ตอนที่ 144 หน่วยกิเลน

ชายาเคียงหทัย

เมื่อให้ทุกคนออกไปแล้ว ภายในห้องหนังสือก็เหลือเฟิ่งจือเหยาและจั๋วจิ้งเพียงสองคนเท่านั้น ม่อซิวเหยานั่งพิงพนักเก้าอี้นิ่งมองทั้งสองคน มือข้างหนึ่งเคาะที่เท้าแขนเล่นอย่างใจลอย

 

 

ภายในห้องเงียบสนิท พักใหญ่ถึงได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องหนังสือว่า “เฟิ่งซาน ตั้งแต่ข้าเดินทางออกจากเมืองหลวงไป ในเมืองหลวงเกิดอันใดขึ้นบ้าง”

 

 

เฟิ่งจือเหยาย่อมไม่มีทางช่วยม่อจิ่งฉีปกปิด รีบตอกไข่ใส่สีบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้ม่อซิวเหยาฟังอย่างไม่หมกเม็ด

 

 

จั๋วจิ้งที่ถึงแม้จะชอบทำหน้านิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น แต่เมื่อพูดถึงคนที่ประสงค์ร้ายต่อนายของตนแล้ว ก็ช่วยผสมโรงอย่างเต็มที่ทันที จนทำให้ม่อซิวเหยาที่เดิมก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ยิ่งฟังด้วยสีหน้าบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีกมาก

 

 

ม่อซิวเหยามีโทสะขึ้นจริงๆ เสียแล้ว ซึ่งไม่เพียงเพราะเขาพุ่งเป้ามาที่อาหลี แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเขาที่มีฐานะเป็นประมุขแห่งแคว้น กลับไม่รู้ว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน สำหรับม่อซิวเหยาแล้ว ที่ทหารหลายหมื่นนายและชาวบ้านเมืองซิ่นหยางต้องสละชีวิตไปนั้น ก็ด้วยเพราะความอิจฉาริษยาและความใจแคบของม่อจิ่งฉี

 

 

เดิมที ม่อซิวเหยาเคยนึกสงสัยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นผ่านๆ มา ที่ฮ่องเต้นึกคลางแคลงใจในตำหนักติ้งอ๋องเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะบรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋องรุ่นก่อนๆ เก่งกาจมากเกินไป แต่มายามนี้เขาถึงได้เข้าใจว่า มิใช่เพราะบรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋องไม่รู้ว่าสิ่งใดคือการสร้างผลงานเกินหน้านาย และมิใช่เพราะพวกเขาไม่รู้จักว่าควรทำเช่นไรมิให้ผู้เป็นนายนึกคลางแคลงใจ แต่ด้วยเพราะบางเรื่อง…รู้ทั้งรู้ว่าไม่อาจทำแต่ก็จำเป็นต้องทำ!

 

 

“ดี…ดีมาก!” ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงต่ำ เสียงหัวเราะขรึมๆ กลับทำให้เฟิ่งจือเหยารู้สึกตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้ากลับออกไปก่อนเถิด”

 

 

“ข้าน้อยขอตัว”

 

 

เมื่อเยี่ยหลีกล้บเข้ามาในห้องหนังสืออีกครั้ง ก็ล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้ว ถึงแม้ยามที่นางตื่นขึ้นมาจะรู้สึกขัดใจม่อซิวเหยาที่ทำอันใดตามอำเภอใจตนเองไปบ้าง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้อง ก็อดเดินออกมามองหาเขาไม่ได้

 

 

เมื่อเห็นว่าในห้องหนังสือยังมีแสงไฟสว่างอยู่ เยี่ยหลีจึงรู้ว่าเขาจะต้องยังทำงานอยู่ในห้องหนังสืออย่างแน่นอน นางหยุดคิดเล็กน้อย และในที่สุดก็อดไม่ได้ หมุนตัวเดินไปยังห้องครัวทำของว่างมื้อดึกยกเข้าไปให้เขาในห้องหนังสือ

 

 

ภายในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยากำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวที่หน้าประตู จึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีอ่อน ผมยาวสลวยรวบไว้ง่ายๆ ในมือถือถาดที่มีอาหารวางอยู่เต็มถาด กำลังมองมาที่ตนอย่างเงียบๆ

 

 

ภายใต้แสงสะท้อนของโคมไฟ ใบหน้างามของนางดูอบอุ่นและงดงามจับจิตจับใจ

 

 

