พอเดินสุดทางเดินจากประตูหลักแล้วเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางก็เห็นฉากกั้นรูปภูเขาหินขนาดใหญ่ ด้านหลังฉากกั้นคือประตูลาน นี่เป็นประตูที่สอง พอเข้าประตูสองจะเป็นเรือนห้าหลังที่สร้างอยู่ทิศเหนือของเรือนหลัก ด้านหน้ามีระเบียงกว้างขวาง ใต้ระเบียงเป็นเสาสี่เสา สิ่งปลูกสร้างนี้มีจิตรกรรมฝาผนังด้วย
ตรงนี้เป็นทิศที่หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ ลักษณะของสิ่งปลูกสร้างเรียบหรูทำให้เห็นความโออ่าอลังการ ใต้ชายคาระเบียงที่อยู่ตรงหน้าประตูเรือนหลักมีป้ายแขวนสีน้ำเงินและตัวอักษรสีทองบนป้ายเขียนสามคำใหญ่ว่า “เรือนชุนฮุย” ที่นี่น่าจะเป็นที่พักอาศัยที่สำคัญที่สุดในแม่ทัพติ้งหย่วน
เว่ยจางมองตัวอักษรสามพยางค์บนป้ายแล้วพูดขึ้น “ที่นี่เคยเป็นเรือนที่ท่านย่าพัก คิดๆ ดูแล้วก็นานหลายปีแล้ว วันนี้ข้าสั่งให้คนซ่อมบำรุงทั้งด้านในและด้านนอกแล้ว”
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่คิดว่าวันข้างหน้าเรือนแห่งนี้จะให้กลายเป็นเรือนรับแขกเหรื่อคนสำคัญ หากพักอยู่ที่นี่ก็มักจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย นางไม่ชอบห้องที่ใหญ่และว่างเปล่าเกินไป หากตื่นตอนกลางคืนแล้วมองห้องกว้างจนไม่เห็นขอบห้องนั้นจะรู้สึกขวัญเสียและว้าเหว่
เว่ยจางมองสีหน้าของนางก็รู้ว่านางไม่ชอบ ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “พวกเราไปดูด้านหลังเถอะ”
ทุกคนจึงเดินออกจากเรือนชุนฮุย แล้วเดินไปด้านหลังต่อ
ด้านหลังยังมีเรือนอีกหนึ่งหลัง เป็นเรือนที่เล็กกว่าเรือนชุนฮุย อากาศในเรือนนี้ฟุ้งด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุษบา สวนของเรือนแห่งนี้ปลูกดอกไม้ไว้ไม่น้อย ยังมีคนสวนสองสามคนกำลังตัดแต่งกิ่งดอกไม้ พอเห็นเว่ยจางมาเยือน พวกเขาก็วางอุปกรณ์ในมือลงแล้วเข้าไปน้อมทำความเคารพ
เว่ยจางก็ไม่สนใจพวกเขา แค่พาคนเดินเข้าไปด้านใน
ที่นี่มีเรือนหลักอยู่ห้าเรือน ทุกเรือนต่างมีเรือนข้างทั้งด้านซ้ายและขวา เรือนแห่งนี้แตกต่างจากเรือนชุนฮุย ประตูหน้าต่างเป็นลายฉลุใหญ่รูปแบบใหม่ ทั้งสี่มุมสลักลายดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ และดอกเบญจมาศ และยังสลักตัวอักษรวาสนาความสุขอายุยืนและปลื้มปีติ บนประตูหลักก็มีป้ายแขวนคำว่า ‘เรือนเยี่ยนอาน’
“เอ๊ะ? หน้าต่างที่นี่ยังไม่ได้ติดกระดาษหรือ” หันหมิงชั่นเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ชุ่ยเวยเดินหน้ามาด้วยรอยยิ้มเบิกบานแล้วยกมือเคาะประตู ทำให้กระจกใสสะอาดส่งเสียงขึ้นมา หันหมิงชั่นสะดุ้งตกใจจนขวัญเสีย ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “นี่คืออะไร? ผลึก? นี่มันหรูหราเกินไปแล้วหรือเปล่า”
หันซังเย่ว์ก็เดินเข้าไปเคาะดูแล้วเอ่ยถามเว่ยจางด้วยรอยยิ้ม “นี่น่าจะเป็นกระจกเสี่ยนจวิน ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ กลับติดกระจกมากปานนี้เชียวหรือ”
เว่ยจางยกยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไร กลับมองเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ในเรือนแล้วมองเรือนหลักที่ก่อด้วยอิฐสีนิลด้วยความพอใจฝีมือการฉาบปูนอุดรูผนังเรียบเนียน ประตูหน้าต่างไม้จันทน์สีเข้มกึ่งกระจกนี้เหมือนยังขาดอะไรบางอย่าง
