ตอนที่ 162 เรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 162 เรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อน

รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังเรือนซีซานก็ได้นำแผนงานต่าง ๆ ที่ภูเขาเฟิ่งหลินให้แก่จางเช่อ อีกทั้งจัดการเรื่องงานปีใหม่เรียบร้อยแล้วจึงพาซูม่อกลับหลินเจียง

ฉินเฉิงเย่มิได้กลับไปด้วย เขากล่าวว่าสำนักอาวุธปืนเพิ่งจะสร้างแล้วเสร็จ ยังมีอีกหลายอย่างต้องจัดการ จึงได้ไหว้วานให้ฟู่เสี่ยวกวนนำจดหมายฉบับหนึ่งกลับไปให้ปู่ของตน

ไป๋ยู่เหลียนก็อยู่ต่อที่ซีซานเช่นกัน ประการแรกเพื่อปกป้องภูเขาซีซาน ประการที่สองนั้นเนื่องจากเขามิต้องการให้ทหารเหล่านี้หยุดการฝึกฝนอย่างเข้มงวด

ณ เมืองหลินเจียง บัดนี้เริ่มมีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ บนท้องถนนประดับโคมไฟสวยงาม ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันยินดีปรีดา บรรดาสตรีก็พากันเก็บกวาดเพื่อต้อนรับปีใหม่

เมื่อกลับมายังจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนอีกและแม่ทั้งหกนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ภายในมีกองไฟจุดอยู่ เพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายในความหนาวเหน็บเช่นนี้

สีหน้าของฟู่ต้ากวนดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ใบหน้าอันอุดมสมบูรณ์นั่นมองไปคล้ายกับคลายความกังวลไปมากทีเดียว

แม่ทั้งหลายก็เช่นกัน แต่เมื่อพวกนางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนึกในใจว่า ลูกคนนี้……ผอมลงอีกแล้ว

“พ่อมีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย การเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ เกรงว่าพ่อจะไปด้วยมิได้เสียแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงเล็กน้อย “เราตกลงกันแล้วมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงเปลี่ยนใจกันเล่าท่านพ่อ ? ”

“เอ่อ คือว่า แม่ทั้งห้าของเจ้าบัดนี้ได้ตั้งครรภ์แล้ว ระยะทางไปเมืองหลวงไกลโข พวกนางเพิ่งจะตั้งครรถ์อ่อน ๆ มิอาจทนต่อการเดินทางยาวไกลได้ ปีหน้า ! ปีหน้าพวกเราจะไปด้วยแน่นอน”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วมองไปยังแม่ทั้งห้าของเขาที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางเขินอาย

ท่านพ่อ……มีความสามารถมากจริง ๆ !

ฟู่เสี่ยวกวนนับถือฟู่ต้ากวนยิ่งนัก ระยะเวลาเพียง 3 เดือน เขาทำได้จริงเสียด้วย !

ฟู่ต้ากวนหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า  “แม้ว่าพวกเราจะมิได้เดินทางไปด้วย แต่เจ้ายังคงต้องเดินทางไปตามเดิม สัญญากับพวกนางไว้แล้ว จะผิดสัญญามิได้ ข้าได้จัดแจงเรื่องเรือสำหรับเดินทางไปเมืองหลวงให้แล้ว ออกเดินทางค่ำคืนนี้ เนื่องจากเวลามีจำกัด พ่อเองก็มิรั้งเจ้าไว้ให้อยู่ต่อสักสองสามวัน”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดู ในจวนก็ครึกครื้นเนื่องจากมีแม่ทั้งห้าแล้ว ส่วนเขาก็จำเป็นจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงสักหน่อย เนื่องจากหนังสือขออนุญาตฝึกทหารยังมิแล้วเสร็จ เรื่องนี้ว่าเล็กมิเล็ก ว่าใหญ่มิใหญ่ แต่หากไม่มีหนังสือนี้ เกรงว่ามีผู้ใดจ้องเล่นงานทหารทั้งสองพันกว่าคนของเขาเข้า คงลำบากไม่น้อย

อีกทั้งต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายมาถึงเขา หวังว่าเขาจะเดินทางไปเมืองหลวงในปีใหม่นี้

