ไม่นานหลิ่วเทาก็หอบหายใจแรงเดินมา สิ่งที่ฟางเจิ้งตกใจคือหลิ่วเทาหยิบเงินมาปึกหนึ่ง น่าจะพันหยวน บ้างยับ บ้างสกปรก ดูแล้วเงินเหล่านี้น่าจะเป็นผลมาจากการยัดใส่รวมๆ กันมา
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ยืนขึ้น “ประสก ไหว้พระคือไหว้จิตใจ ถ้าต้องเป็นหนี้เพราะไหว้พระ นั่นไม่ใช่การไหว้พระแล้ว นั่นคือการทำลายชื่อเสียงของพระพุทธ ต่อพระพุทธองค์ก็ดี ต่อพระโพธิสัตว์ก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่แบกรับไม่ได้”
หลิ่วเทาอึ้งไป เขาเพิ่งเจอหลวงจีนแบบนี้เป็นครั้งแรก ให้เงินไม่เอา? ทว่าพอนึกถึงความมหัศจรรย์ต่างๆ ของฟางเจิ้ง ผู้สูงส่งภายนอกลึกลับแบบนี้จะไม่ต้องการเงินก็ปกติ ดังนั้นหลิ่วเทาจึงอธิบายว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง วางใจเถอะ เงินพวกนี้ไม่ใช่หนี้สินอะไร เงินเดือนผมไม่ได้มีแค่นี้นะ เพียงแต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ทุกคนมาซ่อมทางกันหมด ไม่มีเงินติดตัวกัน เลยยืมมาก็เท่านั้น ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยครับ…”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ขอแค่ไม่สร้างความลำบากให้ชีวิตประสกก็พอ เท่าไรก็ตามแต่เจตนาเลย จำคำอาตมาไว้ พระพุทธอยากให้ประสกมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลงเพราะมาไหว้พระ อย่ายิ่งทำยิ่งห่างไกลจากเป้าหมาย”
“ฮ่าๆ…ผมเข้าใจครับ” หลิ่วเทาพยักหน้าก่อนนำเงินยัดใส่ไว้ในกล่องบริจาคถึงโล่งอก ความรู้สึกที่ติดหนี้บุญคุณคนอื่นหายตามไป
ฟางเจิ้งก้มลงไปเก็บมือถือหลิ่วเทาขึ้นมา ส่งให้ด้วยสองมือ “ประสก อย่าทำมือถือตกอีกล่ะ”
หลิ่วเทาเกาหัวยิ้มด้วยความอายเล็กน้อยก่อนรีบเบี่ยงประเด็นไป “ไต้ซือ คือว่า…ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
พูดจบหลิ่วเทาก็วิ่งไป นึกถึงความเก้ๆ กังๆ เมื่อครู่ เขาหน้าร้อนผ่าว ต้านไม่อยู่แล้ว
หลิ่วเทาไปแล้ว ฟางเจิ้งปิดประตูใหญ่วัด ถึงอย่างไรเส้นทางบนเขากำลังก่อสร้างอยู่ คนนอกเข้ามาไม่ได้ เปิดหรือไม่เปิดประตูไม่มีความหมายมากนัก
ปิดประตูแล้ว ในวัดคือโลกใบเล็กของฟางเจิ้ง ตอนนี้เขาไม่ต้องทำหน้าขรึม แสดงท่าทีของพระอาจารย์แล้ว แต่รอยยิ้มกว้างกว่าเดิม ความคร่ำเคร่งหายไปเล็กน้อย มีความผ่อนคลายเพิ่มมาหลายส่วน ยิ้มเอ่ยว่า “ระบบ รางวัลของอาตมาล่ะ?”
“จับตอนนี้เลยไหม?” ระบบถาม
“จับ! วันนี้อารมณ์ดี ดูสิว่าจะจับได้อะไร!” ฟางเจิ้งยิ้ม
“ติ๊ง! ยินดีด้วย จับได้เมล็ดไผ่หนาวหนึ่งเมล็ด”
“เอ่อ ระบบ นายล้อเล่นเหรอ? ดีเลวยังไงฉันก็ช่วยไว้หนึ่งคนนะ นายจับให้เมล็ดเนี่ยนะ?” ฟางเจิ้งเวียนหัวแล้ว
“อย่าไม่รู้จักพอ นี่คือเมล็ดไผ่หนาว ไผ่หนาวคือไผ่พิเศษที่เติบโตในแนวเขตหิมะตกตลอดปีของภูเขาคุนหลุน ดูไม่ต่างอะไรกับไผ่ทั่วไป แต่มันเขียวสดราวกับรูปปั้นหยก มันมีกลิ่นหอมพิเศษ ขับไล่ยุงได้ ที่สำคัญคือมันหอมมากจริงๆ…” ระบบพูด
ฟางเจิ้งมองบน “แล้วยังไง? ดีกว่านี้อีกมันก็แค่เมล็ด ลอยขึ้นฟ้าได้รึเปล่า?”
