็เพิ่งเริ่มต้น ผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นก็ได้ออกขายสู่ตลาดแล้ว หลังจากนี้ สิ่งของที่ดูทำได้อย่างง่ายดายจะนำพาความมั่งคั่งอันมหาศาลมาให้แก่เขา

การก่อสร้างในปีหน้าเป็นเวลาหนึ่งปีที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ก็จะได้กลายเป็นเรือนซีซานที่สอง และมีความสำคัญยิ่งขึ้น

และในตอนนี้ก็ได้มีกองกำลังเป็นของตนเอง ถึงแม้จะยังอยู่ในช่วงเติบโต แต่อนาคตกลับน่าคาดหวัง นี่คือหนึ่งในต้นทุนชีวิตของตนเอง

หลังจากนั้นตนเองก็ได้มีสาวงามล่มเมืองมา 2 คน และได้มีฐานะเป็นจิ้นซื่อ ทั้งยังได้เป็นขุนนางว่างงานขั้นห้า

ราวกับทั้งหมดนั้นสวยงามอย่างมาก แต่ความสวยงามนี้ก็เหมือนกับหิมะครั้งใหญ่ ภายนอกนั้นดูขาวสะอาดไร้ที่ติ แต่ฟู่เสี่ยวกวนทราบดีว่าภายนอกที่สวยงามนี้มีอันตรายที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่

หลินหงถูกเขามอบให้กับซูม่อ ลอบส่งไปยังสถานที่ที่มิมีใครสามารถนึกถึงได้

ในตอนนี้นางยังต้องมีชีวิตอยู่ เพราะนาง… รู้มากเกินไปแล้ว!

ลมพัดมา เกล็ดหิมะลอยเข้ามาในศาลาเถาหราน ตกลงที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน หนาวเย็นอยู่เล็กน้อย

ชุนซิ่วปรี่เข้ามาโดยที่ยกเตาอุ่นมาด้วยอารามกระทืบเท้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ติดบ่นเล็กน้อย “คุณชายเจ้าคะ อากาศเย็นถึงเพียงนี้ออกมาทำไมเจ้าคะ หากหนาวจนไปทำให้ร่างกายย่ำแย่จะทำเยี่ยงไรเจ้าคะ?”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ร่างกายคุณชายของเจ้ามิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น”

“ตอนที่ออกเดินทางนายท่านก็ได้ย้ำนักย้ำหนา ที่จินหลิงหนาวกว่าที่หลินเจียงมากนะเจ้าคะ ข้าจึงต้องดูแลท่านให้ดี… หากท่านป่วยขึ้นมา ข้าจักอธิบายกับนายท่านว่าเยี่ยงไรเจ้าคะ ?”

“เอาล่ะ ๆ เตาไฟนี้ดีอย่างมาก วางลงเถิด นานมากแล้วที่มิได้เห็นหิมะตก ข้าจึงอยากจะดู”

ชุนซิ่วครุ่นคิดว่าควรตุ๋นซุปไก่โสมมาบำรุงให้แก่คุณชายเสียหน่อย จึงได้กลับไปในเรือน ฟู่เสี่ยวกวนวางเตาลงที่ข้างเท้า คิดไปว่าหากมีมันเทศวางย่างอยู่บนเตานี้ด้วยก็คงมิเลว

เพียงไม่นานต่งชูหลานก็มาถึงโดยที่สวมเสื้อขนสัตว์ มือถือร่มกระดาษท่ามกลางสายลมและหิมะ ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางนาง ทันใดนั้นก็ตื่นตะลึง

เส้นผมสีอ่อนปลิวไปตามสายลม สวมชุดสีขาวที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ ราวกับนางฟ้าที่บินลงมาบนโลกมนุษย์ในภาพวาด

เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ได้เห็นใบหน้าสวยได้รูปที่แดงปลั่งราวกับดอกโบตั๋นที่เบ่งบาน ดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าได้รูปสั่นระริกราวกับมีระลอกคลื่น