“ขอรับ เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็หยิบแผนงานที่ภูเขาเฟิ่งหลินออกมามอบให้ฟู่ต้ากวน “นี่คือแผนงานในปีหน้า ช่วงแรกจะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ท่านพ่อช่วยจัดเตรียมให้ข้าด้วย อีกทั้งการเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ข้าคงมิได้กลับมาในเวลาอันเร็ว เรื่องต่าง ๆ ที่ภูเขาซีซานนั้นข้าได้กำชับให้จางเช่อจัดการดูแลเรียบร้อยแล้ว หากท่านพ่อมีเวลา ช่วยไปตรวจงานให้ข้าด้วยขอรับ”

เขาหยิบน้ำหอมและสบู่ออกมาจากกล่องที่วางอยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าวว่า “สิ่งนี้เรียกว่าสบู่ ใช้ชำระร่างกายให้หอมสะอาด พวกท่านลองนำไปใช้ดู ของสิ่งนี้ยังมิได้วางขายที่หลินเจียง แต่จะนำไปขายที่เมืองหลวงก่อน ส่วนน้ำหอมนี้พวกท่านรู้จักดี ข้ามอบให้พวกท่านเอาไว้ใช้ น้ำหอมนี้ก็จะวางขายในเมืองหลวงก่อนเช่นกัน”

ฟู่ต้ากวนพยักหน้า “เรื่องที่ซีซานเจ้ามิต้องเป็นกังวลไป จงไปจัดการเรื่องที่เมืองหลวงอย่างสบายใจเถิด ข้ายังยืนยันคำเดิมว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรับราชการ เพียงแค่เจ้าได้รับราชการที่เมืองหลวง การค้าต่าง ๆ ก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังสามารถขยายวงกว้างขึ้นอย่างง่ายดาย ต่อไปตระกูลฟู่คงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว ที่เมืองหลวงนั้นอันตราย เจ้าจงดำเนินการทุกเรื่องด้วยความระมัดระวัง สองวันมานี้พ่อคิดดูแล้ว หากเจ้ามิมีความสามารถเพียงพอก็จงอยู่ที่หลินเจียงเถิด มีความสุขกว่ามากนัก”

ฟู่ต้ากวนมิได้เอ่ยออกมาตามตรงว่าเขามีความเป็นห่วงบุตรชายของเขาเพียงใด ตระกูลฟู่มิได้มีอำนาจใดในราชวัง หากบุตรชายของตนต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เกรงว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว!

แม้ว่าที่สะใภ้ทั้งสองมีชื่อเสียงอำนาจก็จริงอยู่ แน่พวกนางก็เป็นสตรี หากบุตรชายของตนก่อเรื่องขัดใจผู้เป็นใหญ่เป็นโตเข้า พวกนางก็มิอาจช่วยได้

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ เขาเอ่ยอำลาท่านพ่อและแม่ทั้งหก จากนั้นเดินเข้าไปยังสวนด้านหลัง

เขานั่งลงที่ศาลาเหลียงถิง อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย เขาให้ชุนซิ่วนำที่รองนั่งมาจากนั้นกำชับให้ซูม่อเรียกหลินหงเข้าพบ

นับจากที่ได้พาตัวแม่นางหลินหงมาจากหอเยียนจือ ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยถามนางสองสามครั้ง แต่ในทุกครั้งก็มิได้มีข้อมูลใดเพิ่มเติม ในวันนี้เขาตัดสินใจถามนางอีกครั้งหนึ่ง

“เชิญนั่งเถิด แม่นางหลิน”

หลินหงนั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน นางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนตลอดเวลา เขาผู้นี้ยิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจ นางมิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเชื่อในสิ่งที่นางกล่าวไปหรือไม่ หากเชื่อละก็ นางคิดว่าเขาจะฆ่านางเสีย หากเขาไม่เชื่อละก็ เหตุใดเขาจึงยังถามนางมิหยุดหย่อน ?

