ซานหูครุ่นคิดไปสักพักแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “นิสัยขององค์หญิงต้าจั่งนายหญิงก็รู้ดี ตอนที่นางโมโหก็ไม่สนว่ารอบข้างจะมีใครอยู่ นางเอาแต่สบถหยาบและยกมือตบหน้าสั่งสอนคนอื่น”
เหยาเฟิ่งเกอยังคงแสยะยิ้ม “นางคือองค์หญิงต้าจั่ง ต้องวางอำนาจจนเคยตัว อีกอย่างองค์หญิงต้าจั่งกลับไม่เคยโมโหโดยไม่มีเหตุผล นางมักจะว่าด้วยเหตุผลตลอดถึงได้ทำเช่นนั้นออกมา อีกอย่าง…ตำแหน่งโหวนี้ที่ท่านกั๋วกงได้มาในตอนนั้นไม่ได้เป็นเพราะองค์หญิงหรือ”
ซานหูถอนหายใจเงียบๆ ใช่ ตอนนั้นบิดาของติ้งโหวเป็นเพียงแม่ทัพระดับสองเท่านั้น เหตุเพราะสมรสกับองค์หญิงอวิ๋นซังจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นโหว หลังจากนั้นเขาประสบความสำเร็จในการออกรบจึงได้แต่งตั้งให้เป็นติ้งกั๋วกงระดับสอง หลังจากนั้นซูกวงฉงบุตรชายคนโตก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโหวระดับหนึ่ง ทว่าติ้งโหวมัวแต่ยุ่งกับงานกลับไม่ได้คืบหน้าอะไร จึงไม่ได้รับการเลื่อนขั้นอีกต่อไป
หากพูดถึงจวนติ้งโหวเป็นตระกูลที่มีองค์หญิงต้าจั่งคอยหนุนหลัง หากให้พูดต่อไปอีก โชคดีที่ตอนนี้ท่านซื่อจื่อสร้างผลงานในค่ายทหาร นอกจากมีบรรดาศักดิ์ที่เป็นติ้งโหวซื่อจื่อแล้วยังมีฐานะเป็นขุนนางระดับสาม ตำแหน่งหัวหน้าเสนาธิการกองอำนวยการป้องกันแคว้น
คุณชายรองซูอวี้อันตอนนี้เป็นผู้ช่วยทหารรักษาการณ์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉิงอ๋อง เป็นทหารที่ใกล้ชิดฮ่องเต้และมีทศทหารเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับห้า
วันนี้องค์หญิงต้าจั่งสิ้น ตำแหน่งและยศต่างๆ ของบุรุษในจวนหยุดชะงักชั่วคราว นายท่านสองคนที่เป็นผู้อาวุโสต้องไว้อาลัยเป็นเวลาสามปี ในสามปีนี้อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะถูกละเว้นไม่ให้หยุดพักงานเพื่อไว้อาลัยอีกต่อไป แต่ความเป็นไปได้นั้นน้อยยิ่งนัก ส่วนเหล่าคุณชายที่เป็นรุ่นผู้น้อยก็ต้องไว้อาลัยอย่างน้อยหนึ่งปีกระมัง
ซานหูครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้จึงอดถอนหายใจไม่ได้ ทว่าก็เข้าใจดีว่าอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่นางสมควรไปครุ่นคิดถึงจึงเกลี้ยกล่อมเหยาเฟิ่งเกอ “นายหญิงรีบพักผ่อนเถอะ หลายวันนี้ต้องดูแลสุขภาพให้ดี วันมะรืนยังต้องติดตามไปสุสานบรรพบุรุษนอกเมืองอีก หนิงฮูหยินน้อยบอกมาแล้ววัน รุ่งขึ้นจะมารับเจี่ยเอ๋อร์ไปอยู่ทางโน้น”
พอเหยาเฟิ่งเกอคิดถึงบุตรี ภายในใจจึงรู้สึกปล่อยวางลงเล็กน้อย นางหันหลังแล้วหลับตานอนหลับไป
วันนี้เป็นวันปลงศพขององค์หญิงต้าจั่ง หนิงฮูหยินน้อยและเหยาเหยียนอี้มาเยือนอีกครั้ง พวกเขาที่เป็นญาติที่เกี่ยวดองกับจวนติ้งโหวจึงควรมาส่งศพขององค์หญิงต้าจั่ง เหยาเฟิ่งเกอเพิ่งจะอยู่เดือนจนครบ นางสวมใส่เสื้อผ้าสีเรียบแล้วติดตามเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยไป ด้านหลังของพวกนางสามคนมีเฟิงซิ่วอวิ๋นยืนอยู่ เหยาเฟิ่งเกอเห็นหนิงฮูหยินน้อยจึงรีบพานางไปเรือนข้างแล้วไปนั่งกับมารดาของเฟิงฮูหยินน้อยและน้องสะใภ้สกุลเฟิง สกุลหลี่ ทั้งยังมีพี่สะใภ้ของซุนฮูหยินน้อยสกุลซุนหยาง มีบ่าวยกน้ำชาและของว่างมาให้พวกนาง
