ฉะนั้นหลิ่วเทาจึงไม่ได้พูดอะไรก่อนรีบตามไป
เซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยมองตากันแล้วตามไป แต่เสียงหัวหน้าคนงานดังแว่วมา “หลิ่วเทา เกิดอะไรขึ้น?!”
“พวกนายสองคนกลับไปรายงานหัวหน้า ฉันจะขึ้นเขาไปขอบคุณไต้ซือ!” หลิ่วเทาเอ่ย
“เหอะๆ…พวกแกสองคนแต่งเรื่องให้ฉันฟังอีกแล้วนะ พยายามแต่งหน่อย! ทำไมฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าพวกแกสองคนแต่งเรื่องเก่งแบบนี้ เก่งนักจะมาเป็นคนงานก่อสร้างทำไม? ไปเขียนนิยายนู่น?” หัวหน้าได้ยินคำบอกเล่าของเซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยแล้วก็ยิ้มเยาะ
เซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยจะพูดอะไรได้? พูดความจริงไม่มีใครเชื่อ ถ้าอย่างนั้น…
“เอาเถอะ คงได้แต่พูดความจริงแล้ว มีหินตกจริงๆ อาจารย์กลัวว่าบนเขาจะมีความเสี่ยงเลยให้พวกเราสองคนลงมาก่อน” เซี่ยหมิงพูดต่อโดยพลัน
“คงไม่จบแล้วหรอกนะ? ความจริงง่ายแบบนี้เลย? พวกแกสองคนมันทึ่ม ยังมีหน้ามาโกหกอีก จะโกหกก็ใช้สมองหน่อย คิดว่าฉันโง่รึไง? ถึงจะโง่ก็ไม่เชื่อคำโกหกของพวกแกสองคนหรอก! สายตาฉันเฉียบแหลม พวกแกยกขาก็รู้แล้วว่าจะพูดจาไร้สาระอะไร เอาล่ะ ไปทำงานไป ไม่มีเวลามาสนใจพวกแกสองคนหรอก” หัวหน้าคนงานคุยโม้ก่อนจะให้สองคนไปทำงาน
หลังจากเซี่ยหมิงกับเสี่ยวเหลยออกมาแล้วก็มองหน้ากัน ก่อนพากันส่ายหน้า พูดพึมพำ “สายตาเฉียบแหลมเหรอ ตาบอดล่ะสิ…”
บนเขา ฟางเจิ้งกำลังเดิน มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ฟางเจิ้งไม่หยุด แต่เดินต่อไป
หลิ่วเทาไล่ตามมาข้างหลัง ขณะจะพูดกลับเห็นว่าฟางเจิ้งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจึงหุบปากเงียบไป แต่เดินตามไปอย่างนี้
ขึ้นเขามา เข้าวัดเอกดรรชนี ฟางเจิ้งถึงหันกลับมาประนมสองมือสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ ประสก เดินตามอาตมาถึงวัดเอกดรรชนีมีอะไรรึ?”
“ไต้ซือ ผมมาขอบคุณท่านน่ะครับ ถ้าไม่ได้ท่านผมคงตายไปแล้ว” หลิ่วเทาเป็นผู้ชายใจถึง จะพูดขอบคุณยังมีความไม่เป็นธรรมชาติอยู่เล็กน้อย
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “ทุกอย่างคือพรหมลิขิต อาตมาเคยบอกว่าอาตมาช่วยคนที่มีวาสนาต่อกัน ในเมื่อช่วยประสก นั่นก็คือชะตากรรม ไม่ต้องขอบคุณ”
“มันไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ได้ไต้ซือ เมื่อกี้สมองผมแหลกกระจายไปแล้ว คือว่า…ไต้ซือ ผมเป็นคนหยาบกระด้าง ท่านว่า…จะขอบคุณท่านยังไงดี?” ถึงหลิ่วเทาจะทำงานก่อสร้าง พูดให้สูงกว่านั้นคือเป็นวิศวกร พูดให้ต่ำลงคือเป็นคนงาน เป็นคนง่ายๆ ทำอะไรก็ง่ายๆ พูดตรงๆ ชีวิตนี้ไม่เคยติดค้างบุญคุณใคร แต่ดันติดค้างบุญคุณครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน จึงทำอะไรไม่ถูกอยู่นิดๆ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ถ้าประสกอยากขอบคุณอาตมาจริงๆ ก็ง่าย ไปขอบคุณพวกท่านพระโพธิสัตว์ก็พอ”
เดิมทีหลิ่วเทาคิดว่าฟางเจิ้งจะบอกความต้องการของเขา แต่ไม่นึกเลยว่าจะง่ายแบบนี้ จึงถามด้วยความไม่เข้าใจ “แค่นี้เหรอครับ?”
