ซูอวี้เหิงพยักหน้าตอบกลับ หลังจากราตรีสวัสดิ์กับซูอวี้หรงแล้วก็ติดตามพี่ใหญ่เข้าไปในเรือนข้างของเรือนพำนักทางทิศเหนือ
ผัวจื่อและสาวใช้ของซูอวี้เหอล้วนเป็นคนที่องค์หญิงต้าจั่งทรงเลือกให้นางโดยเฉพาะ ดังนั้นแต่ละคนจึงเป็นข้ารับใช้ที่รู้กฎระเบียบและมารยาท พวกนางสั่งให้คนมาทำความสะอาดเรือนพำนักในวัดตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นตอนนางเข้ามาในเรือนก็เตรียมของว่างและน้ำชาร้อนๆ ไว้ต้อนรับแล้ว
“เจ้าดูตัวเอง สิช่วงนี้ผอมลงไปเยอะจนรูปร่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว หากท่านย่าที่อยู่บนสวรรค์เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ต้องรู้สึกกังวลใจแน่นอน” ซูอวี้เหอจับมือน้องสาวไว้แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงต่ำ “ท่านย่าสิ้นไปเช่นนี้ ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านย่าก็คงมิอาจอยู่กับเราได้ตลอดไป เจ้าก็ควรต้องคิดเผื่ออนาคตของเจ้าให้มากด้วย”
“พี่ใหญ่ ข้าแค่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เหตุใดก่อนที่ท่านย่าจะสิ้นไป กลับไม่ทิ้งคำพูดให้ข้าแม้แต่คำเดียว…ข้าไม่ควรจากท่านไปในตอนนั้น…ข้า…” ซูอวี้เหิงนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกทุกข์ระทมยิ่งนัก น้ำตาของนางหลั่งไหลลงมาไม่หยุด
“ความทุกข์ภายในใจของเจ้าพี่สาวรู้ดี” ซูอวี้เหอก็ร้องไห้เช่นกัน “ทว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ได้ทำเรื่องกตัญญูกับท่านย่าแล้ว แต่ว่าข้ากลับมาสายเกินไป แม้กระทั่งเจอหน้าท่านย่าครั้งสุดท้ายข้าก็ยังไม่ได้เจอ”
ซูอวี้เหอรีบเดินทางจากเมืองเจียงหนิง นางมาถึงก่อนครอบครัวบุตรคนรองเพียงสี่ห้าวัน อากาศในคิมหันตฤดูต่อให้ใช้เครื่องหอมชโลมศพทว่าก็คงเน่าเสียอยู่ดี ด้วยเหตุนี้หลังจากวันที่เจ็ดที่องค์หญิงต้าจั่งสิ้นไป ลู่ฮูหยินก็ปรึกษาหารือกับติ้งโหวว่าจะบรรจุศพลงในโลง ดังนั้นตอนที่ทั้งครอบครัวบุตรคนรองรวมไปถึงซูอวี้เหอรีบมาถึงก็เห็นแค่โลงศพเท่านั้น กลับไม่ได้เห็นหน้าองค์หญิงต้าจั่งครั้งสุดท้าย
เรื่องนี้จึงทำให้นายท่านรองตระกูลซู ซูกวงหลิงรู้สึกเจ็บปวดตลอดชีวิต
“ท่านย่าไม่เคยถือโทษพี่สาวหรอก” ซูอวี้เหิงพลันปลอบโยนซูอวี้เหอ “ตอนที่ท่านย่ายังมีสติ ปกติก็มักเอ่ยชมพี่สาวว่าอนาคตต้องมีบุญวาสนาที่ผู้อื่นไม่มีแน่นอน”
“เฮ้อ!” ซูอวี้เหอจับมือซูอวี้เหิงไว้พลางถอนหายใจยาว “หลายวันมานี้ข้ามักจะรู้สึกว่าเหมือนท่านย่ายังไม่ได้จากไปและยังคงอยู่ข้างกายพวกเราตลอด” หลังจากเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ซูอวี้เหิงยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม นางเข้าไปในอ้อมกอดของพี่สาวคนโตแล้วร้องไห้เสียงดัง
ในเรือนพำนักข้าง ซูอวี้หรงพิงอยู่บนตั่งไม้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย บนที่รองฝ่าเท้ามีสาวใช้ชั้นล่างคนหนึ่งคุกเข่านวดขาให้นาง ด้านหลังก็มีคนนวดไหล่อยู่หนึ่งคน เมื่อม่านประตูดังขึ้นแผ่วเบา ผัวจื่อคนหนึ่งก็สาวเท้าเข้ามาอย่างเงียบๆ ในมือถือถาดไม้ประดู่สลักลายดอกไม้ ด้านบนมีถ้วยเครื่องเคลือบหนึ่งอัน
ซูอวี้หรงลืมตาขึ้นมองอย่างไม่พอใจเพียงปราดเดียวแล้วค่อยๆ นั่งตัวตรง
ผัวจื่อผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วค้อมตัวพูดขึ้น “คุณหนูรองเจ้าคะ นี่เป็นน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวเม็ดบัวที่คุณหนูใหญ่สั่งให้คนส่งมา เป็นคนในจวนจัดเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ บ่าวเห็นว่าหน้าตายังพอใช้ได้ คุณหนูดื่มหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ซูอวี้หรงไม่ได้ยกมือรับน้ำแกงเห็ดหูหนูไว้ สาวใช้เอกที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามารับไว้แล้วใช้ช้อนป้อนนาง คุณหนูซูลิ้มลองไปหนึ่งคำแล้วรู้สึกว่ารสชาติยังพอใช้ได้จึงหรี่ตาลงพลางพยักหน้า
สาวใช้คนนั้นป้อนนางต่อ ผัวจื่อที่มาส่งน้ำแกงเลยถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“ช้าก่อน” ซูอวี้หรงพูดขึ้นกะทันหัน
“เจ้าไปฟังดูพี่ใหญ่กับน้องสาวกำลังคุยอะไรกันอยู่ เหมือนพวกนางเป็นพี่น้องทางสายเลือดเลย!”
