ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 135 ยลระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ฮานหลงเอ๋อร์ในอดีต อิงหลงถูในปัจจุบัน บัดนี้กลายเป็นคนคนเดียวกันแล้ว

จ้าวหมิงและจิ่งอวิ๋นจือพาเขาออกจากเทือกเขานิมิตเมฆแห่งภูผาพิภพ โดยไม่เผยสีหน้าหรือคำพูดใดๆ กลับไปยังเกาะนภาเหนือแห่งนภาพิภพ จากนั้นจึงค่อยส่งไปยังประตูสำนักเขากว่างเฉิงอย่างลับๆ

เรื่องวุ่นวายกับพรรคโลหะเอกก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยเยี่ยนจ้าวเกอเป็นต้นเหตุ ทางเขาไร้พรมแดนจึงต้องพยายามไกล่เกลี่ยให้ยุติข้อพิพาทซึ่งกันและกัน

ระหว่างนั้นเขาไร้พรมแดนก็รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของอิงหลงถูเช่นกัน ทว่าบัดนี้กลับไม่อาจสืบค้นได้อีกครั้ง

บางทีก็อาจจะสงสัยใคร่รู้ในความผิดปกติที่อิงหลงถูทำร้ายผู้คนก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจข้อมูลอื่นที่มากกว่านี้ จึงไม่สามารถตัดสินชี้ขาดได้อย่างแม่นยำได้ นั่นอาจก่อให้เกิดความยุ่งยากอื่นขึ้นอีก

ทว่าการส่งอิงหลงถูกลับเขากว่างเฉิงให้ปลอดภัยกลับไม่สำคัญสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ ความสนใจของเขาอยู่ที่บ่อน้ำพุวิญญาณเมฆหยินหยางที่ไหล่เขานิมิตเมฆบ่อนั้นอีกครั้ง

ขณะนี้เขากว่างเฉินยังเก็บเรื่องการฟื้นฟูจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นความลับอย่างเคร่งครัด

เขาไร้พรมแดนก็มีสตรีแห่งจันทราเช่นกัน หากให้พวกเขารับรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ ก็พูดยากนักว่าจะเกิดความคิดอันใดขึ้น

ดังนั้นในตอนที่ฟู่เอินซูเอ่ยขอใช้บ่อน้ำพุวิญญาณเมฆหยินหยาง นางยังคงใช้นามที่แอบแฝงของศิษย์ด้อยอาวุโสเพื่อฝึกวรยุทธ์ เยี่ยนจ้าวเกอและซือคงจิงก็ไปเป็นเพื่อนเพื่อปิดบังอำพรางให้แก่เฟิงอวิ๋นเซิง

ฟู่เอินซูมีนิสัยตรงไปตรงมา ทว่าไม่ขลาดเขลา ตอนแรกที่พาซือคงจิงมาด้วยกัน นอกจากจะตามติดกายสั่งสอนอยู่ทุกเมื่อแล้ว ก็มีการตรึกตรองในด้านนี้เช่นกัน

เพียงแต่นางไม่คิดว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะได้รับการช่วยเหลือจากบ่อน้ำพุวิญญาณเมฆหยินหยาง ทว่าเขาก็ได้รับจริงๆ

บ่อน้ำพุวิญญาณเมฆหยินหยางมีตาน้ำพุอยู่น้อยนิด แต่ละที่ต่างเป็นอิสระต่อกัน ทว่าก็เชื่อมต่อทะลุถึงกัน เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และซือคงจิงแต่ละคนยึดครองหนึ่งแห่ง ไม่กระทบซึ่งกันและกัน

รอบกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแช่อยู่บนบ่อน้ำพุ เยี่ยนจ้าวเกอกำหนดลมหายใจขับพิษเงียบๆ

ภายในจุดตันเถียนชี่ไห่ ลมปราณบริสุทธิ์โหมซัดสาดไหลเชี่ยวอย่างไม่ขาดสาย เมื่อลมปราณบริสุทธิ์กระจายออก กลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์หนึ่งก็ปรากฏ