ม่อซิวเหยารู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นทันที นี่คือภรรยาของเขา… “อาหลี มาสิ…” ม่อซิวเหยาวางพู่กันในมือ ยื่นมือไปหาเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีเดินเข้าไปวางถาดลงบนโต๊ะ เก็บม้วนกระดาษและฎีกาบนโต๊ะขึ้น พร้อมนำกับข้าวทั้งหลายออกมาวาง “มีงานอันใดไว้ค่อยจัดการพรุ่งนี้มิได้หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ ดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงบนตักตน “อาหลีกินเป็นเพื่อนข้าสิ” ด้วยเพราะเขาไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของอาหลี มื้อเย็นเขาจึงรับประทานอะไรง่ายๆ ไปเล็กน้อยเท่านั้น ยามนี้จึงรู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ

 

 

เยี่ยหลีมองเขาอย่างไม่รู้จะพูดอันดี นั่งอยู่ในอ้อมแขนเขาเช่นนี้นางจะกินได้อย่างไร

 

 

ม่อซิวเหยาเพียงทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าประหลาดของนาง ตักข้าวต้มขึ้นมาช้อนหนึ่ง คีบกับข้าวใส่ลงไปเล็กน้อย ก่อนยื่นไปตรงหน้านาง

 

 

เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเขายังรั้นไม่ยอมดึงช้อนกลับ จึงทำได้เพียงยื่นหน้าไปกินข้าวต้มช้อนนั้นจากเขา

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะอย่างพอใจ แล้วถึงได้ตักกินเองสองคำ ทั้งสองผลัดกันกินคนละคำเช่นนี้ไปจนอาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยง เมื่อเห็นจานชามบนโต๊ะว่างเปล่าลงหมดแล้ว เยี่ยหลีจึงเพียงยิ้มมิได้เอ่ยอันใด

 

 

เมื่อกินมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ม่อซิวเหยาก็เรียกให้คนมาเก็บจานชามทั้งหมดออกไป แต่ยังคงไม่ยอมปล่อยเยี่ยหลี กักกอดนางไว้กับอก อ่านฎีกาที่ยังกองพะเนินไปด้วยกันพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นครั้งคราว

 

 

จนเมื่อเยี่ยหลีเห็นจำนวนชาวบ้านเมืองซิ่นหยางที่ถูกสังหารไป นางก็ก้มหน้าลงเงียบๆ “ขอโทษด้วย ครานี้เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”

 

 

ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ จับใบหน้าเรียวของนางขึ้นก่อนก้มลงจูบเบาๆ “อาหลี เจ้าทำดีมากแล้ว ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” ม่อซิวเหยาเอ่ยออกมาจากใจจริง ถึงแม้จะมอบอำนาจในการควบคุมกองทัพตระกูลม่อให้กับเยี่ยหลี แต่เยี่ยหลีจะสามารถจัดการได้เท่าไรนั้น เอาเข้าจริง ม่อซิวเหยาก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะถึงอย่างไร ภาระอันหนักหน่วงอย่างการควบคุมทหารหลายแสนนาย ต่อให้เป็นบุรุษก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่อาหลีของเขา ทำได้ดีที่สุดแล้วจริงๆ

 

 

“แต่ว่า หากมิใช่เพราะข้าสั่งคนให้ไปเคลื่อนย้ายเสบียงอาหารและเงินในเมืองซิ่นหยางออกมา บางทีเมืองซิ่นหยางอาจไม่ถูกสั่งฆ่าล้างเมืองก็เป็นได้” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมทอดถอนใจเบาๆ

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า เอ่ยเรียบๆ ว่า “อาหลี อย่าได้เอาทุกเรื่องมาแบกไว้กับตัวเลย เจ้ากับข้าต่างรู้ดี เจ้ามิได้ทำอันใดผิด ถึงแม้ซีหลิงและต้าฉู่จะมีพื้นที่กว้างใหญ่เช่นเดียวกัน แต่ความอุดมสมบูรณ์นั้นต่างกันมากนัก ซีหลิงมีพื้นที่แห้งแล้งเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ พื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้มีไม่ถึงหนึ่งในห้าของต้าฉู่ แต่ในเมืองซิ่นหยาง มีเสบียงอาหารและยุทธปัจจัยที่มากพอสำหรับกองทัพห้าแสนนายให้ใช้ได้ครึ่งปี หากให้พวกมันได้เสบียงอาหารและเงินจำนวนมากเช่นนั้นไป ศึกครานี้คงรบได้ยากเย็นขึ้นมากนักเป็นแน่ อีกอย่าง ที่ทหารซีหลิงมิได้ฆ่าชาวบ้านต้าฉู่ตั้งแต่บุกเข้ามาได้ มิใช่เพราะพวกเขาไม่คิดจะทำ เพียงแต่พวกเขาเป็นกังวลว่าจะทำให้ชาวบ้านเกิดลุกฮือขึ้นเท่านั้น หากการศึกครานี้ยืดยาวไปถึงฤดูหนาว…อาหลีเคยอ่านเรื่องประวัติศาสตร์การรบแคว้นซีหลิงมาบ้างหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า ก่อนหน้านี้นางไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ หลังจากแต่งงานกับม่อซิวเหยาก็มีงานให้ต้องสะสางไม่ได้หยุด จึงไม่มีเวลาได้อ่านหนังสือมากนัก

