เล่ม 7 เล่มที่ 7 ตอนที่ 187 นายท่าน ฮูหยินปีนกำแพงไปแล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีไม่รีบตกปากรับคำ ทว่านางถามกลับว่า “หากข้าไปเผชิญหน้าให้รู้ความจริง และท่านพ่อยืนยันว่าได้มอบป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซูให้ข้าจริง จากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป? ”

         แววตาซูจวิ้นแสดงให้เห็นถึงความลังเล

        หรือว่าป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซู ท่านพ่อเป็นผู้มอบให้ซูจิ่นซีจริงๆ ?

        ทว่าฮั่วซื่อกลับพูดออกไปโดยไม่ทันได้ตรึกตรอง “หากไปถามจนรู้ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูดอีก ให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

        “หากข้าสั่งให้เจ้ามอบตำแหน่งฮูหยินสกุลซูให้กับอนุปี้เล่า? ”

        “ตกลง! ” แววตาฮั่วซื่อแสดงให้เห็นถึงแรงอาฆาต “ทว่า ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง หลังจากสอบถามให้รู้ความจริงแล้ว หากนายท่านไม่ได้เป็นผู้มอบให้เจ้า ซูจิ่นซี เจ้าต้องฆ่าตัวตายตรงนั้นทันที”

        โหดเหี้ยมยิ่งนัก!

        ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึง

        ครั้งนี้ฮั่วซื่อต้องการจัดการซูจิ่นซีให้ถึงตายเลยหรือ!

        ท่าทางของฮั่วซื่อดูเหมือนไม่ได้หลอกลวง หรือว่าพระชายาโยวอ๋องได้ป้ายผู้นำสกุลซูมาอย่างมีเงื่อนงำจริงๆ ?

        เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนล้วนต้องการรู้ผลลัพธ์จากการสอบถามความจริง

        “ทูลพระชายา ท่านพาพวกเขาแม่ลูกไปเถิด! ”

        “ใช่ พวกเราทุกคนต้องการรู้เช่นกันว่า เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่”

        “ไปเถิด!”

        “ตกลง ข้าจะพาพวกเขาไป! ” ซูจิ่นซีตอบรับ

        ในจุดที่ใครไม่ทันได้สังเกตเห็น แววตาของฮั่วซื่อก็เผยถึงแรงเกลียดชังอันหนาวเหน็บ

        ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะพาฮั่วซื่อแม่ลูกและทุกคนไปที่กรมอาญา

        ซูจิ่นซีได้ส่งคนไปแจ้งกรมอาญาไว้ล่วงหน้าแล้ว เจ้ากรมอาญาและรองเจ้ากรมอาญาได้ออกมาต้อนรับซูจิ่นซีที่หน้าประตูด้วยตนเอง

        “ข้าน้อย หวังข่าย เจ้ากรมอาญา”

        “ข้าน้อย หลี่ซื่อ รองเจ้ากรมอาญา”

        “คำนับพระชายาโยวอ๋อง”

        “ท่านทั้งสองลุกขึ้นเถิด! ”  ซูจิ่นซีตอบรับการคำนับจากขุนนางทั้งสองท่านด้วยท่าทีสงบนิ่ง

        “ขอบพระทัย พระชายาโยวอ๋อง”

        “ข้าได้ส่งคนมาแจ้งข่าวล่วงหน้าแล้ว พวกเจ้าเตรียมการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่? ”

        “ข้าน้อยและพรรคพวกได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว เชิญพระชายา! ”

         หวังข่าย เจ้ากรมอาญาเปิดประตูใหญ่ของกรมอาญา พลางเชื้อเชิญให้ซูจิ่นซีเข้าไปด้านใน

        จำนวนคนที่ติดตามมาด้วยมีมากเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หอกุ้ยเหรินยังไม่ได้เฉลียวใจ ทว่าเมื่อมาถึงกรมอาญากลับพบว่าบริเวณถนนหน้ากรมอาญามีผู้คนเบียดเสียดกันอย่างเนืองแน่น

        คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนมากมายถึงเพียงนี้เข้าไปในกรมอาญา

        เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะเลือกคนจำนวนหนึ่งเป็นตัวแทนพยานเข้าไปในกรมอาญา ทว่าไม่รู้ว่าจะเลือกผู้ใดท่ามกลางฝูงชน นางจึงเสนอแนะให้เปิดประตูใหญ่ของศาลพิจารณาคดีกรมอาญา โดยใช้ห้องโถงใหญ่ของกรมอาญาดำเนินการสอบสวนให้รู้ความจริง ในเวลานั้นผู้คนทั้งหมดต่างส่งเสียงดังอื้ออึง

