ตอนที่ 281 คิดถึงสารทฤดูหน้าคันฉ่อง (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ซุนฮูหยินน้อยพาสาวใช้คนสนิทชิงซิ่งยกกล่องอาหารเข้าไป พอเห็นเหลียนหมัวมัวจึงเอ่ยถามด้วยเสียเบา “ท่านแม่หลับหรือยัง”

“ฮูหยินกำลังจุดธูปถวายพระโพธิสัตว์อยู่เจ้าค่ะ บอกว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ฮูหยินน้อยรองมาทำอะไรป่านนี้เจ้าคะ”

ซุนฮูหยินน้อยมองกล่องอาหารที่อยู่ในมือของชิงซิ่งแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าคิดว่าท่านแม่ไม่ได้กินมื้อค่ำเลยตุ๋นรันแกมาให้ เวลาเช่นนี้ร่างกายของท่านแม่ย่ำแย่ลงไม่ได้เด็ดขาด”

“ฮูหยินน้อยรองลำบากแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวพลันรับไว้แล้วพูดขึ้น “เวลาก็ล่วงเลยถึงยามสองแล้ว รอให้ฮูหยินจุดธูปเสร็จบ่าวจะแจ้งแทนฮูหยินน้อยรองเองนะเจ้าคะ”

“ลำบากหมัวมัวแล้ว นี่เวลาก็ล่วงเลยแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะ”

“ฮูหยินน้อยรองค่อยๆ กลับเจ้าค่ะ”

“อืม” ซุนฮูหยินน้องเหลือบมองม่านประตูห้องนอนของลู่ฮูหยินแล้วพาชิงซิ่งจากไป

ทั้งนายและบ่าวเดินออกไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลากลางดึก แสงไฟหลายๆ แห่งที่เรือนหลังดับลง บรรยากาศเงียบสงบนัก ซุนฮูหยินน้อยกำลังคิดอะไรบางอย่างในใจ ตลอดทางนางไม่พูดไม่จา แค่เดินอย่างเงียบๆ

เพิ่งจะเดินเปลี่ยนทิศไปยังประตูพระจันทร์ก็ได้ยินตรงหัวมุมเหมือนมีคนกำลังเสวนา ดังนั้นจึงเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเชื่องช้า

ทางโน้นมีผัวจื่อคนหนึ่งที่เฝ้ากะกลางคืนกับผัวจื่ออีกคนอยู่ด้วยกัน พวกนางกำลังพึ่งพาแสงจากโคมไฟเล่นไพ่

ผัวจื่อหนึ่งคนพูดขึ้น “ได้ข่าวมาบ้างไหมช่วงนี้ฮูหยินมักจะฝันร้าย”

“ฝันร้ายอะไร”

“ได้ยินมาว่าตอนที่องค์หญิงต้าจั่งมีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยโปรดปรานฮูหยินมากนัก ปกติก็ชอบตำหนินางและลงโทษให้นางคุกเข่าอยู่เป็นประจำ”

“คำพูดเช่นนี้อย่าพูดขึ้นเรื่อยเปื่อยเด็ดขาด หากเบื้องบนรู้หัวเจ้าได้หลุดแน่”

“ใครจะไปพูดเรื่อยเปื่อยล่ะ นี่ก็ยามสามแล้ว พวกเราก็แค่พูดคุยเล่นกันเท่านั้น เฮ้อ ว่าไปก็เพราะพวกนางไม่ถูกคอกัน ตอนนี้ต่อให้องค์หญิงต้าจั่งจากไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยนางไปอีก”

ซุนฮูหยินน้อยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที หันไปมองชิงซิ่งเพียงชั่วพริบตา

ชิงซิ่งสาวเท้าก้าวใหญ่ไปด้านหน้าแล้วตวาดใส่พวกนาง “พวกเจ้าสองคนอยากตายหรือไร! กลับกล้ามาพูดจาเหลวไหลที่นี่!”

“อั๊ยโย! สวรรค์!” ผัวจื่อหันหลังก็เห็นว่าเป็นชิงซิ่งจึงรีบโยนไพ่ในมือทิ้งแล้วหันมองคุกเข่าลงร้องขอให้อภัย “แม่นางได้โปรดอภัย พวกเราก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ได้โปรดอย่ารายงานให้นายหญิง…”

“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าพูดขึ้นเรื่อยเปื่อยกระนั้นหรือ!” ซุนฮูหยินน้อยเดินหน้าพลางถามย้อนเชิงตำหนิด้วยเสียงเย็นชา

ผัวจื่อทั้งสองคนนั้นเห็นซุนฮูหยินน้อยจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที พวกนางพลันใช้ฝ่ามือตบปากของตนเองแล้วขอร้องให้อภัยไม่หยุด “บ่าวสับสนงุนงงจึงพูดขึ้นเรื่อยเปื่อย! ได้โปรดฮูหยินน้อยรองอภัย! บ่าวสมควรตาย วันข้างหน้าจะไม่กล้าพูดเช่นนี้อีกแล้ว! ได้โปรดฮูหยินน้อยยกโทษเจ้าค่ะ!”