น้องสะใภ้ของเฟิงฮูหยินน้อยจึงเอ่ยถามหนิงฮูหยินน้อย “เหตุใดคุณหนูรองของพวกเจ้าถึงไม่มาล่ะ ไม่ได้เจอนางมาสักระยะแล้ว รู้สึกคิดถึงนางอยู่เหมือนกัน”
แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากมา และหนิงฮูหยินน้อยก็ไม่ให้นางมา เหยาชุ่ยฮั่นและซูจิ่นเย่ว์ต่างก็อยู่จวน มีเพียงแม่นมและเหล่าสาวใช้คอยดูแล นางรู้สึกไม่วางใจจึงสั่งให้นางที่เป็นนายหญิงอยู่ในจวน
ดังนั้นหนิงฮูหยินน้อยจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “เดิมทีนางก็จะมา ทว่าเมื่อวานออกมาด้านนอกไม่รู้ว่าเหตุใดกลับไปถึงบอกว่าไม่สบาย แม้แต่อาหารก็ยังไม่กิน ข้าจึงบอกให้นางอยู่ในจวน”
พี่สะใภ้ของซุนฮูหยินน้อยสกุลซุนหยางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่ผ่านมา ข้าก็บอกว่าคุณหนูรองของพวกเจ้ามีวาสนายิ่งนัก ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้นาง”
หนิงฮูหยินน้อยแย้มยิ้มจางๆ “ได้รับการพระราชทานงานสมรสจากฝ่าบาทถือว่าเป็นบุญวาสนาของทั้งตระกูลเหยาของข้าจริงๆ”
สกุลซุนหยางยังคิดจะพูดอะไร หนิงฮูหยินน้อยกลับหันไปพูดคุยเล่นกับผู้อื่น ดังนั้นนางทำได้เพียงเม้มปาก ภายในใจกำลังพูดว่า พี่สะใภ้ของเหยา ฮูหยินน้อยดูจากภายนอกเหมือนจะอ่อนโยนไม่มีนิสัยดื้อดึงอะไร ทว่ากลับเป็นคนที่จัดการยากจริงๆ
แท้จริงแล้วสกุลซุนหยางจะรู้ได้อย่างไร ฮูหยินของเหยาหย่วนจือสกุลหวางติดตามมารดาสะสางงานเรือนตั้งแต่เด็ก ท่านผู้เฒ่าตระกูลหวางเคยเป็นเสนาบดีประจำกรมพิธีการจึงรับผิดชอบควบคุมเกี่ยวกับแคว้นต่างๆ ที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงมาเข้าเฝ้าถวายบรรณาการฮ่องเต้ ตอนที่หวางฮูหยินอาศัยอยู่ในจวนต้นตระกูลก็เจอคนหลากหลายประเภท นางจึงช่ำชองในการพบปะผู้คน
และเหยาหย่วนจือก็เป็นบุรุษที่ฉลาดหลักแหลม มิเช่นนั้นก็คงไม่ได้ครองตำแหน่งข้าหลวงใหญ่มาหลายสมัย สองสามีภรรยาจึงต้องเลือกสะใภ้ที่ดี พวกเขาสองสามีภรรยาคัดเลือกบุตรีตระกูลขุนนางระดับห้าขึ้นไปในสองเมืองถึงจะได้สะใภ้สองคนในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าเจียงฮูหยินน้อยและหนิงฮูหยินน้อยเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางระดับต้นๆ ในสองเมือง แล้วพวกนางจะยอมให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบได้อย่างไร
แท้จริงแล้วตอนแรกที่จะคัดเลือกสะใภ้ให้เหยาเหยียนอี้และเหยาเหยียนเอิน หวางฮูหยินและเหยาหย่วนจือก็เคยมีปัญหาขัดแย้งกัน
เหยาหย่วนจือโปรดปรานในคุณหนูตระกูลแม่ทัพ เขาคิดว่าตนเองคือขุนนางฝ่ายบุ๋น หากได้เกี่ยวดองกับตระกูลแม่ทัพอนาคตจะได้เป็นที่พึ่งให้กันและกัน
ทว่าหวางฮูหยินกลับโปรดปรานหนิงฮูหยินน้อย หวางฮูหยินบอกว่านางไม่ใช่สะใภ้ของสกุลทายาท หากเลือกสตรีที่มีนิสัยดื้อดึงเกินไปตอนแต่งเข้าจวนก็อาจจะมีปัญหากับสะใภ้ใหญ่ พวกนางอาจแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และอาจจะทำให้จวนไม่สงบสุข