“ใช่ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ?” ฟางเจิ้งถามกลับ เขาอยากได้คำขอบคุณมากกว่านี้ แต่ขอบคุณเปลี่ยนเป็นข้าวไม่ได้ เขาจะเอามาทำอะไร? เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งจับต้องไม่ได้มากนัก กลับกันถ้าให้เงินที่ไม่ใช่เงินจุดธูปได้ก็คงดี น่าเสียดายระบบจ้องอยู่ จะรับเงินส่วนนี้ไม่ได้ ส่วนเงินจุดธูป…ฟางเจิ้งก็กระดากปากจะบอกไปตรงๆ เลยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตา
หลิ่วเทาจ้องฟางเจิ้ง เห็นแววตาฟางเจิ้งสว่างไสวอย่างยิ่ง เรียบง่าย ไม่มีกลิ่นอายทางโลกใดๆ และยังไม่มีความเจ้าเล่ห์ชักแม่น้ำทั้งห้า เขารู้ว่าหลวงจีนตรงหน้าไม่มีความคิดอื่นจริงๆ แค่ให้เขาขอบคุณพระพุทธ พระโพธิสัตว์แค่นั้น
คิดได้ดังนั้นหลิ่วเทาอดปลงอนิจจังในใจมิได้ ‘นี่ต่างหากคือนักบวชที่แท้จริง! คนจะมองภายนอกไม่ได้จริงๆ อายุไม่ใช่มาตรฐานตัดสินพระธรรมสูงต่ำเลย จิตใจคนต่างหาก!’
คิดถึงตรงนี้หลิ่วเทาเดินเข้าไปในอุโบสถ หยิบธูปชั้นดีไปไหว้พระ ก่อนคลำกระเป๋ากางเกง เขาแทบจะร่ำไห้ ออกมาทำงานใครจะพกกระเป๋าเงินติดตัว? ปกติจะมีเศษเงินพอติดตัวสองสามหยวน จะได้ซื้อน้ำอะไรกินเป็นบางครั้งบ้าง ตอนนี้ค้นกระเป๋าเสื้อกางเกงจนทั่วแล้ว หยิบมาได้สิบหยวน…
หลิ่วเทาไม่ได้หันไปมอง ใบหน้าตนแดงแล้ว อีกฝ่ายช่วยตนไว้ เขาจุดธูปชั้นดีของอีกฝ่ายแล้ว แต่ไม่มีเงินค่าธูปชั้นดี! ความขมขื่นนี่…เขาจึงหันไปมองฟางเจิ้งด้วยความกระดากอายจริงๆ
ฟางเจิ้งไม่ได้ดูเหตุการณ์ในอุโบสถเลย แต่นั่งรออย่างสงบนิ่งข้างนอก อีกฝ่ายไหว้พระแล้วคุณไปจ้อง คิดๆ แล้วคงไม่ดีนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิ่วเทาเดินออกมาด้วยหน้าละอายใจ อึดอัดใจจนหน้าแดงก่ำ เอ่ยด้วยความอาย “ไต้ซือ…เอ่อ…ขอติดเงินไว้ได้ไหมครับ?”
ฟางเจิ้งอึ้งไป ติดเงิน? อย่าว่าแต่ตั้งแต่เขาสืบทอดวัดเอกดรรชนีมาเลย ต่อให้ตั้งแต่ที่จำความได้ก็ไม่เคยมีใครมาวัดแล้วติดเงิน!
ฟางเจิ้งถามด้วยความไม่เข้าใจ “ประสก หมายความว่ายังไง?”
