ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 136 เป้าหมายที่สาม

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอปรับเตาผลึกหินชั้นในอย่างระมัดระวัง สั่งอาหู่ให้หยิบวัตถุดิบบางอย่างใส่เสริมเข้าไปข้างในอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นถึงเข้าควบคุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ต่อให้อาวุธวิญญาณเสียหาย แต่ก็มีความลี้ลับมหัศจรรย์อยู่ภายในเช่นกัน การที่เยี่ยนจ้าวเกอนำมันไปหลอม จึงไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำในช่วงเวลาสั้นๆ ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังทำความเข้าใจและครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนในความเร้นลับภายในนั้น เพื่อพิสูจน์ยืนยันขั้นตอนในการควบคุมเตาหลอมภายในของตน และความรู้ในการหลอมแต่ละรูปแบบ

เวลาดำเนินไป ลำแสงมหัศจรรย์ก่อเกิดภายในเตาผลึกหินชั้นใน เกราะอ่อนซ่อมแซมสำเร็จเป็นอันดับแรก

เยี่ยนจ้าวเกอดึงเกราะนั้นให้ลอยออกจากเตาหลอมด้วยปราณจิตรา

อาหู่ที่อยู่ด้านข้างมองไปอย่างจดจ่อ หากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เกราะชิ้นนี้ไร้ความเสียหายโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ว่าหากสัมผัสอย่างละเอียดแล้วนั้น ก็รู้สึกได้ว่าความจริงแล้วจิตวิญญาณในนั้นเทียบไม่ได้กับอาวุธวิญญาณระดับล่างเลย ทว่าก็ไม่สามารถเทียบกับอาวุธวิเศษระดับสูงได้เช่นกัน

ถัดจากนั้น เข็มขัดเส้นนั้นก็ซ่อมแซมจนสำเร็จ สถานการณ์คล้ายคลึงกับเกราะอ่อนทีเดียว

อาหู่พึมพำชื่นชม “คุณชายขอรับ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ทำให้ผู้คนทึ่งกับสิ่งที่ได้เห็นมากแล้ว ถึงอย่างไรระยะห่างกับก่อนหน้าที่แทบจะดับสูญก็ไม่ต่างกันมากนัก”

“เปรียบกับร่างกายของมนุษย์ ก็ไม่ต่างกับฟื้นชีวิตขึ้นมาจากความตายเลยนะขอรับ”

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอประเมินอย่างถี่ถ้วนอยู่พักหนึ่ง เขาก็ผงกศีรษะ “ฟื้นฟูจนเป็นเช่นนี้ได้ ก็พอจะใช้การได้แล้วละ”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็สะบัดมือครั้งหนึ่ง เกราะอ่อนและเข็มขัดเข้าไปในเตาหลอมภายในพร้อมกันอีกครั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองเตาผลึกหินชั้นในไม่วางตา ขณะเดียวกันก็ถลาเข้าหาอาหู่พลางกล่าวว่า “อาหู่ ของครั้งก่อนที่ข้าให้เจ้าดูแล รีบนำมันออกมาเร็วเข้า”

อาหู่พลันตื่นจากภวังค์ รีบหยิบผลึกแก้วขนาดใหญ่ออกมาชิ้นหนึ่ง

ผลึกแก้วมีลักษณะเหมือนกระสวยทอผ้า ยาวประมาณสองฉื่อ หนาเท่าแขนมนุษย์

เยี่ยนจ้าวเกอรับผลึกแก้วมา หลังจากใส่มันเข้าไปในเตาผลึกหินชั้นในแล้ว เขาก็ควบคุมเตาหลอมภายในอย่างระมัดระวัง ก่อนจะรับกระเป๋าที่ทำขึ้นพิเศษใบหนึ่งมาจากมือของอาหู่

ครั้นเปิดกระเป๋าออกมา ปราณร้อนรุ่มก็พุ่งออกมาปะทะใบหน้าในทันที ราวกับว่าเปลวเพลิงยังจะทวีความร้อนรุนแรงขึ้นได้อีก

เมื่อมองลงไปในกระเป๋า ทั่วทั้งผืนเป็นสีแดงเหมือนเปลวเพลิง เหมือนหินผา อีกทั้งยังเหมือนกับกระแสน้ำ!

