หัวหน้าคนงานไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ไปหาหวังโอ้วกุ้ย

หวังโอ้วกุ้ยได้ยินหัวหน้าคนงานว่าพลันหัวเราะ “เหล่าเกอ คุณคิดไปถึงไหนกัน? พวกเราเห็นหลวงพี่ฟางเจิ้งมาตั้งแต่เล็ก บุคลิกลักษณะไม่มีปัญหาแน่นอน และก็ไม่ใช่อย่างที่คุณว่าด้วย เขายืนตรงนั้นจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ขอแค่ไม่รบกวนงานพวกคุณ คุณก็อย่ากังวลไปเลย”

“ไม่ใช่ว่าผมกังวล แต่เขายืนอยู่ตรงนั้นทุกวัน คุณว่าไม่มีอะไรผมก็ว่าตามนั้น แต่คือหยุดที่ทุกคนคุยกันไม่ได้ ที่ก่อสร้างดีๆ ใกล้จะกลายเป็นกลุ่มเกย์ซุบซิบกันแล้ว” หัวหน้าคนงานบ่น

“เอาเถอะ ผมจะไปดู ถ้าเขามีธุระจริงๆ คุณก็อย่าสนเลย ถ้าเขาไม่มีอะไรผมจะโน้มน้าวให้เขากลับตกลงไหม?” หวังโอ้วกุ้ยพูดยิ้มๆ

“ตกลง! เอาแบบนี้ล่ะ! ผมจะรอข่าวดีจากคุณนะ” หัวหน้าคนงานว่า

หวังโอ้วกุ้ยพยักหน้าแล้วขึ้นเขาไป เห็นฟางเจิ้งอยู่กลางภูเขาจริงๆ จึงยิ้มแห้งๆ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง มาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

“ช่วยคน” ฟางเจิ้งตอบ

“ชะ…ช่วยคน?” หวังโอ้วกุ้ยมองไปรอบๆ นอกจากเขากับฟางเจิ้งแล้วไม่มีใครอื่น จึงเอ่ยอย่างให้ความร่วมมือมากว่า “ช่วยฉันเหรอ?”

ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “อมิตาพุทธ โยม อาตมากำลังช่วยคนจริงๆ ส่วนช่วยใคร บอกได้แค่ว่าช่วยคนที่มีวาสนาต่อกัน ถ้าโยมอยากให้อาตมาช่วย อาตมาก็ไม่ถือสา”

หวังโอ้วกุ้ยมองค้อน “เจ้าเด็กนี่ กำลังด่าฉันอยู่รึเปล่า ฉันไม่ต้องให้แกมาช่วยหรอก คือเอ่อ จะไม่หลีกทางให้จริงๆ เหรอ?”

“ไม่” ฟางเจิ้งตอบอย่างมั่นใจมาก

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ฉันเสร็จหน้าที่แล้ว ไปล่ะ” หวังโอ้วกุ้ยเข้าใจฟางเจิ้งมาก เป็นเส้นเอ็นหนึ่งเส้น ดื้อรั้นในเหตุผลของตน ในเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะยืนอยู่ที่นี่ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์

หัวหน้าคนงานเห็นหวังโอ้วกุ้ยไปยังไม่มีประโยชน์จึงล้มเลิกความคิดไป ขี้คร้านจะสนใจแล้ว ทุกคนควรทำอะไรก็ทำให้ดีเถอะ…

ตอนแรกหลิ่วเทารู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ต่อมาเห็นว่าฟางเจิ้งแค่ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่ได้ลงมารบกวนเขาเลย กระทั่งด้วยความที่เป็นเส้นทางภูเขาจึงมองไม่เห็นกัน เขาถอนหายใจโล่งอก เย้ยเยาะตัวเอง “เราคงคิดมากไปจริงๆ เขาเป็นนักบวช ไม่เอาผู้หญิง จะมาชอบผู้ชายแก่ๆ อย่างฉันได้ยังไง?”

คิดได้ดังนั้นหลิ่วเทาพลันนึกถึงคำพูดที่ถามฟางเจิ้งก่อนหน้าว่ายืนทำอะไร? อีกฝ่ายตอบว่ากำลังช่วยคน

แต่ว่าช่วยใคร?

