สือเสี่ยวจู้ดวงตาเปล่งประกาย แต่สุดท้ายยังคงส่ายหน้า “ผมเห็นด้วยที่จะออกไปศึกษาข้างนอก เรียนรู้ แต่พ่อจะมาลงทุน? ไม่ได้ มันไม่สนุก ผมอยากลองพยายามด้วยตัวเองก่อน ดูว่าจะเป็นยังไง”
“ได้! ตามใจแกเลย ไป ไปดื่มกัน!” สื่อต้าจู้ดีใจมาก ในที่สุดลูกชายที่เหมือนกับน้ำตายก็คิดได้ ในที่สุดก็คืนชีพ ดีใจโว้ย!
ทว่าสื่อต้าจู้เข้าใจว่าด้วยนิสัยนี้ของลูกชาย ออกไปข้างนอกมีโอกาสสูงมากที่จะเจอทางตัน เก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก สร้างธุรกิจ? เรียนรู้? มันง่ายขนาดนั้นเลย? สุดท้ายอาจจะสืบทอดกิจการของตน ทว่าเป็นบุพการีก็ต้องมีความหวังนิดๆ ถ้าสำเร็จล่ะ? อย่างน้อยเขาก็เดินออกมาจากในเงามืด เป็นคนเป็น ไม่ใช่ท่อนไม้ คิดได้ดังนั้นสื่อต้าจู้ก็พอใจแล้ว…มิหนำซ้ำยังมีอีกความคิดหนึ่ง ขอเพียงสือเสี่ยวจู้พยายามก็อาจจะไม่ล้มเหลวไปซะทุกเรื่อง
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าเรื่องราวสั้นๆ หลังสื่อต้าจู้กลับไปกับสือเสี่ยวจู้ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็โล่งอก
เพราะเมื่อผ่านไปทีละวัน การประกาศโฆษณาหนังล่มเมืองที่เพิ่งเริ่มค่อยๆ ซาลง กระแสนิยมของวัดเอกดรรชนีค่อยๆ ผ่านไป ญาติโยมที่มาก็เริ่มมีเหตุผล ไม่ใช่แต่จะมาจับหลวงจีนกับลิงไปถ่ายรูป ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีบุพการีพาลูกมาวัดเอกดรรชนีเพื่อชมสวนสัตว์ฟรีอีกด้วย…
ญาติโยมเริ่มลดลง แต่ก็ยังมีแนวโน้มไปทางความมั่นคง ทุกวันจะมีคนมาห้าหกคน ช่วงเวลาดีๆ จะมีมาถึงยี่สิบกว่าคน นี่คือญาติโยมจริงๆ มาจุดธูปขอพร จะถามคำถามฟางเจิ้งเป็นบางครั้ง ฟังฟางเจิ้งสวดมนต์เคาะมู่อวี๋ ในวัดเอกดรรชนีถึงกลับมากลมกลืนและเงียบสงบดังวันวาน
แต่ช่วงเวลานี้มาถึงปลายทางอย่างรวดเร็ว…
เมื่อเงินจัดสรรจากรัฐบาลมาถึง พวกคนงานเริ่มเข้าไปในหมู่บ้าน แต่หลักๆ แล้วคือการขยายเส้นทางหมู่บ้านเอกดรรชนี ขณะเดียวกันถานจวี่กั๋วโทรศัพท์หาสื่อต้าจู้ สื่อต้าจู้พูดคำไหนคำนั้น ตบอกรับคำทันทีว่าจะแก้ปัญหาเรื่องหินให้!
ในวันเดียวกันหินต่างๆ เริ่มทยอยส่งมาที่นี่ แต่ทั้งหมดเป็นหินที่สื่อต้าจู้เหลือมาตลอดในช่วงหลายปีมานี้ ขายก็ขายไม่ดี เก็บไว้เปลืองพื้นที่ จึงให้เป็นน้ำใจได้พอดี
เงินจัดสรรจากรัฐบาลมีไม่มาก จึงไม่คิดจะเริ่มซ่อมเส้นทางขึ้นเขา แต่ในเมื่อแก้ปัญหาวัสดุได้แล้ว ที่เหลือก็แค่คนงาน อันนี้แก้ง่าย ดังนั้นในอำเภอจึงตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าจะซ่อมไปพร้อมกันเลย!
