ได้ยินฟางเจิ้งว่าแบบนั้น เซี่ยหมิงก็เบาใจลงไม่น้อย หลิ่วเทากับเสี่ยวเหลยย่อมไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว กลุ่มคนสี่คนจึงลงเขาไป
ฟางเจิ้งจับตามองวิวรอบๆ ตลอดทาง เมื่อมาถึงจุดที่เกิดเรื่องจะชิดหลิ่วเทาเป็นพิเศษ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะช่วยได้ทัน
ทว่าเมื่อภาพนี้อยู่ในสายตาเซี่ยหมิง หลิ่วเทาและเสี่ยวเหลย เซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยมองฟางเจิ้งกับหลิ่วเทาด้วยแววตาแปลกๆ หลิ่วเทายังรู้สึกไม่เป็นตัวเอง มักจะอยากออกห่างจากฟางเจิ้งเล็กน้อย ทว่าเส้นทางภูเขาแคบ ฟางเจิ้งเข้ามาชิดแบบนี้เขาไม่มีที่หลบ ได้แต่แอบระวังตัว
ลงเขามา ฟางเจิ้งบอกลากับทุกคน จากนั้นขึ้นเขาไปอีกครั้ง
เซี่ยหมิงกลืนน้ำลายลงคอ “อาจารย์ หลวงจีนนี่มีอะไรกับท่าน! บอกว่าลงเขามีธุระ แต่ลงมาแล้วก็ขึ้นไป…มีธุระตรงไหนเนี่ย แบบนี้มีแผนการชัดๆ!”
“อาจารย์ผมเห็นนะ ตอนที่ท่านลงเขามาก้นเกร็งตลอดเลยนี่” เสี่ยวเหลยพูดกลั้วหัวเราะ
“อาจารย์ จริงๆ นะ เณรนั่นสวยมาก ถ้าไว้ผมยาว สวมชุดผู้หญิงล่ะก็ จึ๊ๆ…” เซี่ยหมิงยิ้มชั่วร้าย
“ไอ้ห่า! แล้วพวกแกล่ะ? จะบอกให้นะ ห้ามพูดจามั่วซั่ว ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าฉันสับพวกแกล่ะ!” หลิ่วเทาต่อว่าด้วยความโมโห ในใจคับอกคับใจเช่นกัน เขารู้สึกได้เป็นคนแรก ระหว่างทางขมิบร่องก้นลงเขา ขณะเดียวกันก็แอบสาบานว่าจะต้องรักษาระยะห่างจากเณรที่มีปัญหานั่น!
แม้จะคิดแบบนี้ แต่พอหลิ่วเทานึกถึงหลวงจีนบนเขาเอกดรรชนีกลับไม่เป็นตัวเองไป แถมยังมีคนอื่นมักจะมองเขาด้วยแววตาแปลกๆ เหมือนลับหลังแอบคุยอะไรกัน
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าเพราะการกระทำของตนทำให้หลิ่วเทาฉงน เวลานี้กำลังนั่งอ่านคัมภีร์อยู่ในลานวัดอย่างสงบ
วันที่สองฟ้าสาง ฟางเจิ้งตื่นนอนแล้ว เขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนงานจะเริ่มทำงานเมื่อไร จึงตื่นเช้าหน่อย เตรียมตัวให้เร็วหน่อย
กวาดอุโบสถ กินข้าว ให้ลิงกวาดใบไม้ต่อ ส่วนเขาลงเขามาถึงจุดที่จะเกิดเรื่อง ก่อนเงยหน้ามองข้างบน ข้างบนมีหินใหญ่ก้อนหนึ่งจริงๆ แต่หินนี่เป็นส่วนเดียวกับภูเขา ดูแน่นหนามาก การจะใช้มือเปล่าเอาลงมาเพื่อเลี่ยงอันตรายก่อนเวลานั้นเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเงื่อนไขนี้ยังใช้วิธีปืนขึ้นหน้าผาไปไม่ได้ ดังนั้นเลยได้แต่ใช้วิธีโง่ๆ ยืนรออยู่ตรงนี้!