คนที่มีวาสนาต่อกัน?

พอนึกถึงเหตุการณ์ตอนลงเขาที่ฟางเจิ้งชิดเขาตลอด หรือว่าเขาจะเป็นคนที่มีวาสนา?

‘ไม่มีทาง เขาเป็นนักบวช หรือว่าจะรู้อนาคต? อีกอย่างจะเกิดเรื่องอะไรกับฉันได้? จะหลอนไปเองไม่ได้…ถ้าตระหนกจะเกิดปัญหาเอาได้ง่ายๆ’ ถึงยังไงก็เป็นคนผ่านทาง ไม่นานก็คิดได้ หลิ่วเทาสงบจิตใจลง ทำงานปลอดภัย ทำสิ่งดี เขาไม่คิดว่าตนจะมีอันตรายอะไร

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่สามเกิดเสียงฟ้าร้องข้างนอก ฝนตกหนัก กลุ่มคนงานต้องหยุดงาน ตอนนี้เองหลิ่วเทาเห็นว่าหลวงจีนกลางเขาหายไปแล้วจึงโล่งอก แต่ก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นพวกต้มตุ๋น บอกว่ายืนช่วยคน แต่ผ่านไปหลายวันแล้วไม่เห็นช่วยใครเลย แต่โดนฝนตกหนักจนหนีไปแล้ว…

หลิ่วเทาส่ายหน้าพลางพูดงึมงำ “หลวงจีนนี่น่าเอือมระอาจริงๆ”

ฝนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาเร็วไปเร็ว พายุพัดมา เมฆมา พายุพัดเมฆไปอีก สายลมพัดมาตลอดทางพร้อมกับฟ้าแลบ ดังเปรี้ยงปร้างแล้วก็จบลงเหมือนกับนิสัยของคนทางภาคเหนือ…

เมื่อสภาพอากาศแจ่มใส ทุกคนทยอยกันเดินออกมาจากห้องพักคนงานชั่วคราว เตรียมทำงานต่อ หลิ่วเทายกมือขึ้นป้องแดดเงยหน้ามองไปตามจิตใต้สำนึก มองไปทางภูเขาเอกดรรชนีไกลๆ กลางภูเขาเหมือนมีร่างเงาสีขาวนั้นเพิ่มมาอีก และยังเป็นตรงนั้น ทำแบบเดิม…

“เจ้านี่ยึดมั่นจริงๆ เจอแบบนี้แล้วทำไมไม่ไปอ่านคัมภีร์เพิ่มสักสองบท? แสร้งทำให้ดูลึกลับมันขายหน้าตัวเองเปล่าๆ ใครจะเชื่อเขา?” หลิ่วเทาพึมพำ

“อาจารย์ หลวงจีนนี่เอาเรื่องจริงๆ นะ ยึดมั่นใช้ได้” เซี่ยหมิงกล่าว

หลิ่วเทาส่ายหน้า “อย่าสนใจเขา เพิ่งฝนตก ขึ้นไปดูสภาพบนเขา เดี๋ยวหินโคลนถล่มจากฝนตกหนักจะเป็นอันตราย”

“ครับ” เซี่ยหมิงขานรับก่อนเรียกเสี่ยวเหลย จากนั้นสามคนขึ้นเขาไปอีกครั้ง

ไม่นานสามคนก็เห็นฟางเจิ้งยังคงยืนอยู่ข้างทาง

หลิ่วเทามองฟางเจิ้งพลางพูดด้วยความจนปัญญานิดๆ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ไม่เห็นมีใครให้ท่านช่วยเลย รีบกลับไปเถอะครับ”

เซี่ยหมิงเอ่ยเช่นกัน “ใช่ ท่านมาอย่างนี้ทุกวันเหมือนกับเข้างานเลย มาเช้ากว่าพวกเราอีก ไปก็ไปช้ากว่าพวกเรา ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เสี่ยวเหลยพูดเช่นกัน “หลวงพี่ฟางเจิ้งรีบกลับไปเถอะ”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ยังส่ายหน้า “พวกโยม ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปทำในสิ่งที่ควรเถอะ อาตมาจะยืนอยู่ตรงนี้”