คล้ายกับการดำรงอยู่ของหินหนืดอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นก็คือ ‘แกนไฟใต้ดิน’ ของล้ำค่าของเยี่ยนจ้าวเกอที่ตั้งใจไหว้วานเยี่ยนตี๋ให้นำกลับมาจากอัคคีพิภพโดยเฉพาะนั่นเอง!

ของสิ่งนี้หายากและล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ถือเป็นวัตถุที่ขาดแคลนอย่างยิ่งในอัคคีพิภพ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ห้ามมิให้ส่งออกอย่างเด็ดขาด

หากกล่าวถึงคุณประโยชน์และสรรพคุณแล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับแกนไฟใต้ดินทีเดียว อาจไม่ตึงเครียดเท่าตำหนักอัสนีสวรรค์ที่ให้ความสำคัญกับหยกหิ่งห้อยสายฟ้า หรือเขาไร้พรมแดนที่ให้ความสำคัญกับศิลาวิญญาณลึกล้ำ

แต่ถึงอย่างนั้นก็รับไม่ไหว หากปริมาณของแกนไฟใต้ดินจะน้อยนิดจนเกิดไป

ถ้าหากครั้งนี้เขากว่างเฉิงไม่โจมตีเข้าไปในอัคคีพิภพ ก็ยากนักที่เยี่ยนจ้าวเกอจะมีหนทางอื่นที่พอหาแกนไฟใต้ดินนี้ได้

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอนำแกนไฟใต้ดินเทลงเข้าไปในเตาผลึกหินชั้นในแล้ว เขาก็ควบคุมเตาด้วยความละเอียดถี่ถ้วนและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ทว่ามันก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นานนัก ลำแสงมหัศจรรย์ก็พลันพุ่งออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอปรบมือ “เยี่ยม! กระสวยแหวกพิภพสำเร็จแล้ว!”

อาหู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งมองเตาผลึกหินชั้นในด้วยความสงสัยอยู่บ้าง เยี่ยนจ้าวเกอจึงยิ้มเล็กน้อย “มันไม่ใช่อาวุธวิญญาณแต่อย่างใด แต่การจะหลอมมันกลับไม่ง่ายเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องสละอาวุธวิญญาณเป็นวัตถุดิบ”

“สิ่งของเช่นกระบี่วิญญาณมังกรมรกต กงจักรเพลิงสุริยะที่สมบูรณ์เช่นนี้ ข้าทิ้งไม่ลงจริงๆ และไม่อาจใช้ชุดเกราะทมิฬของเจ้าได้กระมัง”

ชายร่างใหญ่ยิ้มซื่อ “แน่นอนว่าการนำเอาอาวุธที่เสียหายทั้งสองชิ้นกลับมาใช้ประโยชน์ ก็ย่อมดีกว่าแน่นอนขอรับ”

“จริงสิ หากนับวันดูแล้ว น่าจะถึงเวลาที่ดอกไม้เมฆาวิญญาณเติบโตเต็มที่แล้วนี่นา” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ไปกันเถอะ โอสถเซียนกลับสวรรค์ที่กลั่นให้ท่านอาจารย์ปู่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ ตัวยาหลักรายการสุดท้ายนี้ในที่สุดก็มีแหล่งที่อยู่แล้ว”

ที่เยี่ยนจ้าวเกอมายังภูผาพิภพครั้งนี้ นอกจากฮานหลงเอ๋อร์ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่ได้คาดคิดไว้แล้ว เขามีเป้าหมายเดิมอยู่สามอย่าง สองอย่างแรกคือสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำของเขาไร้พรมแดน และน้ำพุวิเศษเมฆหยินหยางของเขานิมิตเมฆ ส่วนเป้าหมายที่สามก็คือดอกไม้เมฆาวิญญาณนั่นเอง

ดอกไม้ชนิดนี้พบได้น้อยยิ่งนัก ทว่ากลับไม่ได้เป็นสิ่งที่ผู้คนยุคนี้ให้ความสำคัญ เนื่องจากไม่ได้มีคุณประโยชน์ใหญ่หลวงอะไร

กระนั้นสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว มันกลับเป็นส่วนประกอบสำคัญในการกลั่นโอสถให้กับหยวนเจิ้งเฟิง อาจารย์ปู่ของตน

