เล่ม 7 เล่มที่ 7 ตอนที่ 188 พบหน้ากัน เสด็จพี่ให้ความเป็นธรรมด้วย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจ้งตัดสินใจเปลี่ยนตัวฮั่วซื่อ และมีความคิดให้อนุปี้กับซูอวี้เป็นผู้ดูแลสกุลซูแทน แค่คิดก็รู้แล้วว่า เขาตั้งความหวังกับอนุปี้สองแม่ลูกไว้สูงมาก

        กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ ที่บอกว่าซูอวี้ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของตน

        หากได้ยินคำพูดนี้จากปากผู้อื่น บางทีซูจ้งอาจไม่นึกสงสัยแน่นอน ทว่าผู้ที่เอ่ยคำพูดนี้เป็นถึงแม่ย่าหวน

        แม่ย่าหวนเป็นคนของซูจ้ง อีกทั้งเป็นคนที่ปรนนิบัติดูแลซูจ้งจนเติบใหญ่ ฉะนั้นซูจ้งไม่มีทางสงสัยในตัวนาง

        “คนผู้นั้นเป็นใคร? ” ซูจ้งถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

        “บ่าว… บ่าวก็ไม่ทราบ คนผู้นั้นมักสวมหน้ากากมาหาทุกครั้ง ปรากฏตัวหลังยามสาม ก่อนฟ้าสางก็จะกลับไป บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้าของเขาเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของแม่ย่าหวนสั่นเครือ

        ซูจ้งโมโหสุดขีด เขาโกรธจนแทบกระอักเป็นเลือด

        จู่ๆ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นพัดเล่มหนึ่ง เมื่อเปิดออกดูก็ยิ่งทำให้เดือดดาลมากขึ้น

        ด้านหน้าของพัดมีภาพวาดดอกบัวเคียงคู่ ด้านหลังมีตัวอักษรตัวหนึ่งเขียนคำว่า “เฉิน”

        “นี่เป็นของที่เขาทิ้งไว้หรือ? ”

        “บ่าว… บ่าวไม่แน่ใจเจ้าค่ะ”

        ซูจ้งรวบสิ่งของทั้งหมดเก็บไว้ในอกเสื้อและลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องขังทันที

        หญิงสาวที่สวมหมวกสานสีดำมีท่วงท่าและสายตาว่องไว นางรีบวิ่งไปขวางทางซูจ้ง

        ดวงตาซูจ้งแดงฉาน “เจ้าคิดจะทำอันใด? ”

        หญิงสาวแย้มยิ้มพูดว่า “เดือดดาลได้ดีมาก! ซูจ้ง เมื่อจัดการปัญหาของซูจิ่นซีและอนุปี้แม่ลูกเสร็จแล้ว ข้ากับชิงหลัวจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเจ้าที่จวนสกุลซู”

         ชิงหลัวเป็นชื่อสกุลก่อนแต่งงานของฮั่วซื่อ

        “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” แววตาของซูจ้งเคร่งขรึม

        “เจ้าควรจะรู้อยู่แล้ว ขอเพียงข้าสมปรารถนา ข้าสามารถช่วยเจ้าออกจากคุกแห่งนี้ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง”

        “ไม่จำเป็น! ”

        ซูจ้งผลักแขนของหญิงสาวที่ยื่นออกมาขวางทางตน และเดินออกไปจากห้องขังอย่างรวดเร็ว

        หญิงสาวมองดูซูจ้งที่เดินจากไป ริมฝีปากปากภายใต้หมวกสานเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ซ่อนแผนการร้าย

        ซูจิ่นซี ครั้งนี้ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะรอดไปได้

        ขณะนี้ภายในศาลพิจารณาคดีเริ่มเกิดความโกลาหล

        ผู้คนที่เฝ้ารอโดยรอบต่างตะโกนถกเถียงกัน ทำให้เสียงยิ่งดังขึ้น พวกเขาล้วนมีคำพูดมากมาย

        ซูจิ่นซีดื่มชาด้วยท่าทีเรียบเฉย ปิดกั้นตนเองจากเสียงทั้งหมด ราวกับนางไม่กังวลใจแม้แต่น้อย

        ฮั่วซื่อกับซูจวิ้นเองก็ไม่กังวลใจเช่นกัน พวกเขาดื่มน้ำชาด้วยท่าทีสบายใจ

        “มาแล้ว มาแล้ว”

        “ผู้นำสกุลซูมาแล้ว”

