ภาคที่ 3 บทที่ 143.2 การโต้กลับ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 143 การโต้กลับ (2)

แน่นอนว่าก็ต้องเป็นลงมือขุดรากถอนโคนเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูง !

ขุดรากถอนโคนเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูง !

ขุดรากถอนโคนตระกูลชั้นสูง !

คำพูดของซูเฉินดังก้องราวกับฟ้าร้องวนซ้ำอยู่ในหูของอันซื่อหยวน

สิ่งที่เขาทำมาโดยตลอดก็คือการพยายามกำจัดตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่มีอิทธิพลและทรงพลังเหล่านี้ไม่ใช่หรือ ?

อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องนี้ออกมาจากปากของซูเฉิน มันกลับทำให้อันซื่อหยวนรู้สึกแปลก ๆ อย่างไม่อาจอธิบายได้

ไม่ใช่เพราะชายชราไม่ต้องการเช่นนั้น แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก มันทำให้เขารู้สึกว่าซูเฉินนั้นเป็นผู้ควบคุมเรื่องทุกอย่างนี้

โชคดีที่ความรู้สึกแปลก ๆ นั้นไม่ได้อยู่นานนัก อันซื่อหยวนสงบสติอารมณ์และถามว่า “แล้วเจ้าจะให้ข้าจัดการคนพวกนั้นอย่างไร ? ส่งทหารไป ? ถึงเซินอวิ๋นหงจะตายไปแล้ว แต่รากฐานของตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด แม้หวังซานหยู เว่ยเพ่ย หรือคนอื่นจะตายไปด้วยก็ตาม ข้าก็ไม่สามารถส่งกองทหารไปสังหารพวกมันอย่างไร้เหตุผลได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ ?”

“แต่พวกมันกลับสามารถโจมตีกองกำลังของอาณาจักรได้โดยไม่มีความผิดงั้นหรือ ?” ซูเฉินตอบ

เจ้าเมืองอันตอบว่า “ข้าได้รายงานไปยังเบื้องสูงแล้ว พวกนั้นจะเป็นผู้ตัดสินให้”

“ผู้ตัดสินผู้นั้น คงจะไม่ได้มีเอี่ยวกับตระกูลหวังใช่หรือไม่ ?”

“อืม ข้าคิดว่าไม่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลหวังจะไม่ต้องเสียอะไร หรือเลือกที่จะไม่เคลื่อนไหวไรได้หรอกนะ หากต้องการที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายและภัยพิบัติ พวกมันก็จำต้องยอมจ่ายหนักอยู่ดี”

“ดังนั้นถ้าท่านส่งกองทหารไปกวาดล้างพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูง ท่านก็ต้องหาเหตุผลไปอธิบายให้เบื้องสูงฟังด้วยสินะ แล้วถ้าหากท่านไม่ต้องการให้เกิดเรื่องขึ้น ท่านเองก็ต้องจ่ายเช่นกันหรือ ?” ซูเฉินถาม

อันซื่อหยวนหัวเราะ “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของทางการนั้น ถือได้ว่าเป็นเครื่องรางกันภัยรูปแบบหนึ่ง แต่มันก็นับเป็นคำสาปที่ห้ามไม่ให้เราทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราต้องการเช่นกัน แล้วเซินอวิ๋นหงตายได้อย่างไร ?”

“มันไปที่เกาะใจหยกเพื่อสู้และพบกับความตาย”

“เจียงซีสุ่ยงั้นรึ” ชายชราถอนหายใจ แม้ซูเฉินจะไม่เคยบอกเขาเกี่ยวกับเจียงซีสุ่ย แต่ตัวตนของอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนร่วมชั้นของชายหนุ่มไม่ใช่ความลับอะไร ดังนั้นทุกคนจึงทราบเรื่องนี้ดี อย่างไรก็ดีเจียงซีสุ่ยไม่เคยทำอะไรที่เกินเลยมากไป และทางน้ำของเมืองธารน้ำใสเองก็ไม่ได้ถูกปิดกั้น ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้งหลายจึงไม่เคยหมายหัวเขา