ซุนฮูหยินน้อยมองซ้ายแลขวา ตรงนี้เป็นเรือนเล็กๆ ที่เก็บของหลังเรือนลู่ฮูหยิน หากเดินไปด้านหลังอีกหน่อยก็คือเรือนชิงผิง เดินไปทางฝั่งทิศตะวันตกที่มีถนนคั่นกลางคือเรือนของคุณชายรอง หากตวาดเสียงดังที่นี่คงจะไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นนางจึงกดเสียงต่ำแล้วพูดอย่างโหดเหี้ยม “เห็นแก่เรื่องขององค์หญิงต้าจั่ง ข้าจะไม่เอาเรื่องอะไรจากพวกเจ้า หากข้ายังได้ยินคำพูดเหล่านี้อีก ข้าจะไปฟ้องฮูหยิน แล้วรอดูพวกเจ้าถูกเฆี่ยนตาย!”

“ขอบคุณฮูหยินรองเจ้าค่ะ!”

“ขอบคุณฮูหยินรองเจ้าค่ะ! บุญคุณอันใหญ่หลวงของฮูหยินรองพวกบ่าวจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิตเจ้าค่ะ!”

“พวกบ่าวจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิตเจ้าค่ะ!”

ผัวจื่อสองคนผงกหัวเหมือนโขกกระเทียมในปาก เอ่ยแต่คำกล่าวขอบคุณ

ซุนฮูหยินน้อยตักเตือนพวกนางอีกหนึ่งชุดแล้วพาชิงซิ่งกลับเรือนของตนเอง ซูอวี้อันกลับมาตั้งนานแล้ว พอเห็นพวกนางสองคนจึงเอ่ยถาม “ดึกดื่นป่านนี้แล้วพวกเจ้าไปเพ่นพ่านไหนมา”

“ท่านแม่ไม่ได้กินมื้อค่ำ ข้าเลยส่งรังนกตุ๋นไป” ซุนฮูหยินน้อยพูดไปจึงเอ่ยถามแม่นมว่าเซวียนเกอเอ๋อร์หลับหรือยัง แม่นมจึงตอบกลับมาว่าหลับสนิทไปแล้ว

“ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างแล้ว หมอหลวงก็บอกไม่ได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ช่างทำให้กังวลใจยิ่งนัก” ซูอวี้อันถอนหายใจแล้วเอนกายลงบนตั่งไม้

“เหลียนหมัวมัวบอกว่าฮูหยินจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์อยู่ข้าเลยไม่ได้เข้าไป” ซุนฮูหยินน้อยกำลังครุ่นคิด ในใจถึงคำพูดของผัวจื่อสองคนนั้น ปกติพวกนางไม่ได้มากความเช่นนั้น

“เจ้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ซูอวี้อันอาศัยแสงเทียนมองสีหน้าของภรรยาแล้วเอ่ยถาม

“ข้าจะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ” ซุนฮูหยินน้อยแย้มยิ้มอ่อนๆ “ข้าก็แค่เป็นห่วงสุขภาพร่างกายของท่านแม่เท่านั้น”

ซูอวี้อันก็ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “วันมะรืนฝังศพแล้ว สุสานบรรพบุรุษไกลนับหลายสิบลี้ ไปกลับต้องใช้เวลาสี่ห้าวัน รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก็เชิญหมอหลวงมาบำรุงร่างกายท่านแม่หน่อยเถอะ”

“ท่านอารองกลับมาครั้งนี้จะกลับไปอีกหรือไม่”

“พระราชโองการเกี่ยวกับการออกจากราชการของท่านอาเนื่องจากต้องไว้อาลัยให้ท่านย่าก็ได้ลงมาแล้ว งานทางราชการทางเขตตอนใต้ของท่านอารองมอบหมายให้คนอื่นสานต่อไปแล้ว”

ซุนฮูหยินน้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดีจึงเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่าไม่ต้องลาออกจากงานราชการมาไว้อาลัยหรือ”

ซูอวี้อันเปรยด้วยเสียงเบา “ฮ่องเต้ได้ข่าวเรื่องที่ท่านย่าสิ้นจึงรู้สึกทุกข์ระทมยิ่งนัก แล้วจะละเว้นไม่ต้องลาออกจากงานราชการได้อย่างไร”

“เช่นนั้นงานทางราชการของพี่ใหญ่กับเจ้า…”

“ทางฝั่งเฉิงอ๋องก็ได้บอกข้าแล้วว่าช่วงนี้เกิดเรื่องในจวนเลยให้ข้าพักงานทางราชการ รอให้จัดการกับงานศพของท่านย่าเสร็จเสียก่อน ส่วนทางฝั่งพี่ใหญ่ ช่วงนี้เขาไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เขตชายแดนก็ไม่ได้สู้รบกัน เหล่าแม่ทัพต่างก็มีเวลาว่างเว้น จึงไม่เป็นปัญหาอะไร”

ซุนฮูหยินน้อยยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เหตุเพราะการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงต้าจั่ง ธุรการทางราชการของเหล่าคุณชายและนายท่านในจวนต้องยุติลง! แม้ตระกูลโหวจะไม่กลัวเรื่องเหล่านี้ หลังจากผ่านการไว้อาลัยพวกเขาก็ยังใช้เส้นสายของการเป็นพระญาติได้ ทว่านี่ต้องไว้อาลัยตั้งสามปีแน่ะ!