ผัวจื่อคนนั้นยิ้มประจบแล้วพูดด้วยเสียงเบา “ตอนที่บ่าวมาเมื่อครู่นี้เหมือนได้ยินสองพี่น้องกำลังร้องห่มร้องไห้อยู่เจ้าค่ะ”
ซูอวี้หรงแสยะยิ้มเสียงเบาพลางผายมือ ผัวจื่อถอยออกไปด้านนอกด้วยความเคารพ
ทางฝั่งโน้น ซูอวี้เหิงกับซูอวี้เหอกำลังพูดคุยถึงท่านย่าไปสักพั กจากนั้นต่างคนต่างกินของรองท้องเสร็จก็กลับไปพักผ่อนในเรือนของตัวเอง
สาวใช้และผัวจื่อที่ติดตามมาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พวกนางกำลังรอให้เหล่านายของตนรีบพักผ่อนถึงจะแยกไปพักผ่อนตามอัธยาศัย แค่ว่าซูอวี้เหิงรู้สึกทุกข์ใจ ต่อให้นอนอยู่บนเตียงก็นอนไม่หลับ
ยามค่ำคืนมีฝนตกปรอยๆ ซูอวี้เหิงนอนลืมตามองแสงไฟตะเกียงสลัวอยู่บนเตียงด้วยความเงียบสงบ
ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ยส่งผ่านลมยามค่ำคืนมาเป็นระยะๆ
เสียงขลุ่ยนั้นแม้จะฟังเหมือนอยู่ไกลมาก และเป็นเพราะฝนตก เสียงนั้นจึงคล้ายมีอยู่คล้ายไม่มีอยู่ กลับเป็นความนุ่มนวลที่ยากจะอธิบาย เสียงที่ผสมผสานกับเสียงฝนตกคล้ายกำลังร้องไห้คร่ำครวญเชื่องช้า
ซูอวี้เหิงลุกขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวแล้วพิงหัวเตียงฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม
ตรงที่ไม่ไกล ถังเซียวอี้สวมชุดสีขาวยืนอยู่ในศาลาหญ้าคา ในมือจับขลุ่ยไม้ไผ่ นิ้วมือขยับด้วยความคล่องแคล่ว สายตามองต่ำ กำลังเป่าเพลง ‘คิดถึงสารทฤดูหน้าคันฉ่อง’ อันเศร้าโศกที่ผสมผสานกับเสียงฝนปรอยแล้วส่งไปยังที่ห่างไกล
ด้านหลังของเขาเป็นโต๊ะหินเรียบง่าย มีผลไม้สดอยู่สองสามอย่างวางอยู่ และยังมีธูปสามก้านที่จุดไว้ ประกายไฟสีแดงเพลิงของธูปมีควันสีเทาลอยเอื่อย ตามด้วยเสียงขลุ่ยที่ค่อยๆ เร่งจังหวะเร็วยิ่งขึ้น จู่ๆ ขี้เถ้าก็ร่วงลง ทำให้ประกายไฟสว่างมากขึ้น
เสียงขลุ่ยดังขึ้นทั้งคืน ซูอวี้เหิงไม่รู้ว่าตนเองหลับไปเมื่อใด วันที่สองตอนที่ถูกจั๋วอวี้ปลุกขึ้นตื่น ข้างหูคล้ายยังได้ยินเสียงขลุ่ยตลอดเวลา
ฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ไม่ง่ายเลยที่จะผ่านเดือนเจ็ดนี้ไป จากนั้นน้ำฝนก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง
เรื่องงานสมรสของเว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่แม้จะเป็นงานสมรสพระราชทาน ทว่าเจิ้นกั๋วกงก็ต้องวางแผนเพื่องานนี้มาไม่น้อย เหตุเพราะงานศพขององค์หญิงต้าจั่ง องค์หญิงหนิงฮวาและเจิ้นกั๋วกงก็ต้องกลับจากสถานตากอากาศ เจิ้นกั๋วกงก็เริ่มกังวลถึงผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนแล้ว
