ตอนแรกฟางเจิ้งคิดจะปลูกในวัด แต่ตอนนี้ดูๆ แล้วในวัดไม่ใช่ความคิดที่ดี เขาออกจากวัดเอกดรรชนี มองไปรอบๆ สุดท้ายก็ถือเมล็ดไผ่หนาวเดินมาอยู่ตรงพื้นที่โล่งข้างๆ ไร่นาข้าวผลึก
“เอาล่ะ ปลูกที่นี่แล้วกัน” ฟางเจิ้งพูดพลางขุดหลุม ยัดเมล็ดเข้าไป รดน้ำนิดหน่อย ทว่ากลับไม่เกิดภาพที่จะเติบโตในทันทีอย่างที่จินตนาการไว้ จึงส่ายหน้าแล้วเดินมาอยู่ข้างไร่นา เมล็ดข้าวผลึกออกหน่อแล้ว เสริมดุลให้ทั้งไร่นาเป็นสีเขียวมันขลับ
ทุกอย่างไม่มีปัญหา ฟางเจิ้งเรียกลิง หมาป่าเดียวดายและกระรอกหิ้วตะกร้าไปหาเห็ดในป่าเขา ถึงอาจจะหาไม่เจอ แต่ว่างๆ แบบนี้ออกไปเดินเล่นดีกว่า!
เวลาผ่านไปทีละวัน คนงานก่อสร้างถนนรวดเร็วมาก ตอนนี้ซ่อมมาถึงครึ่งทางแล้ว วันนี้ฟางเจิ้งเปิดประตูใหญ่วัดก็อึ้งไป มีหญิงชราผมขาวยืนอยู่ท่านหนึ่ง สวมกี่เพ้าที่ซักจนออกสีขาว ผมขาวหวีเป็นระเบียบมาก เชยคางขึ้นนิดๆ ราวกับว่าไม่ใช่หญิงชรา แต่เป็นราชินีท่องเที่ยวมา
ทว่าแต่งตัวแบบนี้ทำให้ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง เงยหน้ามองฟ้า ดวงตะวันโผล่มาแล้ว ไม่มีปัญหา ไม่ใช่ผี…พอมองอุโบสถหมื่นพุทธข้างหลังก็นึกถึงฐานะตน ต่อให้เป็นผี เขาก็ไม่มีเหตุผลจะต้องกลัว จึงวางใจสบาย
“อมิตาพุทธ สีกา เชิญด้านใน” ฟางเจิ้งไม่ได้ถามอะไร แต่เอียงกาย ประนมสองมือ
“หลวงพี่เกรงใจไปแล้วค่ะ” หญิงชรายิ้มน้อยๆ รอยยิ้มเป็นธรรมชาติและเป็นกันเองมาก ก่อนยกเท้าข้ามธรณีประตูสูงของวัด เงยหน้าขึ้นเห็นต้นโพธิ์อุดมสมบูรณ์แตกกิ่งออกใบกลางวัด
“ต้นโพธิ์? ถ้าอย่างนั้นคงไม่ผิด” หญิงชราพึมพำ
ฟางเจิ้งได้ยินชัด แต่ยังไม่ถามอะไร
ขณะนี้เองมือถือฟางเจิ้งส่งเสียงดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูพบว่าเป็นหมายเลขแปลกตา พร้อมกันนั้นใต้ภูเขาเอกดรรชนีมีร่างเงาระหงเพิ่มมา ร่างผอมสูง สวมเสื้อและกางเกงสีดำ สวมแว่นตาดำ นั่นคือจิ่งเหยียนที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก
แม้สองคนจะไม่ได้ให้เบอร์มือถือกันไว้ แต่ด้วยความสามารถของจิ่งเหยียน การจะหาเบอร์ฟางเจิ้งนั้นไม่ยาก
ฟางเจิ้งเพิ่งรับสาย ยังไม่ทันพูดก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากปลายสาย “เจ้าอาวาสฟางเจิ้งไม่ได้เจอกันนานนะคะ ฉันจิ่งเหยียนเอง”
“อมิตาพุทธ ที่แท้ก็สีกาจิ่งเหยียน มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ฟางเจิ้งมองหญิงชราที่ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์กำลังประนมสองมือขอพรเงียบๆ พลางถามไปแบบสบายๆ
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ฉันมาหาท่านจะต้องมีธุระด้วยเหรอ อันดับแรกท่านเห็นหญิงชราผมหงอกทั้งหัว สวมกี่เพ้าไหม?” จิ่งเหยียนถามด้วยความร้อนรนนิดๆ
ฟางเจิ้งตะลึงงัน ขณะจะตอบกลับ หญิงชราหมุนตัวมามองฟางเจิ้งแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “อมิตาพุทธ นักบวชโกหกไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ”
หญิงชราหมุนตัวกลับไม่มองฟางเจิ้ง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจนิดๆ
จากนั้นฟางเจิ้งพูดกับจิ่งเหยียน “เธออยู่นี่ แต่ว่า เหมือนว่าเธอจะไม่อยากให้สีกาขึ้นมานะ สีกาเป็นอะไรกับเธอ?”
“ถ้าบอกว่าเธอคือคุณย่าฉันเองท่านจะเชื่อไหม?” จิ่งเหยียนถามกลับ
ฟางเจิ้งไม่ตอบ จิ่งเหยียนพูดต่อ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ล้อเล่นน่ะ เธอไม่ใช่ย่าฉันหรอก เธอชื่อหลิวฟางฟาง พูดชื่อไปท่านอาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่เธอมีฉายาว่าผีริมแม่น้ำซงฮวา”
“หืม?!” ฟางเจิ้งงุนงง มีคนมีฉายาแบบนี้ด้วย?