ฮูหยินน้อยรองจึงรู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก

ในเรือนฉีเสียง คุณชายสามซูยังคงไม่กลับมาเช่นเคย

เขาไม่กลับมา เหยาเฟิ่งเกอยิ่งรู้สึกสงบสุข พอถึงตอนกลางคืนก็สั่งให้คนปิดประตูเรือน นางมองแม่นมป้อนนมและกล่อมเย่ว์เอ๋อร์นอนเสร็จตนเองก็สั่งให้ซานหูเก็บกวาดเรือนแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน

ซานหูเพิ่งจะดับแสงไฟ หู่พั่วก็ขานเรียกจากด้านนอก “ฮูหยินน้อยสามหลับแล้วหรือ”

เหยาเฟิ่งเกอพูดขึ้น “เข้ามาเถอะ”

หู่พั่วแอบเข้ามาแล้วสั่งให้สาวใช้ชั้นล่างที่นอนบนพื้นออกไป หลังจากปิดประตูให้สนิทก็ขยับเข้าไปใกล้พร้อมพูดเสียงค่อย “นายหญิงในเรือนของฮูหยินบอกว่าฮูหยินฝันร้ายมาหลายคืน คืนหนึ่งที่นางฝันร้ายก็ตะโกนพูดคำว่าให้อภัย แล้วยังพึมพำถึงองค์หญิงต้าจั่ง…”

เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกเปลือกตากระตุกจึงขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงมีเรื่องเช่นนี้”

“สาวใช้จวี๋หงบอกว่าวันนั้นนางเฝ้าเวรตอนกลางคืนเลยได้ยินกับหูเจ้าค่ะ เหลียนหมัวมัวกอดฮูหยินพลางปลอบโยนนางสักพัก ฮูหยินถึงจะได้สติกลับมา อีกอย่างหลายวันมานี้หลังจากที่กลับจากงานศพขององค์หญิงต้าจั่งก็มักจะคุกเข่าสวดมนต์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์เจ้าค่ะ ไม่ยอมเจอหน้าพบปะกับใครทั้งนั้น”

เหยาเฟิ่งเกอฟังจบจึงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ สักพักแล้วพูดขึ้นด้วยยิ้มอันเยือกเย็น “นางมีพิรุธ”

หู่พั่วมองซานหูแล้วไม่กล้ามากความอะไร ซานหูจึงรีบเกลี้ยกล่อม “เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว นายหญิงก็ควรนอนพักได้แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยรองของพวกบ่าวบอกแล้วว่าตอนอยู่เดือนอย่าได้ทำให้ดวงตาเหนื่อยล้าเพราะนอนดึกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นโรคตาก็ได้เจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าแล้วเอนกายนอนลงบนเตียง หู่พั่วค้อมตัวลงแล้วถอยออกไปด้านนอกเงียบๆ ซานหูถอดเสื้อผ้าชั้นนอกแล้วขึ้นเตียงนอนอยู่ด้านข้างเหยาเฟิ่งเกอ

ในเรือนจึงเงียบงันไปสักพัก เหยาเฟิ่งเกอนอนตะแคงข้างแล้วถอนหายใจเบาๆ

ซานหูพลันหันหน้าไปแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา “นายหญิงยังนอนไม่หลับอีกหรือ”

“เจ้าว่าเหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้ องค์หญิงต้าจั่งเสียไปไม่ได้เกิดผลดีใดๆ กับจวนโหวเลย ท่านโหวกับนายท่านผู้เฒ่ารองต่างก็ต้องไว้อาลัย แม้กระทั่งธุระทางราชการในค่ายทหารของท่านซื่อจื่อและคุณชายรองยังต้องหยุดไปก่อน” ได้ยินซานหูไม่พูดไม่จา เหยาเฟิ่งเกอจึงพูดเองเออเองพลางแสยะยิ้มขึ้น “นางยังคิดจะสู่ขอเฟิงซิ่วอวิ๋นเข้าจวนก่อน ไม่เช่นนั้นเรื่องผลิตทายาทของท่านซื่อจื่อก็ต้องล่าช้าไปอีกสามปี คิดๆ แล้วช่างน่าขบขันยิ่งนัก”