ฟู่เสี่ยวกวนต้มน้ำชากาหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “แม่นางหลิน ท่านพ่อของเจ้าเคยเป็นรองนายพลของกองทัพใต้ ในรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 2 ท่านพ่อของเจ้าได้กระทำความผิด ฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตในปีต่อมา”

หลินหงมีท่าทีตกใจ ดวงตาทั้งสองนั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยความสงสัย แต่เขามิได้เงยหน้ามองนางแม้แต่น้อย “แม่นางหลิน เจ้าเองได้ถูกส่งไปยังกรมเจี้ยวฟางในรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 2 เช่นกัน ในตอนนั้น……เจ้ายังเด็ก อายุเพียง 15 ปี”

“รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ร่วง มีการประกาศตัดหัวนักโทษ ท่านพ่อของเจ้าคือหนึ่งในนั้น ทุกคนล้วนคิดว่าท่านพ่อของเจ้าถูกลงโทษประหารชีวิตไปแล้ว แต่แท้จริงมิได้เป็นเช่นนั้น บัดนี้ท่านพ่อของเจ้าอยู่ที่หลิ่งหนาน แม้ว่าที่นั่นจะค่อนข้างลำบาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้ากัน ยกเว้นเจ้า”

หัวใจของหลินหงคล้ายถูกบีบ นางกำมือไว้แน่น รู้สึกว่าบัดนี้ร่างกายได้สั่นสะท้าน

“เจ้าดูเองเถิด เรื่องเหล่านี้เจ้ามิได้บอกข้าแต่ข้าก็รู้ ข้ายังรู้อีกว่าการกระทำของจ้าวซื่อและหยางซีเป็นคำสั่งของเจ้า ประหลาดใจใช่หรือไม่ ? ถึงเวลาที่เจ้าจะบอกกับข้าแล้ว ผู้ใดกันที่มีความสามารถในการช่วยเหลือพ่อเจ้า? ข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าตกลงกับเขาคืออะไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาลงในถ้วย ยื่นให้หลินหง จากนั้นมองไปยังหน้าของนางซึ่งยังคงไร้ความรู้สึกใด ๆ

ผ่านไปเนิ่นนาน ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ข้าจะบอกกับเจ้าอีกสักหน่อยก็ได้ว่า จงจำไว้ให้ดี ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าถามเจ้า หากเจ้ายังคงยืนยันที่จะนิ่งเงียบ……ข้าคงต้องขออภัยล่วงหน้า ในเมื่อข้ารู้ว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่หลิ่งหนาน แน่นอนว่าข้ามีความสามารถที่จะหาเขาจนพบ ข้าจำได้ว่าเจ้ายังมีน้องชายอีกคนหนึ่ง”

“รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ เจ้าของหอเยียนจือได้เดินทางไปพบเจ้า ณ กรมเจี้ยวฟาง ผ่านไปสิบกว่าวัน นางได้พาตัวเจ้าออกจากกรมเจี้ยวฟางเพื่อเดินทางไปยังหอเยียนจือ จากความสามารถของเจ้าเดิมทีสามารถเป็นดาวเด่นที่หอเยียนจือได้ไม่ยาก แต่เจ้ามิทำเช่นนั้น เจ้าพยายามทำตัวให้เรียบง่ายที่สุด น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด จนกระทั่งมาพบเข้ากับข้าที่บังเอิญได้ยินหยางซีเอ่ยถึงเจ้า ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่า หากข้ามิได้ลักพาตัวเจ้าออกมาเสียก่อน เจ้าเองก็คงตายเสียแล้ว มิใช่ตายด้วยการโจมตีจากชิงเฟิงซี่หยู่ แต่ในค่ำคืนนั้นมีกลุ่มลอบสังหารอีกหนึ่งกลุ่ม เนื่องจากเจ้าได้เผยตัวตนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป บัดนี้คนเหล่านั้นยังคงตามหาตัวเจ้าอยู่ หากข่าวของเจ้าแพร่สะบัดไป เกรงว่าเจ้าคงมีชีวิตอยู่ไม่เกินคืนนี้”

“จีหลินชุนมิได้มีความสามารถมากถึงขนาดช่วยเหลือพ่อของเจ้าได้ ผู้ที่บงการเรื่องนี้ คือผู้ใด ? ”