“อย่าตกใจค่ะ เธอเป็นคนไม่ใช่ผี แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับผี คนจากสำนักงานกิจการพลเรือนใกล้จะเป็นบ้าเพราะเธอแล้ว เธอไม่มีบ้าน กระทั่งไม่มีใครรู้อดีตของเธอ รู้แค่ว่าเธอจะไปปรากฏตัวที่ท่าเรือแม่น้ำซงฮวาเมืองเฮยซานทุกวันเหมือนกับวิญญาณ ไม่ทำงานมาหลายสิบปีแล้ว คนงานที่ท่าเรือกับผู้อาศัยข้างเคียงหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ แต่มีแค่เธอที่ไม่เปลี่ยนไป บางทีเมื่อก่อนอาจมีคนรู้อดีตของเธอ แต่คนพวกนั้นไม่อยู่แล้ว” จิ่งเหยียนเล่า
ฟางเจิ้งเห็นหญิงชราเดินมาอยู่หน้าอุโบสถ ลิงออกมาจากข้างใน ประนมสองมือแสดงความเคารพหญิงชรา เธออึ้งไป ก่อนสีหน้าจะดูมีความหวังเพิ่มมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งถามเบาๆ “สีกาจิ่งเหยียน เล่าเรื่องพวกนี้ให้อาตมาฟังทำไม? อาตมาไม่ใช่พนักงานสำนักกิจการพลเรือนนะ…”
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านรีบเหรอ ฟังฉันให้จบก่อนได้ไหม?” จิ่งเหยียนว่า
ฟางเจิ้ง “ได้” จากนั้นเดินไปอยู่นอกวัด เดี๋ยวหญิงชราจะได้ยิน
จิ่งเหยียนเล่าต่อ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่าเรือจะถูกรื้อแล้ว”
“อะไรนะ?!” ฟางเจิ้งแทบจะร้องออกมา เขารู้ดีว่าความยึดมั่นของคนคนหนึ่งน่ากลัวเพียงไหน หญิงชราคนนี้ดูมีชีวิตชีวา ทว่าด้วยความที่ในใจเธอมีความหวังค้ำจุนเลยยืนหยัดอยู่ที่ท่าเรือไม่ยอมไปไหนเป็นหลายสิบปี ในนี้จะต้องมีการยืนหยัดบางอย่าง ตอนนี้จะรื้อท่าเรือก็เท่ากับทำลายความหวังของหญิงชรา เท่ากับฆ่าคน!
“ฉันรู้ว่าท่านกังวลอะไร ฉันกับเพื่อนๆ ที่สำนักงานกิจการพลเรือนกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปเหมือนกัน แต่ว่า…พวกเราไม่มีทางเลือกจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ท่าเรือนั่นควรจะถูกรื้อเมื่อสิบปีก่อนแล้ว จนถึงตอนนี้เปลี่ยนหัวหน้าสองครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้คือปรับแก้ทั้งเมืองเฮยซาน เขตเมืองเก่าต้องรื้อทิ้ง ท่าเรือนั่นสกปรกจนจะเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ที่สำคัญคือถ้ามีมันอยู่จะทำการรื้อถอนอย่างอื่นไม่ได้ ส่งผลกันเป็นทอดๆ เขตนั่นจะขยับอะไรไม่ได้เลย…ครั้งนี้เบื้องบนจะต้องรื้อจริงๆ” จิ่งเหยียนพูด
ฟางเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ “ดังนั้นสีกาเลยส่งเธอมาหาอาตมา? แล้วจากนั้นล่ะ? กลับไปแล้วไม่มีท่าเรือ เธอจะทำยังไง?”
“ฉันไม่มีทางอื่นแล้ว ฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ ดังนั้น…ขอฝากด้วยนะคะ ช่วยคิดวิธีด้วย” จิ่งเหยียนพูดต่อ
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก นี่เขาถูกบังคับให้ทำเรื่องที่ยากมาก! ถ้าเขาไม่รู้เรื่องนี้ก็ช่าง แต่ในเมื่อรู้แล้วจะไม่สนใจก็ไม่ได้
“ปัญหาคือสีกาส่งหญิงชราที่อาตมาไม่รู้จักอะไรเลยมา จะให้อาตมาคุยกับเธอยังไง?” ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด ต่อให้เป็นคนเรียนเก่ง แต่ถ้าส่งกระดาษเปล่าบอกเขาให้แก้โจทย์ เดาว่าคงทำไม่ได้ใช่ไหม? ตอนนี้ฟางเจิ้งอยู่ในสภาพนี้
“ท่านอย่ารีบได้ไหม ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยสักหน่อย” จิ่งเหยียนกล่าว
ฟางเจิ้งเหมือนเห็นความหวัง จึงถามไปโดยพลัน “สีการู้อะไรเหรอ?”
“อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าเธอชื่อหลิวฟางฟาง” จิ่งเหยียนตอบ
ฟางเจิ้งมองบน อยากจะลงเขาไปตบผู้หญิงให้ตายจริงๆ! รู้แค่ชื่อจะมีประโยชน์อะไร?
“หลวงพี่ฟางเจิ้งดูดวงได้ไม่ใช่เหรอคะ? รู้ชื่อก็ทำนายได้นี่?” จิ่งเหยียนถาม
ฟางเจิ้งอยากด่าแม่ เขาเป็นนักบวช ไม่ใช่หมอดู! แต่ก็ขี้คร้านจะพูด เลยถามไปตรงๆ “สีกาเคยคิดไหมว่าถ้าอาตมาแก้ปัญหาเธอไม่ได้ เธอกลับไปแล้วจะเป็นยังไง?”