เรื่องที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกปลื้มใจก็คือ ดอกไม้เมฆาวิญญาณไม่ได้สูญพันธุ์ในวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แต่อย่างใด ในที่สุดก็ถูกค้นหาจนพบที่ภูเขาหิมะพันผูกบูรพา ณ เขตแดนที่ติดต่อกันของภูผาพิภพและอัสนีพิภพ

แต่ตอนที่เพิ่งหาพบยังไม่ถึงระยะออกดอก เยี่ยนจ้าวเกอจึงฝึกฝนอยู่ที่เขานิมิตเมฆ รอคอยวันที่ดอกไม้วิญญาณเบ่งบานในที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเดินทางไปยังภูเขาพันผูกบูรพา

จากเหตุการณ์ที่เขาไร้พรมแดนปล้นหยกหิ่งห้อยสายฟ้าจากตำหนักอัสนีสวรรค์ ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแตกหักแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าหลังจากที่เขาไร้พรมแดนกับเขากว่างเฉิงกลายเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการแล้วนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ปูทางให้เขาไร้พรมแดนไต่เต้าขึ้นมาเป็นใหญ่ เผยแพร่เคล็ดวิชากำเนิดสายฟ้า โดยที่ตัวเขาไม่จำเป็นต้องควบคุม จอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนก็ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน

ก่อนจะไป แน่นอนว่าต้องรายงานกับฟู่เอินซูสักหน่อย

ฟู่เอินซูไม่ได้ถามจุดประสงค์การเดินทางคราวนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอมากนัก เพียงแต่ผงกศีรษะอย่างง่ายดาย “สำนักของเรากับเขาไร้พรมแดนมีข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว และยังเตรียมพร้อมแล้วด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะมีมหาปรมาจารย์มาลอบสังหารเจ้า แต่เจ้าต้องเตรียมป้องกันการลอบลงมือของจอมยุทธ์อีกฝ่ายอย่างรอบคอบ”

“เวลาของการประชุมผ่านภาครั้งใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว กำหนดจัดที่บึงพิภพ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะเข้าร่วม เจ้าจัดการเรื่องของตนเองให้เรียบร้อย ก็รีบเดินทางไปที่บึงพิภพเลยก็ได้ ในการเดินทางจะมีคนอื่นในสำนักร่วมทางไปด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ท่านอาจารย์โปรดวางใจ”

พูดจบเขาก็ปลีกตัวออกไป

ฟู่เอินซูยืนไพล่มือไว้ข้างหลัง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเเท่าไร เฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิงก็เดินออกมาจากน้ำพุเมฆหยินหยางเช่นกัน

“จ้าวเกอบอกว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเจ้า เช่นนั้นอวิ๋นเซิง เจ้ามีอาการใจเต้นกับเขาหรือไม่” ฟู่เอินซูเอ่ยถามเสียงเรียบ

เฟิงอวิ๋นเซิงชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นถึงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “นอกจากความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณแล้ว ข้ายังเคารพนับถือศิษย์พี่เยี่ยนอย่างยิ่ง ถึงแม้บางครั้งจะมีความคาดหวังบางอย่างต่อเขาก็ตาม”

“แม้ว่าเขาจะยังเยาว์วัย แต่ข้ากลับมีความรู้สึกแบบหนึ่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีเรื่องที่เขาจะทำไม่สำเร็จ เขาอาจดูเป็นคนเรื่อยเปื่อยไม่จริงจัง แต่จริงๆ แล้วเชื่อใจได้เป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่ด้วยกันก็จะยิ่งผ่อนคลาย ทำให้ข้ายินดีที่จะอยู่ร่วมกับเขา”

แม้ว่าความรู้จากประสบการณ์ในชีวิตจะเอาชนะคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าในปัญหาเรื่องความรู้สึกส่วนบุคคล นางยังคงเป็นเฟิงอวิ๋นเซิงที่ไร้เดียงสา และความมั่นใจต่อความคิดของตน ที่ยังคงยากจะอธิบายออกมาได้อยู่บ้าง นางยิ้มอย่างเสียอาการ “ข้ารู้สึกว่า ยังไม่ถึงระดับความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิงหรอกกระมัง”

