แม่นมอุ้มยัยหนูน้อยชุ่ยฮั่นไปอาบแดด เหยาเยี่ยนอวี่จึงปอกลิ้นจี่ให้นางกินแล้วเอ่ยถาม “เย่ว์เอ๋อร์ล่ะ”
“ยอนแย้ว!” ในปากของยัยหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นกำลังกินลิ้นจี่แล้วยังรีบตอบกลับ น้ำลายและน้ำลิ้นจี่จึงไหลออกจากปาก แม่นมที่อยู่ด้านข้างพลันยิ้มพลางเกลี้ยกล่อม “คุณหนูน้อยกินก่อนเถอะเจ้าค่ะ ขณะในปากมีของกินไม่ควรพูดนะเจ้าคะ!”
ยัยหนูน้อยจึงรีบยื่นมือเล็กๆ ไปปิดปากไว้แล้วพยายามกลืนลิ้นจี่ในปากลงพร้อมพูดอย่างชัดเจน “นอนแล้ว!”
เหยาเยี่ยนอวี่กลั้นหัวเราะแล้วจับผมเปียเล็กๆ ทั้งสองข้างของฮั่นเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนตักตนเองแล้วพยักหน้า “ฮั่นเอ๋อร์เป็นเด็กดีจริงๆ”
ไม่นานไม่ตงก็วิ่งมา “คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาแล้ว”
“ได้” เหยาเยี่ยนอวี่อุ้มหลานสาวน้อยไปไว้บนพื้นแล้วเหยียดกายลุกขึ้นไปตรวจฝีมือการผูกไหมหลังผ่าตัดของเหล่าสาวใช้ขั้นที่สอง
ช่วงนี้ไม่มีกิจธุระใด สาวใช้หกคนของเหยาเยี่ยนอวี่ ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงกำลังฝึกผ่าตัด ส่วนปั้นซย่า ไม่ตง อูเหมย และเซียงหรูฝึกผูกไหมหลังผ่าตัดและฝังเข็มให้กันและกัน วันนี้ทั้งหกคนที่อยู่ภายใต้มาตรการอันมีแรงกดดันอย่างสูงของคุณหนูเหยาสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
คุณหนูเหยาไปในเรือนข้างแล้วดูความสำเร็จของคนพวกนี้ นางจึงชี้แนะโน่นนี่นั่น หลังจากที่วิพากษ์วิจารณ์เสร็จสุดท้ายนางก็เอ่ยชมและให้กำลังใจ เสน่ห์ที่แผ่ซ่านออกมานั้นเหมือนราชินีที่กำลังลาดตระเวนอาณาเขตของตนเอง
น้าตู้ซานที่ติดตามอยู่ด้านข้างก็เห็นสาวใช้หกคนนี้ไม่กล้าหายใจแรง ชุ่ยเวยกลับพูดในใจ ไม่ใช่ไม่กล้าหายใจแร งแค่ไม่มีเวลาหายใจต่างหาก! แต่ละคนทำท่าทางที่เสียความมั่นใจในตัวเองแล้วกำลังฟังนายหญิงของพวกนางสั่งสอนด้วยดวงตากลมโต ท่าทางของพวกนางใคร่อยากจะตีตราทุกตัวอักษรที่คุณหนูพูดไว้กลางใจ ในใจอดเปรยขึ้นไม่ได้ ได้ติดตามนายหญิงเช่นนี้นับว่าเป็นบุญวาสนาของพวกนางจริงๆ
สำหรับน้าตู้ซาน เหยาเยี่ยนอวี่ก็สังเกตเห็นว่านางมีจุดเด่นมากมาย
นางไม่เพียงแต่มากวิชาด้านการต่อสู้ ทั้งยังรู้จักเส้นลมปราณบนร่างกายคนเกินกว่าครึ่ง แค่ต้องให้ความรู้นางอีกหน่อย ทักษะการฝังเข็มนั้นมีหรือที่ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจะเทียบเทียมได้ วันนี้กลับยังเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสาวใช้เหล่านี้ ความรู้พื้นฐานแทบจะไม่ต้องให้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนลงมือสอนเอง
ส่วนน้าตู้ซานที่ฝึกวิชาบู๊มาหลายสิบปีจึงล่วงรู้ในปาต้วนจิ่น[1]ที่บันทึกใน ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ ที่เหยาเยี่ยนอวี่กำลังฝึกฝนเป็นอย่างดี นางยืนมองอยู่ด้านข้างตั้งนานกลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หลังจากแสดงความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับการออกกำลังกายนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ หนึ่งเดือนหลังจากที่นางตั้งใจฝึกฝนก็รู้สึกว่ากำลังภายในของตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก
ตอนที่หนิงฮูหยินน้อยกลับมา ฟ้าก็มืดลงแล้ว นางกับญาติสองสามคนของตระกูลซูนั่งรถม้าส่งศพขององค์หญิงต้าจั่งออกนอกเมืองถึงจะกลับมา ทั้งวันจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนปวดหลัง
เหยาเยี่ยนอวี่ที่หลุดพ้นจากเรื่องนี้เห็นหนิงฮูหยินน้อยมีสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อย แม้กระทั่งเดินยังหมดเรี่ยวแรง จึงรีบสั่งให้เฝิงฮูหยินไปช่วยพยุงไหล่ของหนิงฮูหยินน้อย จากนั้นก็ยื่นชาหนึ่งถ้วยให้นางกับมือแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “พี่สะใภ้รอง วันนี้ลำบากแล้วจริงๆ”
หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “เจ้าไม่ไปคือถูกต้องจริงๆ วันนี้ทำให้คนเหนื่อยตายแล้วจริงๆ”
“ฉะนั้นพี่สะใภ้รักใคร่ข้าที่สุดแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างเบิกบานปากหวานเหมือนทาน้ำผึ้ง
หนิงฮูหยินน้อยดื่มชาหอมกรุ่นที่ส่งตรงจากโรงชาของตระกูลแล้วพูดอย่างสนใจ “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าเจ้าเป็นคนช่างพูดเช่นนี้ พอจะได้แต่งงานแล้วกลับไม่เหมือนเดิม”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำปากมู่ทู่ “คำพูดเสนาะหูนี่ไม่ควรพูดจริงๆ”
หนิงฮูหยินน้อยยิ้มขึ้นอีกครั้ง หลังจากจิบชาไปหนึ่งถ้วยก็ยื่นให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ สาวใช้พลันรินน้ำร้อนยื่นมาให้อีกครั้ง หนิงฮูหยินน้อยรับไว้แล้ววางบนโต๊ะพร้อมพูด “นี่ วันนี้ข้าได้เจอคุณหนูสามซูแล้ว”
“นางเป็นเช่นไรบ้าง” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้จึงไม่สนใจเรื่องอื่นทันที
หนิงฮูหยินน้อยเปรยขึ้น “ดูจากสีหน้าก็ค่อยยังชั่ว แต่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา นางนั่งรถม้าคันเดียวกับพี่สาวที่เป็นบุตรีภรรยาเอก พี่สาวคนนั้นของนางก็ถือว่าเป็นมิตร”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าภายในใจกลับไม่วางใจ
ส่วนมากพี่น้องที่เป็นบุตรีภรรยาเอกและอนุในตระกูลใหญ่ภายนอกอาจดูเหมือนจะเข้ากันได้ คงไม่มีใครแสดงท่าทางไม่ดีต่อหน้าคนนอก ทว่าในความเป็นจริงล่ ะซูอวี้เหิงติดตามองค์หญิงต้าจั่งมาตั้งแต่เด็ก นางจะสนิทสนมกับพี่สาวได้อย่างไร แค่ดูจากความสัมพันธ์ในตอนแรกของตนกับเหยาเฟิ่งเกอก็เข้าใจแล้วมิใช่หรือ
นี่ก็เพราะตอนหลังๆ ที่ตนล่วงรู้ในวิชาการแพทย์แล้วได้ช่วยชีวิตเหยาเฟิ่งเกอไว้ ตอนนี้นางถึงเห็นว่าตนเป็นหญ้าช่วยชีวิต ฉะนั้นเลยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก ส่วนในสายตาของพี่สาวของนางแล้ว ซูอวี้เหิงถือเป็นตัวอะไร บุตรีอนุภรรยาที่แย่งความรักจากท่านย่าไป วันนี้ท่านย่าสิ้นใจไปแล้ว แล้วใครจะเป็นร่มที่คอยปกป้องนาง?