หลังจากที่ซูเฉินถูกโจมตี เจียงซีสุ่ยก็ได้ตัดเส้นทางน้ำทิ้งทันที ในเรื่องนี้อันซื่อหยวนก็เคยได้ยินมาเช่นกัน และเมื่อนำข้อมูลทั้ง 2 ชิ้นมารวมกัน ชายชราก็เข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “นั่นดีที่สุดแล้ว เราสามารถผลักทุกอย่างไปให้โจรสลัดเหล่านั้นได้ แต่การโจมตีตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นเป็นอีกเรื่อง มันยังต้องใช้เวลาในการวางแผน หากไม่มีข้อแก้ตัวดี ๆ ข้าก็คงไม่มีปัญญาที่จะจ่ายได้มากขนาดนั้น ดังนั้นเราต้องลงมืออย่างระมัดระวัง”

“แล้วถ้าหากข้ามีข้อแก้ตัวดีและจ่ายไหวล่ะ ?”

“หือ ?” อันซื่อหยวนตะลึงไปชั่วขณะ “ข้อแก้ตัวอะไร ?”

“กฎข้อห้ามของการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญ – ไม่อนุญาตให้ผู้ที่อยู่ในด่านสู่พิสดารขึ้นไปต่อสู้ภายในเมือง”

ชายชราหรี่ตาของเขาลง “เจ้าหมายถึง … ”

“ตราบใดที่ท่านสามารถกันผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเอาไว้ที่ด้านนอกได้ ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

“เจ้าไม่กลัวว่าหวังซานหยูจะดักโจมตีเมื่อยามเจ้าออกจากเมืองหรือ ?”

“เมื่อข้าออกจากเมือง ข้าสามารถปล่อยทุกอย่างให้โจรสลัดเหล่านั้นจัดการได้” ซูเฉินตอบ

หัวใจของอันซื่อหยวนสั่นไหวไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่า ! เป็นความคิดที่ดี ! ทว่าซูเฉิน เจ้าแน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ?”

“สำเร็จหรือล้มเหลวหากไม่ลองดูก็คงจะไม่มีทางรู้ได้ หากมันล้มเหลวข้าจะเป็นผู้แบกรับผลที่ตามมาเอง และหากมันสำเร็จ ข้าหวังว่าจะไม่มีคนในฝั่งของท่านเจ้าเมืองมาฉุดรั้งขาข้าลงนะ”

อันซื่อหยวนเข้าใจถึงความหมายในคำพูดของชายหนุ่มดี “ซูเฉิน เรื่องของชิงกวง ข้า … ”

ซูเฉินกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความลำบากใจของท่านเจ้าเมืองดี ข้าจึงไม่ขอให้ท่านทำอะไรเพื่อข้า ข้าแค่หวังว่าวันหนึ่งเมื่อเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนทางนั้นบาง ท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าทำและไม่ขัดขวางกัน”

ชายชราขมวดคิ้ว “จำต้องทำเช่นนั้นด้วยหรือ ? เมื่อศัตรูร่วมกันอยู่เบื้องหน้า เราทุกคนก็ควรร่วมมือกันสิ”

“นั่นคือเหตุผลที่ข้าจะรอจนกว่าศัตรูของเราจะถูกจัดการ แล้วค่อยมาสะสางปัญหาภายในที่หลัง”

อันซื่อหยวนถอนหายใจยาวและไม่พูดอะไรอีก

ซูเฉินรู้ดีว่านี่คือการแสดงออกที่หมายถึงการยอมรับของชายชรา

ชายหนุ่มโค้งคำนับเจ้าเมืองอันจากนั้นก็หันหลังกลับแล้วจากไป

————————————

ท่าเรือเมืองธารน้ำใส

นับตั้งแต่ที่กองกำลังสามสายธารได้ตัดเส้นทางการเดินเรือ จำนวนเรือที่จอดเทียบท่าก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่กลุ่มอันธพาลฉางชิงเองก็เริ่มไม่มีอะไรให้ทำ