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “หากอาหลีเคยอ่านก็จะรู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ทัพของซีหลิงขาดเสบียงอาหาร พวกมันก็จะลงมือกับชาวบ้านทั่วไปทันที และอันที่จริงกองทัพของซีหลิงคิดมาตลอดว่าตนเองแข็งแกร่งและเก่งกาจ แต่แคว้นซีหลิงไม่สามารถผลิตเสบียงอาหารได้มากนัก ดังนั้นเสบียงอาหารที่พวกเขาจัดเตรียมมาจึงไม่เคยมากพอ และสำหรับพวกเขาแล้วชาวบ้านของแคว้นศัตรู ก็เป็นแหล่งเสบียงอาหารชั้นดีที่พวกเขาเตรียมไว้เท่านั้น ถึงแม้ก่อนหน้านี้ต้าฉู่จะไม่เคยถูกพวกเขารุกรานมาก่อน แต่แคว้นทางฝั่งตะวันตก หรือแม้กระทั่งหนานเจียงต่างเคยประสบกับการฆ่าล้างเมืองของซีหลิงมาแล้วทั้งสิ้น หากให้ซีหลิงได้เสบียงอาหารในเมืองซิ่นหยางไป ศึกครานี้คงต้องยืดเยื้อออกไปอีกมาก หากเข้าฤดูหนาวและขาดเสบียงอาหารขึ้นมาอีก ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนคงจะมีมากกว่านี้ อีกอย่าง ต่อให้ต้องกล่าวโทษผู้ใด คนที่ต้องถูกกล่าวโทษก่อนเป็นอันดับแรก ก็คือคนที่รักษาเมืองไว้ได้ไม่ดี!”

 

 

เยี่ยหลีอิงแอบอยู่กับอกอันแข็งแกร่งของเขา ถึงแม้จะรู้ดีว่าม่อซิวเหยากำลังเอ่ยปลอบนาง แต่กลับรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อย เยี่ยหลีมิใช่คนที่ชอบเก็บปัญหาที่คิดไม่ตกมาใส่ใจ ดังนั้นจึงผลักเรื่องนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว ก้มลงมองตัวเลขบนฎีกาพร้อมทอดถอนใจ ในการศึกมักมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องเสียชีวิตลง ซึ่งทำให้ทั้งน่าปวดใจ แต่ก็จนใจในเวลาเดียวกัน

 

 

ทั้งสองนั่งกอดกันอยู่ใต้แสงไฟ ต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนหลังจากแยกจากกันไปให้กันและกันฟัง เมื่อม่อซิวเหยาได้ฟังเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเจิ้นหนานอ๋องแล้ว สีหน้าเขาก็บึ้งตึงลงทันที เอ่ยเสียงเบาต่อจากเยี่ยหลีว่า “อาหลีใจดีและใจอ่อนเกินไปแล้ว แค่เอาเสบียงอาหารจากเขาไม่กี่หมื่นตันกับเงินอีกไม่กี่ล้านตำลึงนั้น ดูถูกเขาเกินไปเสียแล้ว หากเป็นข้า คงตัดแขนอีกข้างของเขาให้จบเรื่องไป”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น มองบุรุษตรงหน้าที่หัวเสียประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกขัดใจด้วยความขบขัน “หากทำเช่นนั้น เกรงว่าพวกเรากับซีหลิงคงได้สู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเป็นแน่ ฮ่องเต้แคว้นซีหลิงมิใช่ว่ายังเจรจาไม่เรียบร้อยหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า เอ่ยอย่างทำอันใดไม่ได้ว่า “ฮ่องเต้ซีหลิงเกรงว่าคงใช้การไม่ได้เสียแล้ว จะมีชีวิตอยู่ถึงปีหน้าหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย หากฮ่องเต้ซีหลิงสวรรคต เกรงว่าคงได้มีฮ่องเต้ที่ทรงพระเยาว์ขึ้นอีกองค์เป็นแน่ และอำนาจทางการทหารทั้งหมดของซีหลิงก็คงตกอยู่ในมือของเจิ้นหนานอ๋องทั้งหมด”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจด้วยความเสียใจว่า “หากเป็นเช่นนั้น…ตัดแขนอีกข้างเขาทิ้งเสียก็ดีกว่าจริงๆ ด้วย”