        “รีบดู ทางนั้น! ผู้นำสกุลซูมาแล้ว”

        “ผู้นำสกุลซู ป้ายคำสั่งสกุลซู เป็นท่านที่มอบให้พระชายาโยวอ๋องใช่หรือไม่? ”

        ซูจ้งยังไม่ทันเดินถึงศาลพิจารณาคดี ผู้คนที่อยู่รอบศาลก็พากันตะโกนสอบถามเสียงดัง

        ทว่าน่าเสียดาย ซูจ้งในขณะนี้กลับมีใบหน้าถมึงทึง เขาไม่พูดจาอันใดสักคำ ทำเพียงเดินเข้าไปในศาลด้วยท่าทางขุ่นเคือง

        ซูจิ่นซีเหลือบเห็นใบหน้าของซูจ้ง จู่ๆ ภายในใจก็รู้สึกได้ถึงลางร้ายล่วงหน้า ซูจิ่นซีวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบาโดยไม่ได้พูดอันใด ปิดซ่อนแววตานิ่งขรึม

        “ท่านพี่ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านแล้ว หลายวันมานี้ท่านพี่อยู่ในคุกคงลำบากมาก ข้าไม่ได้พบท่านพี่ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เฝ้าคอยเพื่อจะได้พบกับท่านพี่!” ฮั่วซื่อร่ำไห้โผเข้าไปในอ้อมกอดของซูจ้ง

        “ท่านพ่อ! ” ซูจวิ้นคุกเข่าลงบนพื้น กอดขาซูจ้งไว้แน่น “ซูจิ่นซีนำป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซูกลับไปที่จวน นางบอกว่าท่านเป็นคนไหว้วานเพื่อให้คัดเลือกผู้สืบทอดผู้นำสกุลซูคนใหม่ เรื่องนี้จริงหรือไม่? ท่านเป็นผู้มอบป้ายคำสั่งผู้นำสกุลให้กับนางใช่หรือไม่?”

        “ใช่ ผู้นำสกุลซู ป้ายคำสั่งผู้นำตระกูล ท่านเป็นคนมอบให้พระชายาโยวอ๋องใช่หรือไม่? ”

        “ท่านเป็นคนมอบใช่หรือไม่? ”

        “ผู้นำสกุลซู ท่านพูดอันใดสักหน่อยเถิด! พวกเราทุกคนมาในวันนี้ ก็เพื่อเป็นพยานในการเผชิญหน้าถามหาความจริงระหว่างท่านกับพระชายาโยวอ๋อง”

        “ท่านพี่ เรื่องนี้จิ่นซีพูดโกหกใช่หรือไม่? จวิ้นเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของท่าน ตามหลักแล้วควรเป็นผู้สืบทอดกิจการสกุลซูคนต่อไป เรื่องการคัดเลือกผู้สืบทอดผู้นำสกุลคนใหม่นั้นไม่มีความจำเป็นอันใดเลย จิ่นซีเป็นคนขโมยแผ่นป้ายไปใช่หรือไม่? ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าและจวิ้นเอ๋อร์ด้วย! ” ฮั่วซื่อสะอึกสะอื้นร่ำไห้น้ำตานองหน้า ราวกับทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

        ซูจ้งนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่

        ฮั่วซื่อร้องไห้อีกครั้งพลางพูดว่า “จิ่นซีแม้จะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ทว่าอย่างไรนางก็ยังเด็ก ขอเพียงท่านพี่ให้ความเป็นธรรมกับข้าและจวิ้นเอ๋อร์ ข้าจะไม่ซักไซ้ไล่เลียงอันใดอีกต่อไป ยังมีอนุปี้กับอวี้เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าท่านรักใคร่อนุปี้และเอ็นดูอวี้เอ๋อร์ที่สุด ข้ารับรองว่าจะดูแลพวกเขาแม่ลูกเป็นอย่างดี รอท่านกลับไปที่จวนด้วยกัน”

        ครั้นเมื่อฮั่วซื่อพูดถึงอนุปี้กับซูอวี้ ความโกรธเคืองที่ควบคุมจิตใจอย่างสุดกำลังพลันระเบิดขึ้นทันที ซูจ้งผลักฮั่วซื่อและสลัดซูจวิ้นออกจากขาของตน

        “ปี้ซื่อกับซูอวี้เล่า? ”

        ซูจิ่นซีตกตะลึง ภายในใจพลันรู้สึกได้ถึงลางร้ายล่วงหน้าที่ชัดเจนมากขึ้น นางจึงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