แต่สถานการณ์ในวันนี้กลับต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย

เรือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสินค้า 3 ลำได้เข้ามาเทียบท่า ดึงดูดเสียงตะโกนโห่ร้องของผู้คนนับไม่ถ้วนที่หาเลี้ยงชีพอยู่ในท่าเทียบเรือ

เรือทั้งลำเต็มไปด้วยสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ทุกประเภทโดยเฉพาะอาหาร

เมืองธารน้ำใสมีวัตถุดิบและส่วนผสมของยาต่าง ๆ อยู่มากมายแต่มีอาหารไม่มากนัก ในทุกปีพวกเขาจะต้องนำเข้าอาหารจำนวนมากจากภายนอก เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรในเมือง การปิดกั้นเส้นทางน้ำได้ส่งผลกระทบต่อพลเรือนเป็นกลุ่มแรก ราคาของอาหารและธัญพืชต่าง ๆ เริ่มสูงขึ้นทุกวัน ดังนั้นการปรากฏตัวของเรือที่เต็มไปด้วยอาหารเหล่านี้ สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ได้อย่างมาก

ทันทีที่เรือเทียบท่า คนงานท่าเรือก็ขึ้นเรือเพื่อขนถ่ายอาหาร

“ช้า ๆ ทีละคน !” ภายใต้การดูแลของหัวหน้าคนงาน ถุงอาหารและธัญพืชต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ถูกขนขึ้นจากเรือทีละถุง

ไม่มีใครได้สังเกตเห็นเลยว่านอกจากอาหารแล้ว ในลำเรือยังซ่อนผู้คนเอาไว้จำนวนมาก พวกเขาแต่งตัวเช่นเดียวกับคนงานในท่าเรือที่มีผ้าขนหนูสีขาวพันรอบศีรษะ พากันแบกถุงอาหารแล้วลงจากเรือ หลังจากขึ้นฝั่งพวกเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังโกดังลับใกล้กับท่าเทียบเรือ

ไม่นานนักสถานที่แห่งนั้นก็เต็มไปด้วยผู้คน

“รวม 200 คน ทั้งหมดเป็นมือดีที่ใช้โทเทมโลหิตสลายได้ นี้น่าจะเพียงพอสำหรับให้เจ้าใช้งาน” ซูเฉินกล่าวกับหวังเหวินซิ่น

หวังเหวินซิ่นหัวเราะ “แค่นี้ก็มากเกินพอที่จะจัดการเมืองธารน้ำใสได้ทั้งเมืองแล้ว ท่านเจ้ากรมโปรดวางใจนับแต่นี้ไป ใต้ดินของเมืองนี้เป็นของกลุ่มอันธพาลฉางชิงแล้ว”

ท่ามกลางค่ำคืนดึกสงัด

ถนนละอองสีชาดได้เริ่มคึกคักขึ้นมาเช่นทุกวัน

ถนนสายนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะถนนที่ไม่เคยหลับแห่งเมืองธารน้ำใส สถานที่แห่งนี้เป็นดั่งสวรรค์ของยามวิกาล

เขตละอองสีชาดนั้นคลาคล่ำไปด้วยหญิงคณิกามากมาย ศาลาเสาวคนธ์มัวเมาที่หวังเหวินซิ่นชอบไปบ่อย ๆ ก็อยู่บนถนนสายนี้เช่นกัน

ถนนทั้งสายนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มอินทรีแดง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหนังทั้งหมดในเมือง จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากพวกเขาก่อนที่จะดำเนินการ

แต่ในวันนี้ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

บนถนนสายยาวที่มีชีวิตชีวาที่มีผู้คนสัญจรกันอยู่ไม่ขาดสาย

จนกระทั่งกลุ่มคนสวมเสื้อคลุมสีแดงพร้อมกับดาบในมือ ปรากฏตัวขึ้นที่ปลายด้านหนึ่งของถนนอย่างเงียบ ๆ แต่จิตสังหารที่อบอวลเต็มไปทั่วอากาศ สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้พบเห็น จนผู้คนโดยรอบต่างก็พากันหลบเลี่ยงพวกเขา