จุดลมปราณทั่วกายของเยี่ยนจ้าวเกอเปิดปิด ลมปราณเย็นเยียบสีขาวและลมปราณร้อนรุ่มสีแดง คล้ายกับมังกรขาวและมังกรแดงตัวหนึ่ง โลดแล่นอยู่ในทางเดินเลือดลมภายในร่างกายของเขา

ลมปราณน้ำแข็งและเพลิงที่คล้ายกับมังกร ผสมผสานร้อยเข้าด้วยกันไปทุกทิศทาง และหลอมรวมเข้าไปภายในกลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์

กลุ่มธาตุปราณขยายใหญ่แข็งแกร่งขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนกลับคืนรูปเดิมอีกครั้ง ตามการกำหนดลมหายใจขับพิษของเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับว่าไม่เคยเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่น้อยมาก่อน

ทว่าภายในที่ไร้ขีดจำกัด ท่วงทำนองของพลังที่เกิดดับทุกสรรพสิ่งเอาไว้ เหมือนกับว่าจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ในกลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์มีเชื้อไฟก้อนหนึ่ง เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด สับเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ส่องแสงสีแดงสว่างวับวาบมากมาย ซึ่งนั่นก็คือผลพวงที่เยี่ยนจ้าวเกอได้มาจากคัมภีร์ทำลายสวรรค์นั่นเอง

อีกทั้งเชื้อไฟนี้ยังค่อยๆ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงตามการกำหนดลมหายใจของเขาอีกด้วย

พลังร้อนรุ่มค่อยๆ สลายหายไป จนกระทั่งไม่มีอุณภูมิเหลืออยู่ จากนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นอย่างต่อเนื่อง!

หลังจากการก่อตัวเป็นระยะเวลานาน เชื้อไฟก็หายไป โดยมีผลึกน้ำแข็งก้อนเล็กๆ เข้ามาแทนที่!

แม้ผลึกน้ำแข็งนั้นจะเล็ก แต่กลับแฝงความเย็นสุดขั้วเอาไว้ ราวกับอดีตที่มีมาตั้งแต่บรรพกาลดั้งเดิม และยังคล้ายกับอนาคตที่โลกกำลังเดินไปยังทางตัน

ท่ามกลางความหนาวเย็น โอกาสที่จะมีชีวิตทั้งหมดล้วนไม่มีอยู่อีกต่อไป เหลือเอาไว้แต่เพียงความดับสูญ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อุณหภูมิของผลึกน้ำแข็งที่อยู่ในกลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์ก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง ความหนาวเหน็บค่อยๆ สูญสลายไป ความอบอุ่นบังเกิดขึ้นใหม่

เมื่อถึงตอนท้ายที่สุดแล้ว อุณหภูมิก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าจะรุ่มร้อนกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก ผลึกน้ำแข็งสูญสลายไป เชื้อไฟปรากฏขึ้นให้เห็นอีกครั้ง

วนเวียนเช่นนี้เป็นวัฏจักรซ้ำไปซ้ำมา เยี่ยนจ้าวเกอปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง กระนั้นบริเวณด้านหน้าดวงตาเหมือนกับค่อยๆ มีลำแสงสว่างขึ้นมา อีกทั้งยังสว่างเจิดจ้ามากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

แม้ว่าเขาจะไม่มองไม่ฟัง ทว่าโลกหล้าโดยรอบกลับชัดแจ้งยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ที่เขาใช้ดวงตาของตนไปมอง และใช้หูไปฟังเสียอีก คล้ายกับว่า มีความรู้สึกที่มองเห็น ‘ความเป็นจริง’ อย่างไรอย่างนั้น

เยี่ยนจ้าวเกอชี้แนะส่วนที่เหลือของเฟิงอวิ๋นเซิง ให้ตั้งใจและตั้งมั่นฝึกฝนเช่นนี้วันแล้ววันเล่า

ใช้ประโยชน์จากสรรพสิ่งภายนอก ให้ความสำคัญกับตนเองเป็นอันดับแรก การฝึกที่มีต่อตนเองของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยผ่อนปรน ถึงขั้นที่มุมานะบากบั่นยิ่งกว่าคนอื่นๆ มากนัก

เป็นเช่นนี้จนเวลาล่วงเลยไปเกือบจะครึ่งปี

วันหนึ่ง เหนือศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอก็พลันเกิดรัศมีแสงปรากฏวับวาบ พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า!