วันนี้ท่านกั๋วกงจัดงานเลี้ยงในจวน เหยาเหยียนอี้และเว่ยจางต่างได้รับเชิญไปที่จวน เขาเอ่ยถามตามตรงว่างานสมรสขาดเหลืออะไรอีกไหม แล้วยังบอกว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการให้จวนเจิ้นกั๋วกงออกหน้าออกตาก็บอกตรงๆ เว่ยเสี่ยนจวินก็คือหลานชายของข้า คุณหนูเหยาก็ไม่ใช่คนนอก งานสมรสของพวกเขาก็คือเรื่องที่ข้าต้องยุ่งเกี่ยวแน่นอน
เหยาเหยียนอี้เลือกวันที่ยี่สิบหกเดือนแปดส่งสินเดิมเจ้าสาวชิ้นใหญ่ไปล่วงหน้าก่อนแล้วตามที่ตระกูลเหยากำหนด วันนี้เกรงว่ายังมีอะไรมากมายที่ยังสะสางไม่เสร็จ นอกจากตระกูลเหยาจะเตรียมสินเดิมเจ้าสาวที่เป็นของขวัญขนาดใหญ่ให้กับเหยาเยี่ยนอวี่แล้ว ยังมีหีบอีกเจ็ดสิบสองหีบ อีกทั้งยังมีของล้ำค่าอีกมากมาย ก็ยังไม่รวมอยู่ในหีบที่เอ่ยมา
เจิ้นกั๋วกงได้ยินจึงรู้สึกดีใจอยู่แล้ว เขาจึงถามเรื่องเรือนหอว่าเว่ยจางซ่อมแซมไปถึงไหนแล้ว คุณหนูเหยาคือสตรีที่ดี เจ้าอย่าทำอะไรไม่ดีกับคนเขาเด็ดขาด
เว่ยจางจึงบอกว่าเสร็จ แต่ว่าตอนนี้ยังมีกลิ่นสีอยู่ ทว่าหน้าฝนผ่านไป หลังจากตากแดดและลมเป่าสองสามวันก็คงจะดีขึ้นแล้ว
เจิ้นกั๋งกงก็รู้สึกมีความสุขมาก เขาชูจอกเหล้าขึ้นพูดว่า “องค์หญิงใหญ่กับข้าเตรียมสินน้ำใจเล็กๆ ไว้สองชุด หนึ่งชุดให้คุณหนูเหยาก็ถือว่าเป็นการเติมสินเดิมเจ้าสาว ส่วนอีกชุดให้เสี่ยนจวิน หลายปีมานี้เสี่ยนจวินทำงานกับข้ามาโดยตลอดก็เหมือนเป็นหลานชายของข้า สิ่งของประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนส่งไปให้พวกเจ้าทั้งสองตระกูล ส่วนเรื่องที่เหลือข้าไม่ยุ่ง แค่รอดื่มสุรามงคลก็พอ!”
เหยาเหยียนอี้และเว่ยจางชูจอกเหล้า เหยาเหยียนอี้ยิ้มพูด “ซาบซึ้งในความเป็นห่วงเป็นใยของท่านกั๋วกงจริงๆ”
หลังจากออกจากจวนกั๋งกง เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้รีบขึ้นม้า แต่กลับค่อยๆ เดินไป หลังจากเดินไปสักระยะหนึ่งเว่ยจางถึงจะถามเหยาเหยียนอี้ด้วยยิ้มจางๆ “พี่เหยาเหลียงข่ายเฉิงอัดอั้นใจไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”
เหยาเหยียนอี้แสยะยิ้มน้อยๆ “เมื่อวานมาหาข้า เขาพูดอ้อมค้อมไปมาก็เพื่อที่จะตีสนิทกับข้า แล้วยังข่มขู่ข้าว่าการจับกุมตัวผู้อื่นโดยพลการเป็นการทำผิดกฎต้าอวิ๋น และต้องโดนโทษหนัก หวังว่ามีอะไรให้เจรจากันดีๆ อย่าได้ทำให้เรื่องมันบานปลายจนต่างฝ่ายต่างไม่มีทางออกที่ดี ช่างน่าขบขันยิ่งนัก!”