“อ๊า! ข้าลืมไปเลย” หันซังเย่ว์ยกมือตบหน้าผากตนเอง “คุณหนูเหยาได้สูตรลับการหลอมกระจกจากคนต่างแดน ตอนนี้ก็มีโรงงานกระจกของตนเอง พี่เสี่ยนจวินคงไม่ขาดแคลนของพวกนี้อยู่แล้ว”
หันหมิงชั่นดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปถาม “เรื่องจริงหรือนี่ ต้องใช้เงินประมาณเท่าใด เรือนของข้าก็อยากจะให้กลายเป็นเช่นนี้!”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดอย่างรื่นเริง “พี่สาวอยากได้เดี๋ยวข้าสั่งให้คนส่งไปเอง จะพูดถึงเรื่องเงินไปไยกัน” ขณะที่พูดนางก็ดึงหันหมิงชั่นเข้าไปในเรือนโดยตรงแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ดูก่อนว่าติดกระจกรอบเรือน ในเรือนจะสว่างขึ้นหรือไม่”
หันหมิงชั่นตามเหยาเยี่ยนอวี่เข้าเรือน ในเรือนจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ตั่งไม้ และเครื่องใช้อื่นๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเครื่องนอนกลับยังไม่มี ของเหล่านี้ฝ่ายหญิงเป็นคนเตรียม เว่ยจางจึงไม่ต้องกังวล
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก ใช้นิ้วมือลูบคาง จู่ๆ ก็พูดขึ้นยิ้มๆ “ใช่แล้วห น้าต่างนี้ต้องมีม่าน”
“ม่าน?” หันหมิงชั่นเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “มันคืออะไร”
“เป็นมุ้งที่เอาไว้ปิดหน้าต่าง” เหยาเยี่ยนอวี่จึงอธิบายขึ้น “กระจกโปร่งใสเกินไป คนด้านนอกมองเห็นด้านใน จึงไม่เป็นส่วนตัวแม้แต่น้อย ตอนกลางวันมีแสงส่องเข้ามา ทว่าตอนกลางคืนกลับนอนหลับไม่สนิท”
“มันก็ถูกของเจ้า” หันหมิงชั่นพยักหน้า
ทั้งสองเดินวนในห้องนอนไปหนึ่งรอบ หันหมิงชั่นยังคงเอ่ยชมประตูหน้าต่างไม่หยุด “หน้าต่างแบบนี้ดูสบายตาจริงๆหากหิมะตกในเหมันตฤดูยังชมหิมะด้านนอกโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าต่าง”
“เป็นเช่นนั้น กลับไปพี่หันก็สั่งให้คนไปวัดขนาดของสวนดอกเหมยในจวนองค์หญิงใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนทำกระจกตามขนาดที่วัดมาของเจ้า ตอนชมดอกเหมยในเหมันตฤดูปีนี้จะได้ไม่ต้องวิ่งออกไปตากลมหนาว”
“อืม! ต้องทำเช่นนี้แล้ว!” คุณหนูหันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่กลับจากจวนแม่ทัพติ้งโหว เหยาเยี่ยนอวี่ก็สั่งให้เฝิงหมัวมัวมาพบแล้วกำชับให้นางไปสั่งทำม่านหน้าต่าง นางต้องการม่านหน้าต่างสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นผ้าต่วนผืนหนา อีกชั้นคือผ้าโปร่ งสีของม่านต้องเรียบหรู ปักลายกิ่งก้านบุปผาแค่ไม่เป็นสีแดงล้วนก็พอ
เฝิงหมัวมัวไม่เห็นด้วย บอกว่านี่เป็นเรื่องมงคล การแต่งงานเป็นเรื่องมงคลที่สำคัญที่สุดตลอดชีวิตนี้ แต่ละอย่างล้วนต้องเป็นสีแดง หากคุณหนูชอบสีเรียบหรูก็เตรียมไว้สองชุดได้ หลังจากแต่งงานค่อยเปลี่ยนเป็นสีเรียบ ทว่าวันที่แต่งงานในเรือนหอห้ามมีสีอื่นปะปนมาเด็ดขาด
หลังจากนั้นหนิงฮูหยินน้อยก็พูดเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกจนปัญญา จึงทำได้เพียงทำตาม เลยสั่งให้จัดเตรียมม่านสีแดงปักลายผีเสื้อขาวและดอกโบตั๋น อีกชุดคือสีท้องฟ้าหลังฝนอันสดใส ส่วนอีกชุดคือสีขาวงาช้าง หนิงฮูหยินน้อยบอกว่ากลัวปักเสร็จไม่ทัน เหยาเยี่ยนอวี่เลยบอกว่าปักลายม่านสีแดงก็พอ ส่วนอีกสองชุดไม่จำเป็นต้องปักลายใด แค่ใช้ผ้าต่วนสีเรียบก็พอแล้ว