“เมล็ดเดียว? เหอะๆ…เจ้าคนไร้ความรู้ ไปตรวจดูไผ่เองก่อนว่าเป็นพืชยังไงค่อยว่ากัน แล้วก็ตกลงนายจะเอาไหม? ถ้าไม่เอาฉันจะทิ้ง” ระบบกล่าว
“อย่า! เอา! ฉันเอา! กว่าจะได้จับรางวัล จะไม่เอาได้ยังไงล่ะ?” ฟางเจิ้งรีบโวย ต่อให้ขายุงเล็กกว่านี้อีกแต่ก็ยังเป็นเนื้อ ของที่จับมาได้วางไว้แล้ว อย่างไรก็ดีกว่าทิ้ง
ต่อมามีแสงพุทธส่องประกายตรงหน้าฟางเจิ้ง เขายื่นมือไปรับไว้ แสงพุทธหายไป มีเมล็ดสีเขียวสดมรกตเพิ่มมา เอาขึ้นมาส่องแสงตะวันดู มันโปร่งใสมากราวกับหินหยก สวยมาก!
“ขอเตือนอย่างเป็นมิตร นี่คือไผ่หนาวพุทธศาสนา นายจัดการขอบเขตการเติบโตของมันได้” ระบบพูด
ฟางเจิ้งตะลึงงัน ก่อนพูด “จัดการขอบเขตการเติบโตได้ด้วย? ระบบ อย่าล้อเล่นน่า เมล็ดเดียวจะโตไปได้แค่ไหนเชียว? ฉันคิดว่าปลูกในวัดก็พอแล้ว”
“เหอะๆ…” ระบบหัวเราะเยาะสองที น้ำเสียงเต็มไปด้วยการดูถูกต่อคนเขลาขาดความรู้
เส้นสีดำโผล่มาตรงหน้าผากฟางเจิ้ง “ระบบ นายหัวเราะแบบนี้ระวังจะถูกตบ”
“เหอะๆ…” ระบบหัวเราะต่อ
ฟางเจิ้ง “23¥@…”
ฟางเจิ้งหยิบมือถือมา รีบตรวจดูข้อมูลของไผ่ ไม่อย่างนั้นจะถูกระบบหัวเราะเยาะแบบนี้บ่อยๆ พระโพธิสัตว์ดินเหนียวจะต้องติดไฟ มิหนำซ้ำเขาจะเป็นนักบวชปลอมด้วย
“ต้นไผ่ เรียกอีกชื่อว่าไผ่ สายพันธุ์นานาชนิด มีไผ่ศร…ปกติจะเติบโตผ่านก้านรากที่เลื้อยไปใต้ดินกลายเป็นปึกแผ่น”
“เติบโตเป็นปึกแผ่น?” ฟางเจิ้งคว้าจุดสำคัญได้ เอ่ยขึ้น “เมล็ดนี่ไม่ได้โตเป็นต้นเดียวเหรอ?”
“ว่างๆ ก็อ่านหนังสือทำไมหมื่นครั้งบ้างนะ แล้วก็ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงนาย” ระบบพูดแขวะอย่างหมดแรงเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบกลับ “ไผ่หนาวมีจุดเด่นและความพิเศษของต้นไผ่ทั้งหมด เมล็ดหนึ่งโตเป็นไผ่หนึ่งต้นจริงๆ แต่รากไผ่ขยายไปได้ไร้ขีดจำกัด ทั้งยังให้กำเนิดไผ่ได้นับไม่ถ้วน นอกจากนี้ความเร็วในการเติบโตของต้นไผ่จะมากกว่าต้นไม้อื่น อีกเดี๋ยวนายจะรู้เองว่าอะไรเรียกว่าหนึ่งไผ่หนึ่งปีกลายเป็นป่า”
ฟางเจิ้งพลันดีใจใหญ่! เดิมทีคิดว่าเป็นไผ่ต้นเดียว ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้มาดูๆ แล้วเขาจะได้เห็นป่าไผ่เขียวขจีของภาคใต้ที่ภาคเหนือแล้ว คิดถึงวิวสวยๆ ของป่าไผ่เหล่านั้นในอินเทอร์เน็ต ฟางเจิ้งยิ้มร่าพลางพูดอย่างมีความสุข “ไม่เลวๆ…”
ฟางเจิ้งอ่านข้อมูลต่อไป
“ทั้งยังแพร่พันธุ์ผ่านการผลิดอกออกเมล็ด เมล็ดจะเรียกว่าข้าวไผ่ นำมากินได้คล้ายๆ กับหน่อไม้”
ฟางเจิ้งใจสั่น พูดขึ้น “กินได้ด้วย?”