หลิ่วเทาหน้าแดงกว่าเดิม “คือ…คือ…เฮ้อ ไต้ซือรอเดี๋ยว เดี๋ยวผมกลับมา”
พูดจบหลิ่วเทาวิ่งไปข้างนอก แต่วิ่งไปได้สองก้าวก็กลับมาอีก หยิบมือถือเก่าๆ วางไว้หน้าประตู “ไต้ซือ ผมวางมือถือไว้นี่ก่อนนะ เดี๋ยวจะมาเอา”
พูดจบหลิ่วเทาก็วิ่งไป
ฟางเจิ้งทำหน้างง นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ผ่านไปพักใหญ่ฟางเจิ้งถึงรู้ตัว มองธูปชั้นดีในอุโบสถ ก่อนมองเงินสิบหยวนที่วางไว้ในกล่องบริจาคอย่างเดียวดาย พลันยิ้มด้วยความจำใจ “ระบบ นี่…ติดเงินได้ด้วยเหรอ?”
“ติ๊ง เงินมีราคา ใจบุญ จริงใจไม่มีราคา นายว่าไงล่ะ?” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ให้หรือไม่ให้ก็ได้ทั้งนั้น แล้วทำไมนายถึงไม่ให้ธูปชั้นดีฟรีให้หมดเลยล่ะ?”
“คัมภีร์ไม่เผยแพร่กันง่ายๆ ใจบุญก็จะให้ใครไม่ได้ง่ายๆ ให้มากไปก็ไร้มูลค่า” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งเหมือนจะเข้าใจ เขาเคยอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตมาเรื่องหนึ่ง สองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็ก คนหนึ่งขยันมาก อีกคนกินเก่งแต่ขี้เกียจ คนขี้เกียจไม่ยอมไปทำงาน คนขยันมักจะไปช่วยเขาทำงานบ้าน ทำอาหาร ตอนแรกคนขี้เกียจซาบซึ้งใจมาก มองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของตน ทว่าดูแลมาเจ็ดแปดปีจนคนขี้เกียจเคยตัว…ต่อมามีวันหนึ่งคนขยันไม่ได้มาบ้านคนขี้เกียจสองวัน คนขี้เกียจหิวจนกระวนกระวาย ไปตามหาคนขยัน แต่เห็นคนขยันมีความรักจึงโกรธในใจ ด่าทอยกใหญ่ ‘นายไม่มาดูแลฉัน แต่มามั่วไปวันๆ อยู่ที่นี่เหรอ?’ ก่อนจะชักมีดหั่นผักฟันอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัส…
คิดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งถอนหายใจ เป็นคนดีได้ แต่จะใจดีจนคนอื่นเคยตัวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนั่นไม่ใช่ความดี แต่เป็นการบ่มเพาะความเกลียดชัง
ฟางเจิ้งมองมือถือที่วางไว้หน้าประตูอีกครั้งแล้วส่ายหน้าด้วยความจำใจ คิดในใจ ‘เขาคนนี้จริงใจจริงๆ กลัวว่าอาตมาจะคิดว่าเขาหนีเลยวางมือถือไว้ ถือว่าเป็นของค้ำประกันหรือ?’
ฟางเจิ้งส่ายหน้า ไม่ได้แตะมือถือนั้น แต่นั่งลงใต้ต้นโพธิ์ รอคอยเงียบๆ
ลิงมองฟางเจิ้งก่อนมองมือถือในมือฟางเจิ้ง แล้วมองมือถือหน้าประตู มันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นนิดๆ เลยเข้าไปใกล้จะแตะ
“ลิง นายแตะของของนายได้ แต่แตะของที่ไม่ใช่ของนายไม่ได้” เสียงฟางเจิ้งดังขึ้นในฉับพลัน
ลิงเบะปาก ดึงมือกลับ ทว่าสายตาจ้องมือถือตลอด เห็นได้ว่าระงับความอยากรู้อยากเห็นได้ไม่ดีนัก แม้ฟางเจิ้งจะมีมือถือตลอด แต่มันก็เคยเห็นฟางเจิ้งเล่นมือถือ มีมือถือของตัวเอง ความคิดนี้มีแรงดึงดูดใจมาก ทว่าพอนึกถึงคำพูดฟางเจิ้ง มันก็ได้แต่ส่ายหัว จ้องตาเป็นมันแค่นั้น