นั่นกลับไม่ใช่ลำแสงที่มีอยู่จริงแต่อย่างใด ทว่าเป็นความรู้สึกรูปแบบหนึ่งที่ลึกล้ำเสียยิ่งกว่าลึกล้ำ คล้ายกับมนุษย์เชื่อมประสานกับโลกสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

การเปลี่ยนแปลงสลับกันของเชื้อไฟและผลึกน้ำแข็ง ในกลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในจุดตันเถียนมีแนวโน้มจะหยุดนิ่งลง เชื้อไฟไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ อีก ฝังลึกอยู่ภายในธาตุปราณ

ลมปราณบริสุทธิ์ตลบอบอวลไปทั่ว ห่อหุ้มปกคลุมธาตุปราณเอาไว้ จากนั้นปราณจิตรามากมายก็ขยายออกจากภายในลมปราณบริสุทธิ์มาด้านนอก กระจายไปทั่วทุกส่วนในร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอ

จุดลมปราณทั่วกายชายหนุ่มสั่นสะเทือนพร้อมๆ กัน ปราณจิตราระเบิดปะทุออกมานอกร่างกาย

กระแสปราณหลากหลายสายคล่องแคล่ว ราวกับหินแข็งถูกกรอกเข้าไปในชีวิต มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง!

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา ประสบผลสำเร็จแล้ว!

อาหู่ที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกรู้สึกได้ จึงเดินเข้ามา

เยี่ยนจ้าวเกอลืมตาทั้งสองขึ้น แสงแห่งเซียนเปล่งไปทั่วทั้งสี่ทิศ เขามองไปทางอาหู่

ชายร่างใหญ่ชะงักไป จากนั้นก็อ้าปากค้าง ยิ้มประจบพลางกล่าวว่า “คุณชายก็คือคุณชาย พลังชีวิต พลังปราณ และพลังวิญญาณที่เพียงพอ ปกติแล้วปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้นไม่มี”

“อาหู่ สีหน้าอารมณ์ของเจ้าปลอมจนเกินไปแล้ว ยังต้องฝึกต่อไปอีก” เยี่ยนจ้าวเกอลุกออกมาจากบ่อน้ำพุ ยืดเส้นยืดสายอยู่พักหนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ในที่สุดก็ก้าวมาถึงขั้นเคียงนภาเสียที”

อาหู่อ้าปากกว้าง “คุณชายขอรับ ท่านอย่าทำสีหน้าเหมือนกับใช้เวลาไปอย่างยาวนานได้หรือไม่ ตั้งแต่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ถึงขั้นเคียงนภาระยะต้น ท่านเพิ่งจะใช้เวลาไปเพียงแค่ปีกว่าๆ เท่านั้นเองนะขอรับ! เขาไร้พรมแดนคิดว่าเป็นการเยินยอจนเกินจริงเพื่อบ่อนทำลายท่าน แต่ข้าเห็นว่าวิธีกล่าวของพวกเขาล้วนยังดูถูกท่านจนเกินไป!”