สามคนจนปัญญาแล้ว อีกฝ่ายไม่ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สนใจ สามคนเดินขึ้นเขาต่อไป แต่เส้นทางภูเขาแคบ สี่คนเรียงหน้ากระดานขึ้นไปไม่ได้ หลิ่วเทาเป็นอาจารย์ มีภาระหน้าที่รับผิดชอบ แน่นอนว่าต้องเดินนำหน้า เซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยเดินตามหลัง ชั่วขณะที่หลิ่วเทาจะเฉียดผ่านฟางเจิ้งนั้น…

แกรก…

เสียงหินแตกดังขึ้น จากนั้นตามด้วยเสียงโครม หลิ่วเทาร้องในใจว่าแย่แล้ว จะต้องเกิดเรื่อง! เขาแทบจะผลักฟางเจิ้งโดยไม่รู้ตัว! แต่พบสิ่งที่น่าตกใจคือผลักฟางเจิ้งไม่ไปราวกับหินใหญ่! ขณะเดียวกันฟางเจิ้งยกฝ่ามือขึ้นตบใส่อากาศ!

ได้ยินเพียงเสียงปัง หินใหญ่เท่าหัวคนสองคนถูกฟางเจิ้งใช้ฝ่ามือผ่า พังทลายลอยไปตกลงหน้าผา เศษหินที่เหลือทั้งหมดยังถูกตบปลิวไปในชั่วพริบตาที่ฟางเจิ้งโบกแขนเสื้อจีวร จากนั้นเก็บแขนเสื้อ ประนมสองมือสวดบทหนึ่งกับสามคนที่ตาค้างอ้าปากกว้าง “อมิตพุทธ โยมทั้งสามตามสบาย”

พูดจบฟางเจิ้งหมุนตัวเดินจากไป!

เห็นฟางเจิ้งหายเข้าไปในมุมเลี้ยวของเส้นทางภูเขา สามคนถึงได้สติกลับมา มองตากันพร้อมร้องด้วยความตกใจพร้อมกัน “ผู้วิเศษ!”

“นี่ใช่คนเหรอ? หินตกลงมาสูงขนาดนั้น ใช้ฝ่ามือเดียวฟันเละเลย!” เสี่ยวเหลยทำหน้าตาเหลือเชื่อ

เซี่ยหมิงเห็นชัดว่าฟางเจิ้งไม่ได้ขยับเลย วินาทีที่หินตกลงมาถึงขยับ รวดเร็วปานสายฟ้า แต่กลับไม่ตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งว่าทุกอย่างอยู่ในการประมาณการล่วงหน้า ฝ่ามือนั้นที่ตบไปยังมีความรู้สึกของเซียน สง่างามเป็นธรรมชาติ…ทว่าผลที่ได้ เขาสาบานว่าชีวิตนี้ไม่เคยเห็นใครที่รุนแรงและรวดเร็วแบบนี้มาก่อน!

ทว่าคนที่ตกใจที่สุดคือหลิ่วเทา เขาเห็นหัตถ์ฟางเจิ้งไม่ชัด แต่รู้ว่าถ้าไม่มีหัตถ์นั่นเขาตายแน่!

พอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ถามว่าฟางเจิ้งกำลังทำอะไร ฟางเจิ้งตอบว่า ‘ช่วยคน! ช่วยคนที่มีวาสนาต่อกัน!’

พอคิดเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ที่ฟางเจิ้งส่งพวกเขาลงเขา นั่นไม่ใช่ว่าฟางเจิ้งคิดอะไรกับเขา แต่ปกป้องเขาตลอดทางต่างหาก ส่งพวกเขาลงเขา!

คิดได้ดังนั้นหลิ่วเทาก็เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุทุกอย่าง หลวงจีนรูปนี้ไม่ใช่คนธรรมดา มองเห็นภัยมรณะในชะตาชีวิตเขาได้เลยตามมาตลอดทาง กระทั่งหนักเอาเบาสู้ยืนอยู่ที่นี่หลายวัน! คิดได้แบบนั้นหลิ่วเทาเกิดความซาบซึ้งใจ บุญคุณช่วยชีวิตเหมือนมีบุพการีอีกคน จะไม่ตอบแทนได้อย่างไร?