“ยังไม่ถึงจริงๆ” ฟู่เอินซูกล่าวอย่างเฉยเมย “ตอนที่อยู่ด้วยกัน ยินดีที่จะอยู่กับเขา คิดถึงอีกฝ่ายอยู่ตลอด อันที่จริงนี่ก็ยังไม่มีอะไรนัก แต่ถ้าหลังจากพวกเจ้าแยกกัน แล้วเจ้ากลับยังคงคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลาเมื่อใด เมื่อนั่นเจ้าก็ต้องระวังแล้ว”

เฟิงอวิ๋นเซิงกะพริบตาปริบๆ เข้าใจแจ่มแจ้งโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถามว่าเหตุใดถึงต้องระมัดระวัง

ฟู่เอินซูเองก็หันไปมองทางซือคงจิงเช่นกัน “ศิษย์น้องซือคง แล้วเจ้าคิดอย่างไรกับเยี่ยนจ้าวเกอ”

ซือคงจิงครุ่นคิดจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “เคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง และก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกันเจ้าค่ะ ทั้งเรื่องถังตะวันออก แล้วก็เรื่องที่เขานิมิตเมฆครั้งนี้ ล้วนน่าเคารพนับถือยิ่ง แต่ที่น่าเคารพนับถือมากที่สุดก็คือ เขากลับสำนักครั้งนี้ ใช้เพลงกระบี่เจ็ดดาราโจมตีศิษย์พี่ลู่เวิ่นจนพ่ายแพ้”

“ในอดีตคนอื่นล้วนกล่าวว่า แม้เขาจะอายุน้อยไม่รู้ประสีประสา เปิดเผยหมดเปลือก แต่สามารถสร้างเพลงกระบี่ประณีตสวยวิจิตรวิชาหนึ่งเองได้ ควรค่าแก่การชื่นชมยกย่อง กระนั้นในความคิดข้า เขาในอดีตกลับเป็นคนที่เห็นความยากลำบากแล้วถอย เลือกแต่งานเบาไม่ยอมสู้งานหนัก แต่ที่ถังตะวันออก เขากลับสำนักคราวนี้ใช้เพลงกระบี่โจมตีศิษย์พี่ลู่จนพ่าย ทำให้ผู้คนมองด้วยสายตาทึ่ง จึงยิ่งทำให้ข้าเริ่มนับถือเขา”

ฟู่เอินซูได้ฟังดังนั้น สายตาก็พลันทอดมองไปไกล พึมพำกับตนเองด้วยเสียงที่เบาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ‘หลังหิมะท้องฟ้าแจ่มใจ บัดนี้ข้าไม่สามารถยินยอมไปมากกว่านี้ได้แล้ว…’

ตอนที่ทั้งสามคนพุดคุยเรื่องของเยี่ยนจ้าวเกอ ชายหนุ่มได้เคลื่อนตัว บุกป่าฝ่าดงมาจนถึงชายแดนส่วนตะวันออกของเทือกเขานิมิตเมฆแห่งภูผาพิภพ ภูเขาหิมะพันผูกบูรพาปรากฎอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว

บนแนวเทือกเขาล้วนเป็นหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปีไม่เปลี่ยนแปลง บริเวณตรงนี้มักมีสัตว์ประหลาดโผล่ออกมา

“คนที่สำรวจทางล่วงหน้าน่าจะมาถึงแล้วใช่หรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอถาม

อาหู่เอ่ยตอบว่า “มาถึงก่อนหน้านี้แล้วขอรับ”

ขณะที่พูดนั้น สีหน้าอาหู่ก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หัวคิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอขมวดขึ้นเช่นกัน พลางสาวเท้ามุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

บนยอดเขาหิมะลูกหนึ่ง พบว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนนั้น

จอมยุทธ์ชุดดำทั้งสองคนล้มอยู่บนพื้น พวกเขาต่างก็กุมมือเอาไว้ที่หน้าอก มุมปากมีเลือดไหลซึม เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาแล้ว ใบหน้าต่างเผยความละอายออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “คุณชายขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอถลาไปหาพวกเขาพลางพยักหน้า อาหู่รุดหน้านำกำลังคนคุ้มกัน

สายตาของคนกลุ่มคนเบื้องหน้า ต่างก็มองมาที่ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองการแต่งกายที่พวกเขาสวมใส่ปราดเดียว ก็ยิ้มเย็นทันที

“ตระกูลเยี่ยนจากเกาะจ้าว แห่งอัสนีพิภพอย่างนั้นหรือ”

…………….