“หน่อไม้ไผ่หนาวกินได้ ทั้งยังเต็มไปด้วยวิตามินต่างๆ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอชรา มีประโยชน์มากมาย แน่นอนไผ่ที่โตเต็มวัยนั้น ขอแค่ฟันนายดี กระเพาะดีก็กินได้” ระบบพูดสบายๆ
ฟางเจิ้งดีใจกว่าเดิม การกินเป็นปัญหาที่เขากังวลมากที่สุดมาโดยตลอด บางทีเป็นพระอาจารย์เต๋าอาจจะสนใจคัมภีร์หรือหลักธรรมมากกว่า แต่ฟางเจิ้งเป็นคนที่คิดจะสึกจึงสนใจของกินมากกว่า แม้ข้าวผลึกจะอร่อย แต่กินทุกวันก็มีเบื่อบ้าง จะไม่กินข้าวผลึก กินอย่างอื่นรสชาติก็เหมือนกับเคี้ยวเทียน กลืนไม่ลงจริงๆ
ส่วนหน่อหลิวเฮากับแดนดิไลออนก็กินได้ช่วงหนึ่ง ผ่านช่วงนี้ไปจะไม่มีแล้ว ถ้าอยากกินผักสดก็ต้องปลูกเอง แต่จะเอาเมล็ดจากไหน? หรือจะลงเขาไปเอา? หนังหน้าบางนิดๆ ไม่อายบ้างหรือ?
ตอนนี้มีไผ่หนาวแล้ว ฟางเจิ้งเห็นความหวัง ในที่สุดก็ได้เปลี่ยนรสชาติ! แถมยังเป็นหน่อไม้กรอบๆ ยังไม่ได้กิน แค่คิด ดวงตาก็ยิ้มจนหยีลงแล้ว
ฟางเจิ้งอ่านข้อมูลต่อไป ยิ่งอ่านยิ่งตกใจ นอกจากสรรพคุณต่างๆ ตามที่ระบบบอกแล้ว ยังมีสารอาหารอีกมากมาย วิตามิน ลดน้ำตาล ลดไขมัน ไฟเบอร์สูง เป็นของมหัศจรรย์! ในวงการแพทย์จีนมีบันทึกไว้เหมือนกัน แถมมีสรรพคุณมากกว่านี้ แพทย์นามเปี๋ยลวี่กล่าวไว้ว่า ‘หลักๆ คือโรคเบาหวาน ระบบขับถ่ายปัสสาวะคล่อง เพิ่มเลือดลม กินได้ระยะยาว’ ตำรายาเปิ่นเฉ่ากังมู่[1] กล่าวไว้ว่ามัน ‘ช่วยให้ทวารทั้งเก้าคล่อง เส้นเลือดคล่องตัว ละลายเสมหะ ย่อยอาหาร’ ส่วนที่เด่นๆ คือการละลายเสมหะ
อ่านสิ่งเหล่านี้จบ ฟางเจิ้งชอบไผ่หนาวใหญ่แล้ว ทว่าปัญญาตามมา จะปลูกที่ไหนล่ะ?
…………………….
[1] เปิ่นเฉ่ากงมู่ เป็นตำรายาจีนเขียนโดยหลี่สือเจิน บอกลักษณะของสมุนไพรรวม 1,882 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้ 374 ชนิดไม่เคยมีผู้เขียนถึงมาก่อน นับว่าเป็นผลงานที่รวบรวมผลสำเร็จด้านแพทยศาสตร์และเภสัชวิทยาของจีนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เอาไว้อย่างเป็นระบบ