ตอนนี้เองหลิ่วเทา เซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยสามคนและกลุ่มคนงานก่อสร้างมาถึงตีนเขาแล้ว บ้างยกหิน บ้างขนส่งแผ่นหิน บ้างเปิดเครื่องจักร ต่างแบ่งงานกันไป
หลิ่วเทา เซี่ยหมิงและเสี่ยวเหลยสามคนย่อมอยู่ว่างไม่ได้ เซี่ยหมิงไปทำงานกับเสี่ยวเหลย หลิ่วเทารับผิดชอบการตรวจตรา ขณะเดียวกันวิศวกรวางแผนการทำงาน ตรวจดูสภาพภูเขาตรงหน้า สรุปซ่อมไปได้ไม่ไกลก็มีคนร้องขึ้น “บนถนนมีหลวงจีนยืนอยู่ครึ่งวันแล้ว ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่”
หลิ่วเทาได้ยินดังนั้นก็ขมิบร่องก้นโดยจิตใต้สำนึก มองไปทางเซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลย เจ้าเด็กเลวสองคนนี่เม้มปากแอบหัวเราะ
เซี่ยหมิงยังพูดต่อ “นายน่าจะมองผิดนะ ใช่หินมองสามีรึเปล่า?”
“ไปหาพ่อเอ็งนู่นไป!” หลิ่วเทาถือจอบเหล็กขึ้นมาวิ่งไล่ เซี่ยหมิงหัวเราะเสียงดังก่อนวิ่งหนีไป ก่อเรื่องกันสักครู่ เซี่ยหมิงว่า “อาจารย์ แบบนี้ไม่ได้เรื่องนะ ทำไมอาจารย์ไม่ไปถามหลวงจีนนั่นว่าจะทำอะไรกันแน่ ถ้าไม่มีเหตุผลเหมาะสม อาจารย์ก็บอกว่าจะซ่อมถนน ให้เขาหลีกทาง ถ้าไม่อย่างนั้นจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
หลิ่วเทาคิดแล้วก็มีเหตุผลจริงๆ ดังนั้นจึงขึ้นเขาไป เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่กลางภูเขาอย่างสงบนิ่ง เงยหน้ามองฟ้าไม่รู้กำลังมองอะไร ฟ้าคราม ภูเขาเขียวขจี หลวงจีนจีวรขาว ตามหลักแล้วนี่เป็นภาพงดงามถึงจะถูก แต่ว่า…พอนึกถึงการกระทำแปลกๆ ของหลวงจีนเมื่อวาน หลิ่วเทาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
หลิ่วเทาเดินเข้าไปถาม “หลวงพี่ มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”
ฟางเจิ้งมองหลิ่วเทาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมากำลังมองฟ้า มองภูเขา ไม่มีอะไร”
“คืออย่างนี้ครับ พวกเรากำลังซ่อมถนน ถ้าหลวงพี่ไม่มีธุระอะไร ขอพื้นที่ได้ไหมครับ?” หลิ่วเทากล่าว
แต่ฟางเจิ้งกลับส่ายหน้า “อาตมากำลังช่วยคน”
“ช่วยคน? หลวงพี่ หมายความว่าไงกัน ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วจะช่วยใคร?” หลิ่วเทาถาม ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ภายใต้แววตาฟางเจิ้งที่มองหลิ่วเทา หลิ่วเทาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ฟางเจิ้งเอ่ยว่า “อาตมาช่วยคนที่มีวาสนาต่อกัน ใครมีวาสนาต่อกันก็ช่วยคนนั้น”
หลิ่วเทาฟังจนมึนงง “หลวงพี่ มีคนที่มีวาสนาไหมผมไม่รู้ แต่ท่านยืนทั้งวัน พวกเราทำงานกันไม่สะดวก”