 

 

พูดจบ ทั้งสองต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกัน คำพูดล้อเล่นอย่างไรก็เป็นเพียงการล้อเล่น สถานการณ์ในยามนี้ หากจะสู้รบกับซีหลิงจนเป็นตายกันไปข้างหนึ่ง ก็ไม่มีข้อดีอันใดกับทั้งพวกเขาและต้าฉู่

 

 

ม่อซิวเหยากอดหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขน แววตาอบอุ่นที่มองฎีกาบนโต๊ะมีประกายเย็นเยียบ เจิ้นหนานอ๋องหรือ…บังอาจปราถนาในชายาติ้งอ๋องแห่งตำหนักติ้งอ๋องของข้า ที่เสด็จพ่อตัดแขนเจ้าไปเพียงข้างเดียว คงใจดีกับเจ้าเกินไปสินะ!

 

 

ที่ม่อซิวเหยากลับมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ทัพใหญ่ของซีหลิงที่ก่อนหน้านี้เคลื่อนทัพได้ง่ายและรวดเร็วหนึ่งตัดต้นไผ่ ต้องหยุดชะงักลง เพียงแต่สถานการณ์ที่สงบเรียบร้อยเช่นนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ไฟแห่งการรบก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้จะสามารถยึดเมืองซิ่นหยางกลับมาได้แล้ว แต่หากนับพื้นที่ทั้งห้าเมืองที่ทัพใต้และทัพเหนือของซีหลิงยึดครองอยู่นั้น ก็มีพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของซีเป่ยของต้าฉู่ที่ตกอยู่ในมือของทัพซีหลิง และด้วยเพราะทัพที่ม่อซิวเหยานำมานั้นฝ่าทัพเหนือของซีหลิงตรงมายังเมืองซิ่นหยาง จึงทำให้ถึงแม้จะสามารถยึดเมืองซิ่นหยางกลับมาได้ แต่บริเวณโดยรอบก็ยังคงถูกทหารซีหลิงยืดครองอยู่ดี และทำให้เมืองซิ่นหยางทั้งสามด้าน มีทหารฝ่ายศัตรูปิดล้อมเอาไว้

 

 

ถึงแม้ภายในเมืองจะมิได้ขาดแคลนเสบียงอาหารและยุทธปัจจัย แต่แหล่งน้ำก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ถึงแม้ภายในเมืองจะเหลือชาวบ้านอยู่เพียงหยิบมือ แต่เมื่อเทียบกับปริมาณที่ทหารกว่าแสนนายต้องการ ก็ถือว่าอัตคัดไม่น้อย

 

 

ใช่ว่าม่อซิวเหยาไม่รับรู้ถึงปัญหานี้ เพียงแต่ยามนี้ต้าฉู่จำเป็นต้องมีข่าวดีเพื่อปลุกใจนายทหารในกองทัพ เพื่อกระตุ้นให้ทหารฮึกเหิม และประชาชนรู้สึกอุ่นใจ ดังนั้นการยึดเมืองซิ่นหยางกลับมาจึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

 

เมื่อม่อซิวเหยากลับมาแล้ว เยี่ยหลีย่อมคืนงานทางการทหารทั้งหมดให้แก่เขา ช่วยเหลือเขาเพียงเรื่องงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น จึงทำให้นางมีเวลาว่างขึ้นมาก อีกทั้งเวลานี้หลินหานและทหารที่ติดตามม่อซิวเหยาเดินทางไปยังเป่ยหรง รวมถึงฉินเฟิงและทหารที่ออกไปสืบข่าวกลับมาแล้วพอดี เยี่ยหลีจึงคิดขึ้นมาได้ว่า มีเรื่องหนึ่งที่รั้งรอเวลามานานแล้ว จึงถือโอกาสช่วงที่ม่อซิวเหยาพอมีเวลาว่าง เรียกบรรดาแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าทั้งหลายมาพบกันอย่างพร้อมหน้า

 

 