ส่วนตระกูลหนิงเป็นตระกูลมากการศึกษา บุตรีคนนี้ฝึกศิลปะภูมิปัญญาจีนทั้งสี่ ช่ำชองในการแต่งกลอนและกู่เจิง ทั้งยังรู้หนังสือ นิสัยอ่อนโยน รู้จักกาลเทศะ มีจิตใจที่โอบอ้อมอารี รู้จักยอมคน ทั้งยังแยกแยะความเหมาะสมได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่คนที่บุตรีของท่านแม่ทัพจะเทียบเทียมได้
หลังจากที่หนิงฮูหยินน้อยแต่งเข้าจวน เหยาหย่วนจือก็เห็นว่าสะใภ้คนรองไม่เลวอย่างที่คาด ไม่เพียงแต่กตัญญูรู้คุณ ทั้งยังรู้จักมารยาท ไม่เคยทำเรื่องที่ทำร้ายสะใภ้ใหญ่ทั้งต่อหน้าและลับหลังแน่นอน เจียงฮูหยินน้อยที่เป็นสะใภ้คนโต ตัวนางเองก็รู้ดีว่าควรวางตัวอย่างไร ดังนั้นเหยาหย่วนจือจึงรู้สึกนับถือภรรยาของตนเองจึงไม่เคยถามไถ่ถึงเรื่องในเรือน เรื่องทุกอย่างก็มอบให้นางจัดการทั้งหมด
ส่วนทางฝั่งคุณหนูเหยาที่อยู่จวนคนเดียวในวันนี้ เหยาชุ่ยฮั่นและซูจิ่นเย่ว์อยู่กับนาง หนึ่งคนที่สูงเท่าเปลกลับกำลังแกว่งเปลอยู่ตรงนั้น ส่วนเด็กน้อยที่อยู่นอนอยู่ในเปลก็ด่ำดื่มกับการนอนเปลอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ดูดนิ้วตนเองไม่หยุด ดูอย่างไรก็น่าสนใจ
ทว่าผ่านไปไม่นาน จู่ๆ เด็กน้อยซูจิ่นเย่ว์ก็เบะปากร้องไห้ แม่นมรีบเข้ามาดู ที่แท้ก็เพราะว่าเด็กน้อยฉี่ ดังนั้นจึงต้องรีบเปลี่ยนผ้าอ้อมและคอยล้างก้นนาง เลยยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ทั้งวัน
เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินไปมองนกที่อยู่ในกรงใต้ชายคาระเบียง เหตุเพราะเห็นผัวจื่อทั้งสองคนยกกล่องอาหารออกจากเรือนข้างจึงเอ่ยถาม “สาวใช้สองคนนั้นเริ่มแล้วหรือ”
สาวใช้อายุราวๆ เจ็ดแปดขวบที่อยู่ข้างๆ จึงตอบกลับ “เรียนคุณหนู พี่ชุ่ยเวยและพี่ชุ่ยผิงเริ่มแล้วเจ้าค่ะ”
“ตู้เจวียน?” เหยาเยี่ยนอวี่มองสาวใช้อายุน้อยคนนี้ด้วยหน้ายิ้มๆ “ยัยหนูคนนี้เหมือนจะขาวขึ้นอีกแล้ว แล้วยังสูงขึ้นอีกด้วย ข้าแทบจะดูไม่ออกแล้ว”
สาวใช้อายุน้อยหน้าแดงระเรื่อทันที “เป็นเพราะช่วงนี้บ่าวไม่ได้ออกไปไหนมาไหนเลยเจ้าค่ะ”
น้าตู้ซานยกถาดอันหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก บนถาดเป็นลิ้นจี่แดงสด นางเดินหน้าเข้ามาแล้วค้อมตัวน้อมคำนับเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูอย่าถือโทษเลย นางยังเด็กจึงยังขาดการสั่งสอนกฎระเบียบและมารยาทมาอย่างดีเจ้าค่ะ”
กฎระเบียบของเฝิงหมัวมัว ตอนบ่าวไพร่ในจวนเรียนคำถามของนายต้องบอกว่า ‘เรียนคุณหนู’ ‘เรียนนายหญิง’ อะไรเหล่านี้ จากนั้นค่อยพูดประโยคหลัง ตู้เจวียนฝึกมารยาทมาแล้ว แค่ว่านางยังเด็กจึงไม่ค่อยตั้งใจ ดังนั้นเลยลืมเป็นประจำ
“นางยังเด็ก ค่อยๆ ฝึกก็พอ ไม่ต้องเร่งรีบว่าต้องได้ตอนนี้” เหยาเยี่ยนอวี่หยิบลิ้นจี่ขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วปอกเปลือกกัดหนึ่งคำพร้อมเปรยขึ้น “อืม ลิ้นจี่นี่หวานจริงๆ! ยัยหนูน้อยก็ลองชิมดูสิ”
ตู้เซวียนเก้อเขินจนหน้าแดง แค่หลบไปด้านหลังสองก้าวแล้วค้อมตัวลงแต่ไม่กล้ากิน
น้าตู้ซานเรียกนาง “ไปเรียกพี่ๆ ยกโต๊ะเตี้ยมาที่นี่หนึ่งตัว”
ตู้เซวียนขานรับแล้วเดินออกไป ไม่นานเซียวหรูและสาวใช้อีกสองคนก็ช่วยกันยกโต๊ะเตี้ยมาตั้งใต้ชายคาระเบียง น้าตู้ซานวางลิ้นจี่บนโต๊ะเตี้ย เหยาเยี่ยนอวี่หันไปนั่งบนราวระเบียงแล้วพิงเสากินลิ้นจี่