ฟางเจิ้งยังคงส่ายหน้า “อาตมาจะอยู่ที่นี่หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนื้ จะไม่ไปไหน”
หลิ่วเทาจะพูดบางอย่าง แต่หัวหน้าคนงานส่งเสียงดังแว่วมาจากข้างล่าง เหมือนเรียกให้เขาไปทำอะไรสักอย่าง เห็นว่าพูดด้วยไม่ได้ จึงได้แต่ลาไปด้วยความจนปัญญา เพียงแต่กลับด่าทอในใจ ‘หลวงจีนนี่บ้าแล้ว…’
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังหลิ่วเทาเหมือนมีความคิด จากความเร็วของพวกเขา การซ่อมมาถึงที่นี่น่าจะใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่ไหวจริงๆ หรือจะมาใหม่ตอนนั้น? ไม่อย่างนั้นยืนอยู่ทุกวันก็ไม่ใช่เรื่อง ถึงวัดเขาจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะซ่อมถนนทำให้ญาติโยมมาไม่ได้ ซ้ำยังว่างจนไม่รู้จะทำอะไรแล้วก็ตาม ทว่าก็ต้องทำความสะอาดอุโบสถ สัตว์สามตัวนั่นต้องกินข้าว นี่ก็เป็นงานเหมือนกัน…
ฟางเจิ้งคิดอะไรเหม่อๆ หลิ่วเทารู้สึกว่าสายตาข้างหลังแปลกไป หันไปมองก็เห็นฟางเจิ้งจ้องเขาพอดี พลันรู้สึกขนลุก จึงรีบลงเขาไป
เซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยถาม หลิ่วเทาส่ายหน้าตรงๆ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนไปทำงานที่ควรจะทำ
จากวันนี้ไปเหล่านายช่างซ่อมถนนต่างเห็นภาพแปลกประหลาด ทุกวันจะมีหลวงจีนหัวโล้นรูปหนึ่งยืนอยู่กลางภูเขา ยืนหนึ่งวัน ไม่รู้กำลังทำอะไร มีคนได้ยินข่าวลือกระซิบมาว่าหลวงจีนรูปนี้กำลังรอคน บ้างบอกว่ากำลังตระหนักพระธรรม แต่ก็ยังมีคนเล่าเรื่องที่ต้องพูดระหว่างฟางเจิ้งกับหลิ่วเทาต่อๆ กันไป ตอนนี้แววตาที่ทุกคนมองฟางเจิ้งกับหลิ่วเทาแปลกไป
ฟางเจิ้งไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังเล่าต่ออะไรกัน ถึงจะรู้สึกว่าแววตาแปลกๆ แต่ก็ไม่สนใจ
แต่หลิ่วเทารู้ ทุกวันจะพะว้าพะวังไม่เป็นสุข…ถึงช่วงท้ายๆ แม้แต่หัวหน้าคนงานยังรู้เรื่องระหว่างพวกเขาสองคน จึงดึงหลิ่วเทาไปเงียบๆ “หลิ่วเทา นายรู้จักกับหลวงจีนนั่นไม่ใช่เหรอ?”
“รู้จักก็บ้าแล้ว! เหล่าเกอ[1] คุณคงไม่คิดว่าผมมีความสัมพันธ์อะไรกับเขาหรอกนะ?” หลิ่วเทาโกรธจวนจะระเบิดแล้ว
หัวหน้าคนงานหัวเราะเบาๆ “มีไม่มีฉันไม่รู้ แต่หลวงจีนนั่นยืนอย่างนั้นทุกวัน ส่งผลไม่ดีจริงๆ นะ ทำไมนายไม่ไปคุยกับเขาหน่อยล่ะ?”
“ไม่ไป! เขาชอบยืนก็ให้ยืนไปเถอะ เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ!” หลิ่วเทาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ตอนนี้เขาไม่อยากเจอหน้าฟางเจิ้งแล้ว
………………………
[1] เหล่าเกอ คำเรียกผู้ชายที่อายุมากกว่าตนเล็กน้อยด้วยความเคารพ