“น้องรองกำลังคิดอะไรอยู่” หนิงฮูหยินน้อยมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่เหม่อลอยจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ไม่ได้คิดอะไร แค่ค่อนข้างรู้สึกเป็นห่วงเหิงเอ๋อร์”
หนิงฮูหยินน้อยแย้มยิ้มจางๆ “เจ้าน่ะเป็นห่วงเกินความจำเป็นแล้ว! บิดามารดาของคนเขามาแล้ว มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก หรือว่าฮูหยินรองตระกูลซูไม่ได้ดูแลนางเป็นอย่างดี”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มอีกครั้งภายในใจคิดว่า ฮูหยินรองเป็นมารดาเลี้ยงของนางนี่!
แค่คำพูดนี้ทำได้เพียงคิดในใจ กลับากความไม่ได้ ดังนั้นจึงเบี่ยงประเด็นแล้วแอบถาม “เหตุใดพี่รองถึงยังไม่กลับ หรือว่าไปส่งศพองค์หญิงต้าจั่ง”
หนิงฮูหยินน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “ญาติห่างๆ ไม่ต้องส่ง นั่นเป็นเรื่องภายในวงศ์ตระกูลของพวกเขา ตอนกลับพี่ชายเจ้าเจอกับใต้เท้าเหลียง ใต้เท้าเหลียงบอกว่ามีธุระอยากคุยกับพี่ชายเจ้า ข้าเลยกลับมาก่อน”
“ใต้เท้าเหลียง?” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ไม่รู้ว่าใต้เท้าเหลียงเป็นคนจากตระกูลใด
หนิงฮูหยินน้อยทำได้เพียงบอกนาง “ก็ไท่ฉังซื่อชิง ใต้เท้าเหลียง เหลียงข่ายเฉิงอย่างไร ในพิธีเสียศพขององค์หญิงต้าจั่งต้องขาดไท่ฉังซื่อไม่ได้”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า นางเดาไม่ออกว่าเหตุใดใต้เท้าเหลียงผู้นี้ถึงมีธุระกับพี่ชายของตนเองและไม่อยากไปครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เปลืองสมอง จึงพูดคุยเล่นกับหนิงฮูหยินน้อยสองสามคำต่างก็แยกย้ายกลับเรือน
ทางฝั่งจวนติ้งโหว เวลาที่ขบวนส่งศพองค์หญิงต้าจั่งเคลื่อนออกจากประตูก็สายแล้ว ตลอดทั้งทางครอบครัวและจวนต่างๆ ที่ไปส่งศพหยุดพักและเดินทางต่อ รอให้ถึงที่พักวัดต้าเปยที่วางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ก็ดึกแล้ว
เวลานี้กลับมีฝนพรำ ลมกลางหุบเขาพัดผ่านเสียงฝนตกและเสียงลมที่ปะปนกันทำให้รู้สึกเศร้าวิเวกวังเวงอย่างมาก
ซูอวี้เหิงนั่งรถม้าคันเดียวกับพี่สาวซูอวี้หรง หลังจากรถม้าจอดลงก็มีผัวจื่อมากางร่มต้อนรับอยู่ตรงหน้ารถม้า ซูอวี้เหิงลงไปก่อน จากนั้นก็พยุงพี่สาวของนางลงมา “พี่สาวช้าหน่อยเถอะ ระวังลื่น”
“อืม” ซูอวี้หรงพยักหน้า รองเท้าปักลายสีขาวนวลจันทร์ที่แปดเปื้อนโคลนเล็กน้อยเหยียบลง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยกลับไม่มากความอะไร
ซูอวี้เหอที่อยู่ด้านหน้าก็ลงรถม้าแล้ว เขากลับไม่ได้รีบเดิน แค่รอให้น้องสาวสองคนเดินไปพร้อมกัน สามพี่น้องจึงเดินตามผัวจื่อที่นำทางเข้าไปในพำนักอันเงียบสงบที่สุดที่อยู่ด้านหลังวัดต้าเปย
ซูอวี้เหอก็เติบโตต่อหน้าองค์หญิงต้าจั่งตั้งแต่เด็ก ก่อนที่นางจะออกเรือนไม่กี่เดือน นางถึงจะย้ายกลับไปในจวนติ้งโหว นางกับซูอวี้เหิงกลับมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกว่าซูอวี้หรงที่เป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน
หลังจากเข้าพำนัก สามพี่น้องต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน ซูอวี้เหอกลับเรียกซูอวี้เหิง “น้องสามมาหาข้าหน่อย ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้า”
[1] ปาต้วนจิ่น เป็นการรำมวยแปดท่าที่ดีต่อสุขภาพของชาวจีน