ทว่าเฝิงหมัวมัวรู้สึกว่ามันเรียบง่ายเกินไปไม่เหมาะสมกับคู่หนุ่มสาว อย่างไรม่านสองชุดที่เหลือต้องปักลายบุษบา นางจึงบอกให้คุณหนูอย่าได้กังวลเรื่องเหล่านี้
แค่พูดคุยเรื่องเหล่านี้ไปสักพักอาหารค่ำก็จัดวางเสร็จแล้ว หนิงฮูหยินน้อยจึงกินข้าวพร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ที่เกิดเป็นหมอหญิงต้องมีอำนาจในการกำชับให้แม่ครัวทำอาหารมื้อค่ำอยู่แล้ว นางเลยสั่งให้ทำอาหารที่จืดชื ดหากเป็นไปได้ก็อย่าใช้เนื้อมาประกอบอาหารมื้อค่ำ ใช้พืชผักทั้งหมด ส่วนมื้อค่ำของนางก็กินแค่ข้าวต้มเพื่อสุขภาพเท่านั้น
หนิงฮูหยินน้อยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยตอนอยู่เขตตอนใต้จนเคยชิน ตอนแรกก็ค่อนข้างรับไม่ได้ ตอนนี้ค่อยๆ ถูกเหยาเยี่ยนอวี่จูงใจ ตอนค่ำจึงกินข้าวต้มหนึ่งถ้วยเหมือนเหยาเยี่ยนอวี่
หลังจากกินข้าวเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ถามถึงสุขภาพร่างกายของเหยาเฟิ่งเกอ หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นลอยๆ “พี่สาวของเจ้าดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูสามซูก็ดีขึ้นมากด้วยเช่นกัน ได้ยินว่าตอนนี้นางกินข้าวได้บ้าง แค่ฮูหยินจวนโหวเสียใจเกินไปจนป่วยไข้ วันนี้ยังเชิญหมอหลวงไปดูอาการอย่างกะทันหัน ยังดีที่ฮูหยินครอบครัวบุตรคนรองก็มาด้วย ไม่เช่นนั้นในจวนนั้นคงจะยุ่งวุ่นวายน่าดู”
“เสียใจเกินไปจนป่วยไข้?” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะในใจ สะใภ้คนนี้กตัญญูเกินไปหรือเปล่า
“เขาว่ากันเช่นนี้” หนิงฮูหยินน้อยก็แย้มยิ้ม “หรือว่าฮูหยินท่านโหวอาจจะป่วยเป็นโรคอะไรตั้งแต่แรกหรือเปล่า ช่วงนี้นางเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จู่ๆ อาการจึงกำเริบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า เรื่องนี้นางเชื่อว่าเรื่องที่องค์หญิงต้าจั่งทรงสิ้นพระชนม์ต้องมีบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้แน่นอน เหตุเพราะลู่ฮูหยินที่เป็นสะใภ้คนโตจึงร้องไห้ไว้อาลัยผู้เสียชีวิตอย่างเดียว ทว่าเรื่องบางอย่างนางก็ไม่ควรทิ้งให้เฟิงฮูหยินน้อยเป็นคนจัดการทั้งหมด นางก็ไม่ใช่คนที่ยอมมอบอำนาจให้คนอื่นเช่นนั้น
ทว่าเรื่องของตระกูลอื่นก็มีคนคอยกลุ้มใจอยู่แล้ว คุณหนูเหยาเกียจคร้านไปคิดมาก
จวนติ้งโหวในเรือนของลู่ฮูหยิน
เหลียนหมัวมัวพยุงนายหญิงที่มีดวงหน้าซีดเซียวไปล้างมือแล้วถอดเสื้อผ้าไว้ทุกข์ออก นางสวมใส่แค่ชุดตัวในสีขาวนวลจันทร์ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องสงบพร้อมทั้งจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยความศรัทธาพร้อมทั้งค่อยๆ คุกเข่าลง
ฮูหยินน้อยกำลูกประคำไว้หนึ่งพวง คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์พลางสวดมนต์เงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังสวดมนต์ให้ใคร เหลียนหมัวมัวถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหัวพลางสาวเท้าออกจากห้องสงบพร้อมปิดประตูห้องให้เรียบร้อย