“ฉันรู้อยู่แล้ว แต่ว่า…ฉันไม่มีทางเลือกนี่ หรือว่าจะให้เธออยู่ที่นั่น มองความหวังของตัวเองถูกทำลายเหรอ? นั่นโหดร้ายกับเธอไป ฉันทำได้แค่เลือกวิธีที่ไม่โหดร้ายเกินไปเท่านั้น นี่ฉันก็ช่วยเธอสุดความสามารถแล้ว…” จิ่งเหยียนถอนหายใจ
ฟางเจิ้งก็เข้าใจ จิ่งเหยียนพูดถูก ในอนาคตเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับจิ่งเหยียน เธอดูแลถือว่ามีเมตตา ไม่ดูแลก็จะว่าอะไรไม่ได้ แต่ปัญหามาแล้ว คุณดูแลของคุณไปสิ มาโยนใส่หัวอาตมาทำไม? ฟางเจิ้งอยากจะด่าแม่จริงๆ…
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ตอนนี้มีอยู่สองทางเลือก ข้อแรกรู้ให้ได้ว่าทำไมเธอถึงยึดมั่นกับท่าเรือนั่นขนาดนั้น จะรื้อหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็เอาความตายมาขู่ จากนั้นจัดยาตามอาการให้เธอ แก้ปัญหาจากตรงนี้ ข้อสองให้เหตุผลรัฐบาลที่จะไม่รื้อ รัฐบาลก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่จัดการ?” จิ่งเหยียนกล่าว
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดเล็กน้อย “ปัญหาคือนี่น่าจะเป็นเรื่องของรัฐบาลนี่?”
“ฉันรู้ ปัญหาคือรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน…ด้านหนึ่งคือผลประโยชน์ทั้งหมด อีกด้านเป็นคน พวกเขายอมมาสิบปีแล้ว จะยอมตลอดไปไม่ได้ เพื่อท่าเรือนี่ หัวหน้าหลายรุ่นก่อนไปประชุมที่มณฑลโดนด่ากันมาหมด” จิ่งเหยียนเอ่ย
ฟางเจิ้งพยักหน้า “เอาเถอะ อาตมาจะทำสุดความสามารถ”
จิ่งเหยียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม รีบพูดต่อ “ขอบคุณมากค่ะหลวงพี่ฟางเจิ้ง”
ฟางเจิ้งวางสาย ขบคิดครู่หนึ่งก่อนเข้าไปในวัดเอกดรรชนี เห็นหลิวฟางฟางกับลิงคุยภาษามือกัน จากนั้นเดินเข้าไปในอุโบสถด้วยรอยยิ้ม ประนมสองมือคุกเข่าลง
ฟางเจิ้งปิดประตูใหญ่วัด ให้ลิงออกไปดู วันนี้ไม่ว่าใครมาก็ขอไม่พบ! ส่วนเขาเข้าอุโบสถ เคาะมู่อวี๋ สวดมนต์ นึกถึงกลยุทธ์
พลันได้ยินเสียงมู่อวี๋ หญิงชราลืมตาด้วยความตกใจเล็กน้อย เธอไม่คาดคิดว่ามู่อวี๋จะเกิดเสียงสะเทือนถึงจิตใจได้ขนาดนี้ ทำให้จิตใจสงบลงและได้ตรึกตรองชีวิต เมื่อฟางเจิ้งสวดมนต์ หญิงชราตกใจยิ่งกว่าเดิม แม้จะได้ฟังจิ่งเหยียนว่าจะมาวัดเอกดรรชนี แต่เมื่อเธอเห็นวัดเอกดรรชนีมีเพียงเณรรูปเดียวนั้น ในใจเธอผิดหวัง แต่มาก็มาแล้ว จะให้ไปแบบนี้? อีกทั้งเธอมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับใครสักคนเหมือนกัน
เมื่อก่อนเธอไม่มีคนระบายความในใจที่เหมาะสม ตอนนี้หาพบแล้ว นั่นคือพระโพธิสัตว์ตรงหน้า!
พระโพธิสัตว์จะไม่ตำหนิและรังเกียจเพราะบางสิ่งในตัวเธอ จะไม่ตำหนิและถูกใครตำหนิเพราะบางสิ่งในตัวเธอ เธอไม่ใช่คนที่ชอบส่งความทุกข์ให้คนอื่น!
พอสัมผัสถึงความสงบในใจ สัมผัสถึงความเงียบรอบๆ ในที่สุดจิตใจหญิงชราสงบลงอย่างยิ่ง ประนมสองมือ หลับตาลงช้าๆ เข้าสู่ห้วงความทรงจำ นี่คือสิ่งที่เธออยากบอกกับพระโพธิสัตว์ เป็นความทรงจำที่เธอคิดว่าสวยงามที่สุด และเป็นความหวังที่สวยงามที่สุดเช่นกัน…
แทบเป็นขณะเดียวกัน “ติ๊ง! ในตัวหลิวฟางฟางมีบุญกุศลยิ่งใหญ่ ถึงบุญกุศลจะเป็นบุญกุศลจากภายนอก ทว่าตรงตามเงื่อนไขภารกิจระบบ ตอนนี้ขอประกาศภารกิจบังคับจากระบบ ช่วยหลิวฟางฟางสมความปรารถนา รางวัลบุญกุศลหนึ่งพันแต้ม! พร้อมด้วยของอีกหนึ่งชิ้น!” ระบบพลันโพร่งขึ้นมา
ฟางเจิ้งตะลึงงัน เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งจะคุยกันเรื่องปัญหาภารกิจระบบ เดิมทีคิดว่าจะไม่มีคนมีเงื่อนไขตรงตามระบบในช่วงสั้นๆ นี้แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเจอเร็วแบบนี้! ทว่าสิ่งที่ฟางเจิ้งตะลึงคือรางวัล บุญกุศลพันแต้ม! ฟางเจิ้งมีอยู่ทั้งหมดเพิ่งจะสองร้อยแต้มบุญกุศล! นี่เท่ากับให้ของขวัญชิ้นใหญ่! มิหนำซ้ำยังมีรางวัลของแถมอีกด้วย นี่คือภารกิจที่ได้รางวัลเยอะที่สุดในภารกิจทั้งหมดตั้งแต่เจอระบบมา!
“ระบบ นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? มีบุญกุศลหนึ่งพันแต้มอยู่ในนั้นด้วยเหรอ” ฟางเจิ้งพูดด้วยความตกใจ
“ฉันไม่ล้อเล่นเรื่องนี้กับนายหรอก ประกาศภารกิจไปแล้ว นายคิดหาวิธีทำให้สำเร็จดีกว่า” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งจึงถามด้วยความไม่เข้าใจ “อ้อ นายบอกว่าในตัวหลิวฟางฟางมีบุญกุศลยิ่งใหญ่ แต่เป็นบุญกุศลจากภายนอก มันคืออะไรน่ะ? ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย”
“มาจากคำอวยพรของผู้ลาลับไปแล้ว ผู้ลาลับมีบุญกุศลยิ่งใหญ่ เมื่อลาโลกจึงย้ายมาที่ตัวเธอ” ระบบตอบ
“ย้ายได้ด้วย?” ฟางเจิ้งเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“จะย้ายได้ภายใต้สถานการณ์พิเศษ อย่างเช่นความปรารถนาสุดท้ายก่อนตายของวิญญาณวีรชนมักจะกลายเป็นสะพานเคลื่อนย้ายบุญกุศล แน่นอน อีกด้านของความปรารถนาเขาจะต้องมีคนยอมเหนื่อยยากเช่นกันถึงจะรับได้ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอทำได้…” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งเหมือนจะเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นอีกด้านของหลิวฟางฟางมีคนที่ห่วงใยเธอมากอยู่ คนที่ห่วงใยเธอนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว! เช่นนั้นนี่จะเกี่ยวกับที่เธออยู่ที่ท่าเรือนั่นไม่ยอมไปไหนหรือไม่?
ฟางเจิ้งมองหลิวฟางฟางอีกครั้งก่อนลอบถอนหายใจโล่งอก เขากลัวว่าหลิวฟางฟางจะแค่คุกเข่าไหว้พระแล้วกลับจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นการจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่แดนความฝัน ค้นส่วนลึกความทรงจำก็จะยากแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคือชี้แนะคล้อยตามแนวโน้ม ให้เธอหวนคิดถึงความทรงจำเอง บอกเล่าออกมาเอง เขามองไปอีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าสบายๆ กันทุกฝ่าย สถานการณ์ในยามนี้คือหลิวฟางฟางกำลังหวนนึกถึงความทรงจำ…
ฟางเจิ้งเคลื่อนความคิดเข้าไปในแม่น้ำความทรงจำของหลิวฟางฟาง
“จิ๊บๆ…”
เสียงนกร้องไพเราะดังแว่วมา ฟางเจิ้งพบว่าเขามาอยู่กลางป่าไม้
นี่คือป่าสน และยังมีต้นเบิรช์จำนวนมาก ฟางเจิ้งรู้จักต้นเบิรช์ดี นี่คือหนึ่งในต้นไม้ที่เขาชอบที่สุดในวัยเด็ก
พริบตาที่ฟางเจิ้งกำลังเคลิ้มนั้นพลันได้ยินเสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินแว่วมา ไพเราะเสนาะหู ฟางเจิ้งหมุนตัวมองไป ตรงกลายเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง ไว้ผมเปียเขาแกะ สวมชุดกระโปรงสีขาววิ่งมา วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “พี่ใหญ่อวี๋ รีบตามมาสิ!”
“มาแล้ว ฟางฟางวิ่งช้าหน่อย เดี๋ยวล้ม” ไกลออกไปเป็นเด็กชายตัวใหญ่ สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ในมือถือเชือกฟางเส้นหนึ่ง เชือกฟางร้อยปลาตัวใหญ่หนึ่งตัว วิ่งไปพลางตะโกนด้วยความเป็นห่วง
“รู้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก หนูวิ่งเร็วกว่าพี่อีก ฮ่าๆ…” ระหว่างเด็กหญิงพูดพลันร้องด้วยความตกใจ เธอหกล้มกับพื้น
เด็กชายโยนปลาตัวอ้วนทิ้ง วิ่งตามมาแล้วพูดด้วยความเป็นห่วง “ฟางฟาง ไม่เป็นไรนะ?”
“ฮือๆ…เจ็บขา” เด็กหญิงร้องไห้แล้ว
เด็กชายรีบหยอกล้อให้เธอหยุดร้อง เดี๋ยวเรียนเสียงนก เดี๋ยวเรียนเสียงเป็ด เดี๋ยวกระโดดเหมือนกบ ตอนนี้เด็กหญิงไม่ร้องไห้แล้ว แต่ปิดตาแอบมองเรื่องตลก…
ต่อมาจุดไฟ วางปลาตัวอ้วนลงไป ไม่มีเครื่องปรุงอะไร แต่กลับย่างออกมาได้หอมมาก เด็กสองคนกินกันจนพุงกลม นอนแผ่บนพื้นหญ้า มองฟ้า