กลุ่มคนเสื้อคลุมแดงเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ จุดประกายความวุ่นวายในทุกทางที่พวกเขาก้าวย่างไป

กลุ่มอินทรีแดงผู้ดูแลพื้นที่แห่งนี้ย่อมไม่สามารถนั่งดูสถานการณ์เช่นนี้อยู่เฉย ๆ ได้ ไม่นานนักกลุ่มชายร่างใหญ่ที่ถือมีดถือไม้ก็วิ่งออกมา แม้ว่าพวกเขาจะดูแข็งแกร่ง แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าพวกเขาอ่อนแอกว่าเหล่ากลุ่มคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดง

“สหายจากกลุ่มอันธพาลฉางชิง พวกเจ้ามีธุระอะไรที่ถนนละอองสีชาดของข้ากัน ?” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้ากล่าวขึ้น พวกเขารู้ถึงตัวคนของคนเหล่านี้อย่างชัดเจน

ขณะที่เขาพูด กลุ่มคนเสื้อคลุมแดงก็แยกออกเป็น 2 ฝั่ง จากนั้นคนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากทางด้านหลัง เป็นหวังเหวินซิ่น

หวังเหวินซิ่นกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ทำไม ? ถ้าข้าอยากจะไปเดินเล่นที่ไหน จำต้องขออนุญาตจากกลุ่มอินทรีแดงด้วยหรือ ?”

เมื่อเห็นท่าทีของหวังเหวินซิ่น การแสดงออกของกลุ่มอินทรีแดงก็จริงจังมากขึ้น “ที่แท้ก็เป็นหัวหน้าหวัง หากหัวหน้าหวังต้องการที่จะออกมาเดินเล่น พวกข้าก็ไม่ขัดอะไรท่านหรอก แต่การที่ท่านมาที่นี่พร้อมกับคนจำนวนมาก รวมกับแรงกดดันอันหนักหน่วงเช่นนี้ ในสายตาของข้ามันดูไม่เหมือนการเดินเล่นสักเท่าไหร่ ดูสิ ท่านกำลังทำให้ลูกค้าที่นี่กลัวกันหมดแล้ว”

หวังเหวินซิ่นมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าแขกเหรื่อของร้านรวงต่าง ๆ เริ่มถอยห่างและหลบเลี่ยงจากไปทีละคน รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ดีแล้วที่พวกข้าทำให้พวกมันกลัวจนจากไปได้ เพราะหลังจากนี้พวกมันจะรู้สึกขอบคุณข้า”

ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชะงัก “ขอบคุณเรื่องอะไร ?”

“ก็ต้องเป็นขอบคุณที่ข้าไว้ชีวิตพวกมันไง” ใบหน้าของหวังเหวินซิ่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นในทันที “คืนนี้ข้าจะล้างถนนนี้ด้วยเลือด ผู้ที่อยู่ที่นี่เพื่อรอดูชมการแสดงและยังไม่ออกไป พวกเจ้ากำลังอยู่รอความตายงั้นหรือ ?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกจากปากของเขา เหล่าคนที่เหลืออยู่ต่างก็พากันวิ่งหนีจากไปด้วยความหวาดกลัว การแสดงออกของสมาชิกกลุ่มอินทรีแดงเปลี่ยนไปอย่างมาก

หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นเสียงดัง “หวังเหวินซิ่น นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?”

“หมายความว่าอย่างไร ? มันก็หมายความว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งถนนละอองสีชาดและกลุ่มอินทรีแดงคือของของข้า หากใครไม่เห็นด้วยกับข้า ตาย !”

หวังเหวินซิ่นโบกมือของเขา กลุ่มคนเสื้อคลุมแดงจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาทันที