ภาคที่ 3 บทที่ 142.1 การโต้กลับ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 142 การโต้กลับ (1)

ซูเฉิน เจียงซีสุ่ยและคนอื่น ๆ เฝ้ามองลำแสงที่พุ่งหายลับตาไปอย่างตกตะลึง

“เมื่อครู่ … ตาเฒ่านั้นหนีงั้นเหรอ ?” หม่าหงเฟยถามอย่างลังเล

“เอ่อ … มันน่าจะหนีไปแล้ว ใช่ไหม ?” เจียงซีสุ่ยไม่แน่ใจเล็กน้อยมองไปที่ซูเฉิน

“ดูเหมือนว่ามันจะหนีไปแล้ว” อวิ๋นเป้ากล่าวเสริม

มีเพียงกังเหยียนเท่านั้นที่กล่าวอย่างมั่นใจ “มันหนีไปแล้ว”

หลังจากใช้เวลากับซูเฉินมานาน ทุกคนจึงคุ้นเคยกับการชนะครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามจะหลบหนีไปได้สำเร็จ และเผลอเชื่อไปตามสัญชาตญาณว่าซูเฉินยังคงมีกลยุทธ์บางอย่างที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้

ซูเฉินถอนหายใจและพูดว่า “ชายชราที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปีเช่นนี้ จะไม่มีลูกไม้ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเลยได้อย่างไรกัน ? การที่มันหนีไปได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเสียหน่อย”

ในความเป็นจริง ในการต่อสู้ครั้งนี้ทั้งเว่ยเพ่ยและเซินอวิ๋นหง ไม่ได้ประเมินคู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ มิฉะนั้นด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานหลายปี พวกเขาจะมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้เพียงแค่ไม่กี่ใบได้อย่างไร ?

ใบหน้าของเจียงซีสุ่ยเต็มไปด้วยความเสียดาย “ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารหนีไปได้คนหนึ่ง คงจะกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากแล้ว”

อวิ๋นเป้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก หากมันรีรอมาจนป่านนี้ถึงค่อยใช้ยานั่น มันคงจะเป็นยาที่ทรงพลังมาก และคงต้องจ่ายออกไปไม่น้อยเพื่อจะหลบหนีไปเช่นนั้น”

ซูเฉินพยักหน้า “เมื่อครู่ข้าสังเกตเห็นมันไกล ๆ นิดหน่อย ถ้าข้าเดาไม่ผิดนั่นน่าจะเป็นผงกำเนิดบุปผา”

ผงกำเนิดบุปผาเป็นยาวิญญาณหายาก มันมีความสามารถในการเสริมพลังให้แก่แท่นบงกช และยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังต้นกำเนิดได้ มันไม่ใช่ยาที่ทรงพลังแต่อย่างใด แต่เป็นยาที่ใช้ช่วยยกระดับการบ่มเพาะขั้นเล็ก ๆ

เว่ยเพ่ยมีแท่นบงกชเพียงขั้นเดียวมานานแล้ว และสามารถสร้างแท่นที่ 2 ขึ้นได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เดิมทีเขาตั้งใจจะรอให้รากฐานของตนแข็งแกร่งพอเสียก่อน ชายชราเตรียมผงกำเนิดบุปผานี้ไว้เพื่อการนี้ ทว่าเว่ยเพ่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะต้องใช้มันเพื่อหนีแทนที่จะได้ใช้เพิ่มระดับการฝึกฝน

แม้ว่ามันจะไม่ใช่ยาที่มีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่ออย่างที่คาด แต่มันก็ยังคงมีข้อเสียที่คล้าย ๆ กัน ด้วยผลลัพธ์ของตัวยาผงกำเนิดบุปผานี้รุนแรงมาก การเสริมพลังให้แก่แท่นบงกชแรกและสร้างแท่นบงกชที่ 2 พร้อมกันอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ แต่ตราบใดที่ทะลวงไปสู่ขอบเขตถัดไปได้สำเร็จ ความเสียหายเล็กน้อยเหล่านี้ก็สามารถรักษาได้ในทันที

การใช้ผงยาเพื่อหลบหนีมีผลช่วยเสริมพลังแท่นบงกชของเว่ยเพ่ย ทว่าเขาก็ไม่ได้สร้างแท่นบงกชที่ 2 ขึ้น เพราะเมื่อพิจารณาจากความเสียหายทั้งหมดที่แท่นบงกชได้รับมาก่อนหน้านี้ ถึงจะหลบหนีออกมาได้สำเร็จ สภาพของเขาก็คงแย่จนใครก็จินตนาการได้

แท่นบงกชที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอาจต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 ทศวรรษในการฟื้นตัว แก่นกลางแท่นบงกชที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ส่งผลให้เขาตกลงไปอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณ ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้พลังต้นกำเนิดเสียหายและอาจถึงตายได้

สรุปก็คือ ถึงแม้เว่ยเพ่ยจะหลบหนีไปได้ แต่เขาก็ไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป

หลังจากที่ได้ฟังชายหนุ่มพูด ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แล้วเราควรทำอย่างไรกันต่อ ?” อวิ๋นเป้าถาม

“ตามปกติแล้วก็ควรจะวางแผนขั้นต่อไป ว่าเราจะไล่สังหารไปจนถึงถิ่นของพวกมันอย่างไร !” ซูเฉินตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง

ไล่สังหารไปจนถึงถิ่นของตระกูลสายเลือดชั้นสูง ? ซูเฉินต้องการที่จะขุดรากถอนโคนตระกูลสายเลือดชั้นสูงงั้นหรือ ? ปัญหาคือแม้ว่าชนชั้นสูงเหล่านี้จะสูญเสียผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารไปถึง 2 คน แต่พวกเขาก็ยังมีกองกำลังสำรองอยู่อีกมากมาย ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะจัดการพวกเขาทั้งหมด

ซูเฉินมองออกว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลข้ามีแผนของข้า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มาค่อย ๆ เล่นกับพวกเขาไปก่อนเถอะ”

————————————

ภายในคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง

อันซื่อหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ยังไม่มีการติดต่อกลับอีกหรือ ?”

หลี่อี้หยางที่ยืนอยู่ด้านข้างโค้งคำนับและตอบว่า “ยังไม่มี ตอนนี้เรายังไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ในเขตธารน้ำใสนี้แล้ว หรือไม่ก็ …”

“ไม่ก็อะไร ? พูด”

“ไม่ก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัว”

“เจ้าจะบอกว่าที่ซูเฉินยังไม่ปรากฏตัวออกมา เพราะกำลังรอให้เราเคลื่อนไหวอยู่อย่างงั้นหรือ ?”

ชายหนุ่มกล่าวว่า “ยามนี้ทุกคนรู้เรื่องการโจมตีของหวังซานหยูกันหมดแล้ว หลังจากที่เจ้ากรมกลับมาถึงก็ได้ไปหาหวังซานหยูเป็นการส่วนตัวแล้ว ท่านเองก็ยังช่วยลงมือเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายแล้ว เช่นนั้นการเคลื่อนไหวแบบไหนกันที่ทางนั้นกำลังรออยู่ ? เว้นเสียแต่ …”

หลี่อี้หยางหยุดพูดลงอีกครั้ง

อันซื่อหยวนถอนหายใจยาว “ครั้งนี้ชิงกวงทำเกินไปจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่มันจะผิดหวังมากเช่นนั้น”

เมื่อได้ยินชื่อของหลู่ชิงกวง หลี่อี้หยางก็ก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร

อันซื่อหยวนพึมพำกับตัวเอง “ทว่าชิงกวงเองก็อยู่กับข้ามานานแล้ว แม้มันจะทำผิดจริงแต่ก็ยังไม่ใช่ศัตรูของเรา ข้าได้ตำหนิมันไปแล้ว ถึงชิงกวงจะดูไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่ก็เถอะ”

บัณฑิตอี้หยางตอบอย่างระมัดระวัง “บางเรื่องก็ต้องค่อย ๆ พูดค่อย ๆ คุยกัน”

“เงื่อนไขที่ชิงกวนตั้งไว้ คือข้อแลกเปลี่ยนเพื่อพูดคุยกับมัน” เจ้าเมืองอันกล่าวพลางส่ายหัวโล้นของเขาเบา ๆ

ในตอนนั้นเอง ข้ารับใช้ผู้หนึ่งก็ได้เข้ามากล่าวรายงาน “เจ้ากรมพลังต้นกำเนิด ท่านเจ้ากรมซูมาขอเข้าพบขอรับ !”

“ว่าอย่างไรนะ ?” ชายชราผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที

ภายในห้องโถงหลักของคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางตายง่าย ๆ หรอก” อันซื่อหยวนกอดซูเฉินและตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้น แขนของชายชรากอดรัดตัวชายหนุ่มอย่างเต็มแรง จนซูเฉินแทบจะลิ้นจุกปากเพราะหายใจไม่ออก

เขาพูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเจ้าเมืองหากท่านยังไม่ปล่อยข้า เกรงว่าข้าคงได้หมดลมเพราะอ้อมกอดของท่าน ก่อนจะถึงมือของหวังซานหยูเป็นแน่”

ชายชราปล่อยมือออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แล้วหันมาลูบถูหัวโล้นของเขาแทน “สองสามวันนี้เจ้าไปอยู่ไหนมา ? เหตุใดถึงได้พึ่งโผล่หน้ามาเอาปานนี้กัน ?”

ซูเฉินไม่ได้ปิดบังความจริงอะไร “ข้าไปที่เมืองฉางผานมา”

เมืองฉางผาน ?

อันซื่อหยวนชะงัก จริงอยู่ที่หวังซานหยูพยายามไล่ฆ่าเจ้า แต่เหตุใดเจ้าถึงได้ไปที่นั่นกัน? เจ้าคิดที่จะไปรายงานเรื่องนี้ต่อราชวงศ์งั้นหรือ ? แต่เมื่อชายชราลองคิดดูดี ๆ อีกครั้ง เขาก็สับสนว่าเรื่องที่ดูเล็กน้อยเช่นนี้สามารถรายงานได้จริงหรือ ?

โชคยังดีที่ซูเฉินไม่ได้ปล่อยให้ท่านเจ้าเมืองต้องสงสัยนานเกินไป เขาพูดต่อ “ข้าไปซื้อเครื่องมือต้นกำเนิด”

“หืม ?” เจ้าเมืองอันหรี่ตาของเขาลง แม้ว่าหัวโล้น ๆ ของเขาจะทำให้ท่าทางนั้นดูหยาบคาย แต่ความคิดด้านในของเขากลับละเอียดรอบคอบอย่างไม่น่าเชื่อ ชายชราเข้าใจได้ว่าซูเฉินคงไม่ได้ไปที่เมืองฉางผานเพื่อซื้อเครื่องมือต้นกำเนิดมาโดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน

แต่ถ้าหากซูเฉินจะบอกว่า เขาสามารถจัดการกับกับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้ด้วยเครื่องมือต้นกำเนิดเพียงไม่กี่ชิ้น อันซื่อหยวนก็คงไม่เชื่อเช่นกัน ดังนั้นชายชราจึงไม่เข้าใจว่าซูเฉินพยายามจะทำอะไร

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่สักพัก และไม่เห็นถึงความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเก็บซ่อนจากอีกฝ่าย เขาจึงพูดออกไปตรง ๆ ว่า “เซินอวิ๋นหงตายแล้ว”

พรวด !

แม้แต่คนที่มีสถานะอย่างอันซื่อหยวน ก็ยังสำลักพ่นชาที่เพิ่งจิบไปเมื่อครู่ออกมา หลังได้ยินซูเฉินกล่าวเรื่องเช่นนี้ออกมาอย่างสบาย ๆ

ชายชราจ้องเขม็งไปทางซูเฉิน “เจ้าว่ากระไรนะ ?”

“ข้าฆ่ามันไปแล้ว” ซูเฉินพูดตรง ๆ ก่อนที่จะหยุดก็ครุ่นคิดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวใหม่อีกครั้ง “อืม พูดให้ถูกคือข้ากับสหายของข้าอีกสองสามคน”

“เจ้าพูดจริง ?” น้ำเสียงของเจ้าเมืองอันจริงจังมากยิ่งขึ้น

ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ

“เว่ยเพ่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส มีโอกาสสูงที่ระดับการฝึกฝนจะตกลง” ซูเฉินยังคงโยนระเบิดใส่อันซือหยวน ที่ทำท่าเหมือนใกล้จะเป็นลมเต็มทีต่อไปอย่างไม่รู้ร้อน

ไม่ใช่แค่คนเดียว ? นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน ?

ระดับการฝึกของเว่ยเพ่ยมีโอกาสสูงที่จะตกลงมาต่ำกว่าด่านสู่พิสดาร ?

หูของข้ายังปกติดีอยู่ใช่หรือไม่ ?

“ ‘เพื่อน’ ที่เจ้าพูดถึง … คงไม่ใช่ฉือไคฮวงใช่ไหม ?” อันซื่อหยวนคิดอยู่สักพักก่อนจะถามขึ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ชายชราจะคิดได้

ซูเฉินถูกหวังซานหยูไล่ล่าและหนีไปยังเมืองฉางผานเพื่อขอความช่วยเหลือ ฉือไคฮวงจึงได้ลงมือเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือศิษย์ของเขา ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและความช่วยเหลือของชายหนุ่ม มันก็อาจจะเป็นไปได้

สำหรับอันซื่อหยวน นั่นเป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่ฟังดูสมเหตุสมผล

ทว่าซูเฉินกลับส่ายหัวปฏิเสธแนวคิดอันสมเหตุสมผลนั้นของเขาทิ้งไปในทันที “เรื่องแบบนี้ ไม่จำเป็นจะต้องให้ตาเฒ่าผู้นั้นมาลงมือเองหรอก ข้ามาที่นี่เพราะข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลงมือ”

“ลงมือ ? ลงมือเรื่องอันใด ?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นลงมือขุดรากถอนโคนเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงน่ะสิ” ซูเฉินตอบน้ำเสียงมืดมนอย่างน่ากลัว