        “เจ้ากรมหวัง ท่านดูเถิด… ”  ซูจิ่นซีแสดงท่าทีขอโทษ

        “ในเมื่อเป็นความปรารถนาของทุกท่าน และทุกท่านพึงพอใจที่จะไปที่นั่น ข้าน้อยจะให้คนไปเปิดประตูศาลพิจารณาคดีกรมอาญาเดี๋ยวนี้”

        “ต้องรบกวนท่านแล้ว! ”

        การดำเนินการสอบสวนให้รู้ความจริงจึงจัดขึ้นที่ศาลพิจารณาคดีกรมอาญา

        ปกติแล้วประตูใหญ่ศาลพิจารณาคดีกรมอาญาจะเปิดใช้งานก็ต่อเมื่อมีการพิจารณาคดีบางอย่างที่ให้ประชาชนเข้าร่วมฟังคำตัดสิน ด้านหลังห้องโถงคือทิศเหนือ ด้านหน้าหันไปทางทิศใต้ โดยทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ทั้งสามทิศนี้ มีประตูบานใหญ่ที่สามารถเปิดกว้างได้ทั้งสามทิศทาง ผู้คนที่เข้ามาสังเกตการณ์จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

        ขณะที่เจ้ากรมหวังพาซูจิ่นซีกับทุกคนเข้าไปในศาลพิจารณาคดีนั้น ก็ได้ส่งคนไปในคุกเพื่อพาตัวซูจ้งมา

        ทว่าเวลาผ่านไปนานพอสมควร ผู้คนจำนวนมากต่างเฝ้ารออยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ในที่สุดก็ยังไม่เห็นคนของกรมอาญาพาตัวซูจ้งมาที่ศาล

         “เจ้ากรมหวัง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น? เหตุใดถึงยังไม่เห็นใครมาเลยเล่า? ”

        “ระยะทางระหว่างศาลกับคุกไม่ได้ห่างกันมาก เหตุใดถึงใช้เวลานานเพียงนี้? ”

        “ใช่! ผ่านตำหนักเข้าไปก็ถึงแล้ว ซูจ้งคงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นในคุกหรอกนะ? ”

        “เอ่อ… ”

        ใบหน้าของเจ้ากรมหวังและรองเจ้ากรมหลี่ไม่สู้ดีนัก

        “ส่งคนไปดูอีกครั้งสิ! ” เจ้ากรมหวังออกคำสั่ง

        ความจริงแล้วซูจ้งไม่ได้เกิดเรื่องอันใดภายในคุก ทว่าขณะที่ผู้คุมกำลังพาตัวเขาออกมาจากคุกได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น

        ผู้คุมสองนายที่เข้ามาคุมตัวซูจ้ง เมื่อมาถึงคุกก็ได้บอกถึงเป้าหมายที่ซูจิ่นซีกับพรรคพวกมาหาในครั้งนี้ ซูจ้งจึงคาดเดาได้ในทันทีว่าซูจิ่นซีต้องเกิดอุปสรรคขึ้นในสกุลซู

        เดิมทีซูจิ่นซีเข้ามาในสกุลซูเพราะเจตนาของซูจ้ง ดังนั้นซูจ้งย่อมเต็มใจออกไปพูดความจริงต่อหน้าทุกคนให้กับซูจิ่นซีอยู่แล้ว

        ทว่าผู้คุมทั้งสองไม่ได้คุมตัวซูจ้งไปที่ศาลพิจารณาคดีในทันที แต่คุมตัวเขาไปที่ห้องขังที่ซ่อนเร้นอยู่อีกห้องหนึ่ง

        แม้จะอยู่ภายในคุกเดียวกัน ทว่าห้องขังนี้กลับมีการตกแต่งหรูหรา ดูดีกว่าห้องขังทั่วไปมาก

        “ผู้นำสกุลซู สุขสบายดีหรือไม่! ”

        ครั้นเมื่อซูจ้งเดินเข้าไป เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกสานสีดำ ค่อยๆ หันหลังกลับมา

        แม้บนหมวกสานจะมีผ้าบางๆ ปกปิดจนไม่สามารถเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกลับสามารถแยกแยะได้ทันที คนผู้นี้เป็นสตรี

        “เจ้าเป็นใคร? คุมตัวข้ามาที่นี่ต้องการอันใด? เจ้าบอกว่าซูจิ่นซีมาหาข้าเพื่อสอบถามให้รู้ความจริงไม่ใช่หรือ? เป็นเจ้าไปได้อย่างไร? ”

        ซูจ้งถามไปหลายคำถาม ทว่าหญิงสาวไม่ตอบคำถามเขาแม้แต่น้อย นางกลับแสดงป้ายคาดเอวประจำตำแหน่ง

         เมื่อเห็นป้ายประจำตำแหน่ง ใบหน้าของซูจ้งก็เปลี่ยนไปในทันที “เจ้า… เจ้า… ”