ฉะนั้นกลุ่มคนงานก่อสร้างจึงแบ่งคนงานไปสามคนเข้าไปในภูเขาเอกดรรชนี ศึกษาภูมิประเทศ สามคนนี้ขึ้นเขาไปๆ มาๆ หลายรอบ แต่ไม่เคยขึ้นไปถึงยอดเขาเลย
วันนี้ ในที่สุดสามคนนี้ก็มาถึงยอดเขา
เซี่ยหมิงเอามือป้องแดดมองวัดไกลๆ เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย “รัฐบาลรวยจังเลยนะ ถึงวิวบนเขาจะดี แต่ที่เล็กมาก อย่างมากก็เป็นจุดชมวิวเล็กๆ จะลงทุนซ่อมถนนที่แบบนี้ทำไม?”
“แกไม่ได้อ่านข่าวเหรอ? กองถ่ายล่มเมืองถ่ายหนังกันที่นี่ รอหนังล่มเมืองฉายก่อน ที่นี่ดังพลุแตกแน่ อีกอย่างบนเขามีวัดหนึ่งด้วย ขอแค่โฆษณาให้ดีๆ เรื่องกำไรไม่น่าใช่ปัญหา” ชายวัยกลางคนอีกคนกล่าว
“อาจารย์ อันนั้นผมรู้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าที่นี่มีอะไรให้น่าลงทุน” เซี่ยหมิงตอบ
“ได้ยินว่าวัดนั้นศักดิ์สิทธิ์มากนะ ชาวบ้านตรงตีนเขาบอกมาว่าไม่มีลูกมาขอลูกปุ๊บได้เลย ไม่รู้ว่าจริงไหม…” ชายวัยกลางคนนามหลิ่วเทาว่า
“ชาวนากินแต่ผักเขียว วันๆ เอาแต่ทำนา อย่างมากก็ร่างกายเหนื่อยล้า จะไม่มีลูกได้ยังไง มาขอลูกจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ได้เหรอครับ? ทำไมพวกเขาไม่ขอให้ร่ำรวยล่ะ? ถ้าขอให้ร่ำรวยได้ นั่นต่างหากที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ของจริง” เซี่ยหมิงไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เขาซ่อมถนนมาหลายปี เคยไปวัดมาไม่น้อย ไม่สนใจเรื่องนับถือพุทธหรือไม่นับถือ เพียงแค่ผ่านทางก็เท่านั้น เขาไม่รู้สึกขาดหายอะไรถ้าไม่นับถือพุทธ แต่ควรจะพยายามเพื่อให้ได้สิ่งที่ควรจะได้มากกว่า
“แกนี่รู้จักแต่เงิน ถ้าแกนับถือพุทธก็เข้าไปจุดธูปไหว้พระดีๆ ไม่นับถือก็พูดเรื่องที่จับต้องไม่ได้แบบนี้ให้น้อยๆ หน่อย รีบไปทำงาน เสร็จแล้วจะได้ลงเขาไปกินข้าว” หลิ่วเทาด่ายิ้มๆ
เซี่ยหมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนตามไปทำงาน
ฟางเจิ้งได้รับโทรศัพท์จากหวังโอ้วกุ้ยแต่เช้า รู้ว่าเงินจัดสรรของรัฐบาลมาแล้ว คนงานเริ่มงานกันตรงตีนเขาแล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าเช้าตรู่แบบนี้จะเห็นคนงานก่อสร้างขึ้นเขามา ทว่าฟางเจิ้งไม่ได้คิดจะไปดู แต่เตรียมกลับไปอ่านคัมภีร์ฆ่าเวลา
สรุปแล้วก็ยังอดเปิดเนตรสวรรค์มองสามคนนี้แวบหนึ่งไม่ได้ ตอนที่มองผ่านหลิ่วเทา ภาพตรงหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง!