เดิมทีกลุ่มทหารหกสิบสามนายที่ได้รับการฝึกพิเศษที่หุบเขาอวิ๋นเฟิงนั้น มีเพียงห้าสิบเอ็ดนายที่ปรากฏกายขึ้นที่นี่ อีกสิบสองหายที่อยู่หน่วยทหารอื่น ดูท่าคงไม่ต้องนับรวมพวกเขาแล้ว เพียงแต่ก็เท่ากับว่าที่นี่ยามนี้ขาดกำลังรบไปเกือบหนึ่งในหกส่วนเลยทีเดียว

 

 

“เหล่าข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง พระชายา”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ลุกขึ้นได้” ระหว่างการเดินทางไปเป่ยหรง ม่อซิวเหยาได้เห็นถึงศักยภาพทางการรบที่แท้จริงของคนเหล่านี้ที่เยี่ยหลีได้ฝึกพวกเขาออกมาแล้ว และขณะเดียวกันเขาก็เริ่มนึกสงสัยในคนกลุ่มนี้ขึ้นมาติดหมัด

 

 

“ขอบพระคุณท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาหันไปอมยิ้มพยักหน้าให้เยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีลุกขึ้นก้าวเดินไปข้างหน้า “ครานี้ลำบากพวกเจ้าทุกคนแล้ว หลินหาน ฉินเฟิง รายงานภารกิจของแต่ละหน่วยมาที”

 

 

หลินหานก้าวขึ้นหน้ามารายงานว่า “เรียนพระชายา ครานี้มีทหารร่วมเดินทางไปเป่ยหรงทั้งหมดแปดนาย ตายในการศึกหนึ่งนาย บาดเจ็บสาหัสหนึ่งนาย ที่เหลืออีกหกนายผ่านการทำสอบพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉินเฟิงก้าวขึ้นมาเช่นกัน “เรียนพระชายา นายทหารทั้งหมดห้าสิบห้านาย แบ่งออกเป็นสิบเอ็ดกลุ่ม มีหน่วยที่พ่ายแพ้ในการรบ เสียชีวิตเจ็ดนาย บาดเจ็บสามนายพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ “เรื่องงานศพของทหารที่ตายในการรบ กับนายทหารที่ได้รับบาดเจ็ด อีกเดี๋ยวให้จั๋วจิ้งเป็นคนจัดการ ยามนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ถือเป็นผู้ที่ดีที่สุดที่ผ่านการคัดเลือกในการฝึกครั้งที่หนึ่ง ที่ผ่านมาลำบากพวกเจ้าทุกคนแล้ว ข้าได้หารือกับท่านอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทุกคนจะได้บรรจุเข้าเป็นนายทหารของกองทัพตระกูลม่ออย่างเป็นทางการ โดยรับคำสั่งตรงจากท่านอ๋องและตัวข้า โดยใช้ชื่อหน่วยว่า “กิเลน!””

 

 

ในมือเยี่ยหลีมีเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่ง ดูมีส่วนคล้ายกับเครื่องประดับหยกหย่าจื้อที่สามารถสั่งการกองทัพตระกูลม่อได้อย่างมาก เพียงแต่รอยสลักที่สลักอยู่ด้านบนนั้นเป็นรูปกิเลนที่ประหนึ่งมีชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสิ่งนี้จะกลายเป็นชื่อเรียกแทนพวกเขา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเขาคือ หน่วยกิเลน!

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองนายทหารทั้งหลายที่ถึงแม้จะพยายามรักษาท่าทีเคร่งขรึมไว้ แต่ในแววตาของพวกเขายังคงมีร่องรอยของความตื่นเต้นยินดีแฝงอยู่ นางเอ่ยเสียงขรึมว่า “ทุกคน เห็นว่าชื่อกิเลนเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ทุกคนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนมีคนเอ่ยขึ้นว่า “เรียนพระชายา กิเลนถือเป็นสัตว์มงคลนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ถูกต้อง กิเลนถือเป็นสัตว์มงคล และกิเลนมิได้เป็นเพียงสัตว์มงคล แต่ยังเป็นสัตว์ที่มีจิตใจดี บนหัวกิเลนมีเขา แต่บนเขามีเนื้อ จึงมีอาวุธแต่ไม่มีอันตราย ดังนั้นจึงถือเป็นสัตว์ที่จิตใจดี ข้าเองก็หวังว่าพวกเจ้าจะเป็นสัตว์จิตใจดีที่คอยปกป้องประชาชนตาดำๆ แต่เมื่อถึงยามจำเป็น ก็ต้องพร้อมเปลี่ยนเป็นดาบอันคมกริบที่พร้อมพุ่งเข้าใส่ศัตรู”

 

 

ทุกคนต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “น้อมรับคำสอนของพระชายา!”