        “ซูจ้ง เจ้าเป็นคนฉลาดเข้าใจง่าย คงรู้ว่าอันใดควรพูด อันใดไม่ควรพูด”

        ซูจ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขากัดฟันกรอดและพูดว่า “หลายปีมานี้ ข้าถูกกระทำมามากพอแล้ว”

        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หญิงสาวหัวเราะคำโต จู่ๆ ก็ชี้หน้าซูจ้งด้วยท่าทีดุดัน “ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ต้องการมีชีวิตอยู่”

        “หลายปีที่ผ่านมาข้ามีชีวิตอยู่อย่างคนไร้ค่า คิดอยากตายมานานแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้ก็ติดอยู่ในคุก ไม่มีวันได้ออกไปพบกับแสงสว่างอีก แล้วมันจะแตกต่างอันใดกับการมีชีวิตอยู่หรือตาย” ซูจ้งพูดโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัว

        “ฮึ ฮึ ฮึ ใกล้ตายอยู่แล้ว ไม่คิดว่าตาแก่อย่างเจ้าจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ทว่าข้าอยากดูสักหน่อยว่าเจ้ามีความกล้าเพียงใด”

        ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวก็สะบัดมือโยนสิ่งของจำนวนหนึ่งกองแทบเท้าซูจ้ง

        มันคือกระดาษจำนวนหนึ่ง หนังสือและเครื่องประดับแก้วแหวนเงินทองหลายชิ้น และยังมีพัดอีกหนึ่งเล่ม

        ซูจ้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “นี่คือสิ่งใด? ”

        “เป็นฤกษ์ตกฟากที่แท้จริงของซูอวี้ บุตรชายที่รักของเจ้า ยังมีบันทึกการนัดแนะแอบพลอดรักกันระหว่างอนุปี้กับคนรัก”

        ฤกษ์ตกฟากที่แท้จริงของซูอวี้?

        การนัดแนะพลอดรักกันระหว่างอนุปี้กับคนรัก?

        ซูจ้งคิดฟุ้งซ่าน รีบหยิบหนังสือและกระดาษที่อยู่บนพื้น พลิกดูอย่างรวดเร็ว

        ยิ่งดูอารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าของเขายิ่งไม่กล้าเชื่อในสายตาของตนเอง

        “ไม่…เป็นไปไม่ได้! เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! ”

        “ความจริงแล้วซูอวี้ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของเจ้า ทว่าเป็นบุตรของอนุปี้กับคนรักอื่น ซูจ้ง เจ้ายังจะคิดช่วยเหลือซูจิ่นซี นางแพศยานั่น ให้ปฏิบัติต่อภรรยาหลวงและบุตรแท้ ๆ ของเจ้าเช่นนั้นอีกหรือ สติปัญญาของเจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ? ”

        “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ปี้ถงไม่มีทางทำเช่นนี้ ไม่มีทางทำแน่นอน”

        ซูจ้งส่ายศีรษะปฏิเสธ ดวงตาทั้งสองว่างเปล่า มือที่ถือหนังสือสั่นเทา

        “ดูแล้วเจ้าเป็นคนที่หากเรื่องราวไม่ถึงขั้นจนตรอกคงไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ ใครก็ได้ พาคนเข้ามา”

        สิ้นเสียงของหญิงสาว ผู้คุมที่ยืนอยู่ด้านนอกก็คุมตัวหญิงชราอายุราวหกสิบปีผู้หนึ่งเข้ามา

        “แม่ย่าหวน?”  ซูจ้งประหลาดใจเล็กน้อย

        ก่อนหน้านี้แม่ย่าหวนเป็นคนรับใช้คอยดูแลอนุปี้สองแม่ลูกอยู่ที่เรือนนอกของสกุลซู และเป็นคนที่อนุปี้สองแม่ลูกเชื่อใจมากที่สุด เมื่อเห็นซูจ้ง นางก็รีบคุกเข่าต่อหน้าซูจ้งและโขกศีรษะให้กับเขา

        “นายท่าน โปรดยกโทษให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ! บ่าวไม่ได้มีเจตนาช่วยฮูหยินปี้ปิดบังนายท่านนะเจ้าคะ เพียงแต่ว่า…ในตอนนั้นนายท่านรักใคร่ฮูหยินปี้มาก บ่าวทำใจไม่ได้ที่จะพูดจาทำร้ายนายท่าน”

        “เจ้าพูดอันใด? ”

        ดวงตาซูจ้งหรี่ลง แววตาแดงฉาน

        “คุณชายน้อยอวี้ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของนายท่าน ทว่าเป็น… เป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินปี้กับชายอื่นเจ้าค่ะ”

        ในเวลานี้ความคิดของซูจ้งราวกับจะระเบิดออกมา ไม่ทันได้คิดอะไร ซูจ้งก็ใช้เท้าถีบเข้าไปที่หน้าอกแม่ย่าหวนอย่างจัง