เยี่ยนจ้าวเกอฉีกยิ้มโดยที่ไม่พูดอะไร

ก่อนหน้าเป็นเพราะไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอเองก็เลยไม่รู้เช่นกัน

ชาติก่อนตอนที่ได้อ่านคัมภีร์ที่เก็บอยู่ในวังเทพทั้งหมด เยี่ยนจ้าวเกอถึงได้ค้นพบว่าการที่ตนได้อยู่ในโลกแห่งจอมยุทธ์นี้ประดุจปลาได้น้ำ ความสามารถในการทำความเข้าใจการฝึกวรยุทธ์สูงยิ่ง

หากกล่าวว่าเป็นความสามารถที่เก็บซ่อนเอาไว้ ก็ไม่สู้กล่าวว่าเขาเกิดมาก็คล้ายกับจะกินข้าวถ้วยนี้แล้ว

ชาตินี้สั่งสมปูพื้นมานานนัก น่าจะถึงเวลาที่รุดหน้าพุ่งทะยานแล้ว

ถ้าหากไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนตกตะลึงเกินไปจนเกิดความสงสัย ระดับความเร็วยังสามารถเร็วได้ยิ่งกว่านี้เสียอีก

หลังจากมาถึงโลกใบนี้ การตระเตรียมสั่งสมเป็นระยะเวลายาวนานก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่การเสียแรงเปล่า

“ถึงขั้นเคียงนภาแล้ว เรื่องต่างๆ มากมายล้วนสามารถทำได้แล้วเช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับหยิบเตาผลึกหินชั้นในของตนเองออกมา

เมื่อเปิดฝาเตาออก แสงเพลิงสีน้ำเงินก็ส่องสว่างวาบ นั่นก็คือเชื้อไฟสัจจะอัคคี

แรกเริ่มเชื้อไฟสัจจะอัคคีผ่านการบ่มเพาะจนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา นอกจากเตาผลึกหินชั้นในเตานี้ของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ภายในเตาผลึกหินชั้นในที่ทิ้งเอาไว้ที่สำนักกับบิดาของตนนั้น ก็บ่มเพาะจนมีเชื้อไฟสัจจะอัคคีเช่นเดียวกัน

เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือเดียวขับเคลื่อนเตาผลึกหินชั้นใน อักขระวิญญาณมากมายบนเตาผลึกหินชั้นในพลันเปล่งแสงแวววาวออกมา

“อาหู่ หยิบอาวุธวิญญาณระดับล่างสองชิ้นที่ได้มาจากเหยียนซวี่ก่อนหน้านี้ออกมา” ทันทีที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว อาหู่ก็รีบปฏิบัติตามทันที เขาหยิบอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นเกราะอ่อน อีกชิ้นหนึ่งเป็นเข็มขัดออกมาส่งให้ชายหนุ่ม

ทีแรกอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นถูกสือเถี่ยทำลายรากฐานเสียหาย เรียกได้ว่าเกือบจะพังทั้งหมด เคราะห์ดีที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้วิชาลับเก็บเอาไว้ จึงสามารถเก็บรักษาพวกมันเอาไว้ได้

ถึงกระนั้นปราณดั้งเดิมก็ยังคงเสียหายหนัก ยากจะฟื้นคืนให้เหมือนเดิมได้

“จะหลอมอาวุธวิญญาณได้หรือไม่ สำหรับคุณค่าของเตาผลึกหินชั้นในแล้ว เป็นสันปันน้ำที่มีขนาดใหญ่มหึมา” เยี่ยนจ้าวเกอนำเกราะอ่อนและเข็มขัดใส่เข้าไปในเตาผลึกหินชั้นในพร้อมกัน “ตอนนี้นำสิ่งของทั้งสองรูปแบบนี้มาฝึกปรือฝีมือได้พอดิบพอดี”

ดวงตาทั้งสองของอาหู่เปล่งประกาย “คุณชาย อาวุธวิญญาณที่เสียหายจนกลายเป็นเช่นนี้ ก็สามารถซ่อมแซมให้คืนสภาพเดิมได้หรือขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “มีโอกาสฟื้นฟูได้อยู่หลายส่วน แต่ถ้าอยากให้กลับไปอยู่ในจุดสูงสุดเช่นเดิมนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เพียงแต่ว่าหลังจากซ่อมแซมจนฟื้นฟูปราณดั้งเดิมได้บ้างแล้ว ก็สามารถส่งประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น สร้างของชิ้นหนึ่งที่ข้าอย่างจะสร้างมาโดยตลอด”

………….