กลางเขา หลิ่วเทากำลังก้มหน้าวัดอะไรบางอย่าง ตอนนี้เองพลันเกิดเสียงดังโครมเหนือหัว หินก้อนใหญ่ส่งเสียงดังสนั่น ตกใส่หมวกนิรภัยของหลิ่วเทาจนแตก บนศีรษะเป็นสีแดงเลือด เขาล้มลงกับพื้น เป็นตายยังไงไม่ทราบ…
จากนั้นภาพกลับมาเป็นปกติ ฟางเจิ้งตะลึงงัน ไม่นึกว่าผ่านมานานขนาดนี้ มองไปหลายคนมาก วันนี้เจอกับคนที่จะประสบภัยอีกแล้ว แต่ปัญหาคือถึงเขาจะเห็นจุดที่หลิ่วเทาอาจจะเกิดอุบัติเหตุ และด้วยความคุ้นชินต่อภูเขาเอกดรรชนีทำให้มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือที่ไหนก็ตาม ทว่าเวลาล่ะ? ฟางเจิ้งพบว่าเขาไม่รู้ช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างมากก็รู้ว่าเป็นกลางวันภายในหนึ่งสัปดาห์…แล้วจะช่วยยังไง?
ฟางเจิ้งมองสามคนด้วยความขมขื่นแวบหนึ่ง ก่อนถอนหายใจแล้วหมุนตัวกลับวัดไป
“อาจารย์ เมื่อกี้เณรมองอาจารย์ตลอดเลย” เซี่ยหมิงกล่าว
หลิ่วเทาขมวดคิ้ว “คงไม่เคยเห็นคนงานก่อสร้างล่ะมั้ง ปกตินะ เมื่อก่อนเคยไปซ่อมถนนในถิ่นภูเขาห่างไกล มีคนมามุงดูเลยล่ะ เสี่ยวเหลย ทางนั้นเป็นไงบ้าง?”
“โอเคแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อย พรุ่งนี้เริ่มงานได้เลยครับ” วัยรุ่นคนหนึ่งโบกมือ เขาชื่อว่าเหลยเซี่ยงเจี๋ย
“ไม่มีปัญหาก็ดี ไปเถอะ ลงเขากัน” หลิ่วเทาพูดจบก็เรียกเซี่ยหมิงเตรียมลงเขา
ตอนนี้เองเสียงสวดดังขึ้นข้างหลัง “อมิตาพุทธ ประสกทั้งสาม อาตมาเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี นามทางธรรมฟางเจิ้ง ขอถามหน่อยว่าพวกโยมเตรียมจะเริ่มซ่อมถนนเส้นนี้เมื่อไร?”
“เจ้าอาวาสเกรงใจไปแล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็จะเริ่มงานพรุ่งนี้ พวกเราดูเส้นทางภูเขานี่หลายรอบแล้ว ไม่มีปัญหาเลย” หลิ่วเทาตอบกลับอย่างมีมารยาท
ฟางเจิ้งถามด้วยความตกใจ “เริ่มพรุ่งนี้เหรอ?” เดิมทีฟางเจิ้งคิดว่าต้องรออีกหลายวัน ถ้ารอหกเจ็ดวันเขาก็จะกำหนดเวลาเกิดเรื่องได้ แต่ตอนนี้เป็นปัญหาแล้ว…
“ทำไมล่ะครับ เจ้าอาวาสไม่อยากให้พวกเราเริ่มงาน?” เซี่ยหมิงถามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ซ่อมถนนเป็นเรื่องดี แต่เณรทำหน้าแบบนี้ อาจจะไม่รู้จักดีชั่วไปหน่อยรึเปล่า
ฟางเจิ้งส่ายหน้าโดยพลัน “ไม่ใช่อยู่แล้ว ในเมื่อเริ่มงานพรุ่งนี้ อาตมาไม่รบกวนพวกโยมแล้ว อืม…อาตมาว่าจะลงเขาไปเปลี่ยนบรรยากาศเหมือนกัน ขอลงไปพร้อมกับพวกโยมเลยแล้วกันนะ”
…………………….