        ฮั่วซื่อแสดงท่าทีเหมือนตกใจ “ท่านพี่ ท่านเป็นอันใด? ท่านเป็นอันใด? ”

        “ท่านพ่อ! ”

         ในที่สุดซูจิ่นซีก็เปิดปากพูด นางหรี่ตาลงพลางเอ่ยเรียกซูจ้งออกไปหนึ่งคำเพื่อหยั่งเชิง

        ซูจ้งดูเหมือนกำลังควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างหนัก หนวดที่ปลายคางสั่นไหว “ข้าต้องการพบปี้ซื่อกับซูอวี้”

        “วันนี้พวกเรามาด้วยเรื่องป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซู วันนั้นท่านพ่อเป็นคนมอบป้ายคำสั่งให้ลูกกับมือตอนอยู่ในคุก ท่านสั่งให้ลูกกลับไปที่จวนเพื่อทำการคัดเลือกผู้สืบทอดสกุลซูคนใหม่ และฟื้นฟูกิจการของสกุลซู วันนี้ท่านแม่และทุกท่านในที่นี้ต่างสงสัยและเข้าใจผิดในตัวลูก ท่านพ่อโปรดเป็นพยานให้ลูกด้วย”

        ทุกคำทุกประโยคที่ซูจิ่นซีพูดออกไป สายตาของนางล้วนจับจ้องไปที่ดวงตาทั้งสองของซูจ้ง

        ในเวลานี้ ผู้คนที่ส่งเสียงอึกทึกต่างนิ่งเงียบขึ้นในบัดดล ทุกคนเงียบกริบ เพื่อรอฟังคำตอบของซูจ้ง

        ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจ้งก็ไม่ปริปากพูดสักคำ

        “นี่มันเรื่องอันใดกันแน่? ” จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยปากถามขึ้น

        “ผู้นำสกุลซู ท่านพูดอันใดสักหน่อยเถิด! ป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซู ท่านเป็นคนมอบให้พระชายาโยวอ๋องหรือไม่? การคัดเลือกผู้สืบทอดคนใหม่อีกครั้งเป็นความคิดของท่านใช่หรือไม่? ”

        “ใช่! ท่านพูดบ้างเถิด! วันนี้การแข่งขันคัดเลือกผู้สืบทอดตระกูลคนใหม่เพิ่งเสร็จสิ้น ผู้ที่ได้รับเลือกคือคุณชายน้อยอวี้แห่งสกุลซู ทว่าไม่ใช่ซูจวิ้นบุตรชายคนโต ผู้ใดควรเป็นผู้สืบทอดกิจการของสกุลซูกันแน่ ท่านพูดอันใดบ้างเถิด! ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของซูจ้งเต็มไปด้วยความโกรธ นอกจากนั้นเวลาที่เขาได้ยินชื่อของซูอวี้ก็ยิ่งมีอารมณ์รุนแรงมากขึ้น

        เขาเป็นอันใดไปแล้ว?

        เส้นทางเดินจากคุกมาจนถึงศาลพิจารณาคดีใช้เวลานานมาก เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?

        ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ขบคิดปัญหานี้ให้ละเอียด ซูจ้งก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าต้องการพบกับปี้ซื่อสองแม่ลูกก่อน จึงจะสามารถยืนยันว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร”

        ซูจ้งกล่าวเสียงเบาเพื่อพูดกับซูจิ่นซี ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นจึงไม่ได้ยิน

        ต้องการพบอนุปี้กับซูอวี้?

        ครั้งนี้ซูจ้งต้องการจะทำอันใด?

        อีกทั้งตอนนี้อนุปี้กับซูอวี้ยังบาดเจ็บอยู่! มิหนำซ้ำอนุปี้เองยังมีอาการเป็นตายเท่ากัน ตอนนี้จะรอดหรือตายยังไม่รู้ แล้วจะมาพบกับซูจ้งได้อย่างไร

        ทว่าซูจิ่นซีเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าซูจ้งโดนเป่าหูอย่างไรบ้าง เขาเป็นคนพูดข้อตกลงกับนางเมื่อตอนอยู่ในคุก

        ทว่าเวลานี้ ในใจของเขาเริ่มลังเล

        เรื่องนี้คงเป็นลางบอกเหตุไม่ดีบางอย่างเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นตัวนางเองหรืออนุปี้สองแม่ลูก

        ให้ซูจ้งพบกับอนุปี้สองแม่ลูกดีหรือไม่?

        แล้วจะพบอย่างไร?