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไป ต่งชูหลานทิ้งร่มกระดาษในมือแล้ววิ่งมาหาเขา ความสุขบนใบหน้านั้นมิอาจซ่อนเอาไว้ได้ ราวกับการรอคอยที่ทรมานมานับพันปี

นางปรี่เข้าหาอ้อมกอดของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนอุ้มนางเอาไว้ หมุนวนไปมาท่ามกลางลมหิมะ มิได้ว่องไว แต่ราวกับเป็นการเต้นรำที่งดงามที่สุด

หนึ่งแขนของต่งชูหลานเหนี่ยวรั้งคอของฟู่เสี่ยวกวน สีแดงระเรื่อบนใบหน้าได้รูปยิ่งดูสวยงาม ดวงตาคู่นั้นก็เริ่มพร่ามัว ราวกับสายหมอกท่ามกลางลมหิมะ

ในยามนี้ไร้เสียง

หิมะร่วงหล่นระหว่างคิ้วของนาง หนึ่งปากหยุดอยู่ระหว่างริมฝีปากของนาง

ดวงตาปิดลงอย่างเชื่องช้า ในยามนี้จิตใจถึงได้สงบลง

……

…..

“หนึ่งเดือนกว่าผ่านมานี้… ข้าและเวิ่นหวินมักจะมาที่นี่ อือ พวกเรามักจะมานั่งที่ศาลาเถาหรานนี้ พูดคุยกันเรื่องกิจการ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า” ต่งชูหลานนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตา ริ้วแดงบนใบหน้ายังมิหายไป งดงามยิ่งขึ้นยามอยู่ภายใต้แสงไฟที่สะท้อนมา จนผู้มองอย่างฟู่เสี่ยวกวนใจเต้นระรัว จะทำอย่างไรกับสาวน้อยผู้นี้ดี ?

ต่งชูหลานเหลือบสายตามองสายตาที่ร้อนแรงของฟู่เสี่ยวกวนก็กลอกสายตาใส่ “เหล่าท่านลุงมิใช่บอกว่าจะกลับมาเมืองหลวงพร้อมเจ้าหรือ ? เหตุใดจึงมิมากัน ? เจ้าอยู่ที่หลินเจียง ทุกอย่างดีหรือไม่ ?”

แย่แล้ว ๆ ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “เพราะมารดาทั้งห้าของข้าต่างตั้งครรภ์ทั้งหมด และมิสามารถทนความยากลำบากของการเดินทางได้ ข้าคิดว่า… หลังข้ามปีจะให้ท่านพ่อไปที่บ้านของเจ้าเพื่อสู่ขอ เจ้าว่าดีหรือไม่ ?”

ต่งชูหลานก้มหน้าทันพลัน ขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ขนตาแพยาวสั่นไหว กล่าวเสียงแผ่วจนแทบจะมิได้ยิน “เป็นปีหน้าจะดีที่สุด หลังจากช่วงข้ามปีก็ยังคงวุ่นวายอยู่บ้าง ท่านพ่อของข้าคงมิกล่าวขัดขวางอันใดอีก แต่ทางท่านแม่คงมีความรู้สึกคัดค้านในใจ หลังจากที่เจ้าไป องค์หญิงใหญ่ก็เคยเสด็จประพาสมาที่จวน เคยกล่าวกับท่านแม่เรื่องความดีของเจ้า เชื่อว่าท่านแม่เองก็เข้าใจพระประสงค์ขององค์หญิงใหญ่”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ข้ากลับกังวลใจกับเรื่องนี้อย่างมาก ข้าคิดเยี่ยงนี้ ช่วงข้ามปีนี้ข้าอยากจะไปเยี่ยมเยียนบิดาและมารดาของเจ้า หวังว่าจะได้ไปพูดคุยต่อหน้าพวกท่าน จนถึงวันนี้ก็ยังมิเคยได้พบกับท่านแม่ยายเลย ท่านคงยังมิทราบสิว่าข้านั้นหล่อเหลาขนาดไหน หากหลังจากที่ไปพบแม่ยายแล้วท่านชอบ เยี่ยงนั้นเรื่องของเราก็มิสำเร็จใช่หรือไม่ ?”

ต่งชูหลานเหลือบสายตามองฟู่เสี่ยวกวน “ก็สวยสิ… เรื่องนี้เจ้าจงรอข่าวคราวจากข้า ราชสำนักจะพักในวันพรุ่งนี้ คืนนี้ข้าจะลองกล่าวกับท่านพ่อ ดูว่าเขามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็กุมมือของต่งชูหลานเอาไว้ในมือ และหัวเราะอย่างโง่งม

“เจ้าหัวเราะอันใดกัน”

“ชูหลาน ข้าอยากจะแต่งงานมากจริง ๆ ”

“ข้า แท้จริงแล้วข้าเองก็อยาก”

ฟู่เสี่ยวกวนคว้าต่งชูหลานมากอดไว้ในอ้อมกอด การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของปีศาจ ที่นี่สวยงามอย่างไร้ที่สิ้นสุด ราวกับต้นดอกท้อนับหมื่นกำลังเบ่งบาน

มีหนึ่งหมื่นคำที่ถูกละไว้ในที่นี้

**ผ่อนลงทีละน้อย ต่งชูหลานถอนหายใจออกมา ราวกับได้ประสบกับพายุที่โหมกระหน่ำ

นี่คือความรักที่ลึกซึ้ง เคลิบเคลิ้มและดื่มด่ำ ขาดแต่เพียงการสัมผัสที่น่ายินดีครั้งสุดท้ายที่เป็นขั้นตอนที่สวยงามที่สุดที่คนต่างรอคอย

“เจ้าคนชั่ว มิกลัวผู้ใดมาเห็นเลยหรือ”

“เจ้าดูสิ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยลมหิมะ จะมีผู้ใดมาเห็นได้กัน มิหนำซ้ำ… พวกเราก็เป็นความลับ”

ต่งชูหลานกัดริมฝีปากและจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “เพียงครั้งนี้เท่านั้น ก่อนที่จะได้แต่งงานกัน เจ้าก็ห้ามมาลูบ มาแตะต้องตัวข้าอีก !”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก และเอ่ยบทกวีออกมากด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ

ขอท่านอย่าอาวรณ์อาภรณ์สวย

จงฉกฉวยเวลาวัยหนุ่มสาว

ยามดอกไม้เบ่งบานรีบเด็ดเอา

อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่งไป

ดวงตาคู่สวยของต่งชูหลานมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างอ่อนโยน กวางน้อยในใจกระโดดโลดเต้น กับเพียงแค่บทกวีที่เอ่ยออกมาตามใจปาก แบบนั้นทั้งชีวิตนี้ก็คงถูกเขารังแก

“แท้จริงแล้วข้านั้นมิได้มีความทะเยอทะยานอะไรที่ยิ่งใหญ่นัก ในอดีตคิดแต่เพียงจะเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินหลินเจียงอย่างสงบ ความจริงแล้วตอนนี้ข้าก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ จนกระทั่งได้พบกับเจ้า หลังจากนั้นก็ได้พบกับเวิ่นหวิน ข้ารู้สึกว่าตนเองควรพยายามให้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน ก็ต้องเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระลอยตัว”

“อยากจะใช้ชีวิตอย่างอิสระ ก็ต้องมีต้นทุนของอิสระ ดังนั้นจึงได้ติดตามการตรวจสอบการฉ้อโกงของราชสำนัก ข้าจึงได้มาถึงเมืองหลวง ในอนาคตอันใกล้นี้ พื้นฐานแล้วหากข้าได้อยู่ที่เมืองหลวง เต็มที่ก็คงเป็นขุนนาง เป็นขุนนางที่ดี เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นขุนนางในแบบที่สามารถปกป้องครอบครัวของเราได้”

“หลังจากนั้น… ข้าจักลาออกจากการเป็นขุนนาง และชมดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ มองดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง รับลมเย็นฤดูร้อน และฟังเสียงหิมะฤดูหนาวไปกับพวกเจ้า นี่ต่างหากคือชีวิตที่ข้าไล่ตาม นี่ต่างหากที่จะคุ้มค่ากับการมาโลกนี้ของข้า”