ตอนที่ 145 ผูกใจ

ชายาเคียงหทัย

หลังจากนั้น ม่อซิวเหยาก็ได้เอ่ยให้กำลังใจพวกเขาอีกสองสามประโยค ก่อนให้พวกเขากลับออกไป เหลือเพียงฉินเฟิงและหลินหานให้รั้งอยู่ก่อนเท่านั้น

 

 

เมื่อทุกคนกลับนั่งลงยังห้องหนังสือเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีถึงได้หันไปถามหลินหานว่า “ไปเป่ยหรงครานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

หลินหานเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “ทุกอย่างราบรื่นดีพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโปรดวางใจ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า ผินหน้าไปเอ่ยถามม่อซิวเหยา “ทางด้านองค์หญิงหรงหวานั่น…”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “ถึงแม้องค์หญิงหรงหวาจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่มิใช่คนโง่เขลา อาหลีวางใจเถิด นางไม่ทำให้เสียเรื่องหรอก”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมถอนใจเบาๆ “เช่นนั้นก็ดีเพคะ มิเช่นนั้นคงได้เสียประโยชน์ไปมากทีเดียว”

 

 

ฉินเฟิงที่ยืนฟังทั้งสองสนทนากันเงียบๆ มิได้พูดอันใด ในเมื่อพระชายาและท่านอ๋องไม่ให้เขาหลบออกไปนั่นก็หมายความว่าไว้ใจเขา เขาเป็นผู้มีส่วนร่วมในการฝึกหน่วยกิเลนกลุ่มแรกมาด้วยตนเอง จึงย่อมคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดี ทหารแปดนายที่หลินหานนำติดตัวไปเป็นผู้ใด และมีผู้ใดได้กลับมาบ้าง ตัวเขาย่อมรู้ดี

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองเยี่ยหลี “ก่อนหน้านี้ข้ายังมิได้ถามเรื่องของอาหลีเลย ไปเป่ยหรงครานี้ข้าถึงได้รู้ว่าอาหลีมิได้เพียงสามารถดูแลงานภายในตำหนักและออกรบได้เท่านั้น แม้แต่การฝึกทหารก็ยังเก่งกาจยิ่งนักเสียด้วย”

 

 

หากมิได้เห็นด้วยตา ม่อซิวเหยาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าในใต้หล้านี้จะมีกองทัพและนายทหารเช่นนั้นอยู่จริง มิใช่ว่าวิทยายุทธของพวกเขากล้าแกร่ง และมิใช่ว่าพวกเขาสามารถทำศึกได้อย่างเก่งกาจ แต่พวกเขามีทักษะในการรับมือกับการโจมตีรูปแบบต่างๆ ที่เชี่ยวชาญอย่างน่าตกใจ ม่อซิวเหยาถึงขั้นคิดว่า หากมีกองกำลังเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ต่อไปจะน่าเกรงกลัวเพียงใด

 

 

เยี่ยหลีหันมองเขา “วิธีการฝึกเช่นนี้ต้องเสียพละกำลังและร่างกายมากเกินไป อีกทั้งตัวนายทหารที่เข้ารับการฝึกเองก็ต้องมีคุณสมบัติสูง หากนำมาใช้กับกองทัพขนาดนับพันนับหมื่นนาย เอาเข้าจริงก็คงมิได้ประโยชน์มากมายนัก จะว่าได้ไม่คุ้มเสียก็ว่าได้”

 

 

ถึงแม้ในการฝึกคราแรกจะไม่มีคนที่ถูกคัดออกกลางคัน แต่นั่นก็ด้วยเพราะนายทหารเหล่านี้เป็นหัวกะทิของหัวกะทิ อีกทั้งได้มีการคัดคนออกไปจำนวนไม่น้อยแล้วตั้งแต่ตอนคัดเลือก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นี่เป็นคนกลุ่มแรกในชาตินี้ ที่เยี่ยหลีทำการฝึกให้ออกมาอย่างที่นางต้องการ ด้วยเพราะอาวุธและการทำศึกระหว่างสองยุคมีความแตกต่างกัน ครานี้จึงถือเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น ซึ่งก็ยากที่จะเอ่ยว่าคนกลุ่มนี้ได้ตามที่เยี่ยหลีต้องการแล้วจริงๆ

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองเยี่ยหลีโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา “อาหลีมีสิ่งใดจะแนะนำหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ มองม่อซิวเหยาอยู่เป็นนานโดยมิได้พูดอันใด พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ให้เวลาข้าคิดสักหน่อยเถิด”

 

 

ม่อซิวเหยามิได้ว่าอันใด ขอเพียงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็พอแล้ว หากอาหลีมิได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นเขาก็หวังให้นางเป็นชายาติ้งอ๋องที่ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย แต่ในเมื่ออาหลีมีความสนใจและมีความสามารถนี้ เขาก็จะไม่ขัดขวางเส้นทางอันสดใสของนาง

 

 

เมื่อจัดการม่อซิวเหยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีถึงได้หันไปเอ่ยกับฉินเฟิงว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือหัวหน้าหน่วยกิเลน หลังจากนี้ข้าฝากคนกลุ่มนี้ไว้กับเจ้าแล้ว”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “ข้าน้อยจะไม่ทำลายความไว้ใจของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าคอยดูแลพวกเขามากหน่อยก็แล้วกัน แต่จำไว้ว่า พวกเจ้ามิใช่หน่วยทหารธรรมดาทั่วไปอย่างกองทัพขนาดใหญ่เหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการรบที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตรงๆ เข้าใจหรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าน้อยไม่เข้าใจ พวกข้าน้อยมิได้อ่อนแอกว่านายทหารทั่วไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” อุตส่าห์ฝึกความสามารถมาเสียจนเก่งกาจ แต่กลับมิอาจสู้รบกับศัตรูในสนามรบ ช่างเป็นเรื่องที่น่าหดหู่นัก หรือว่าพระชายาหวังเพียงให้พวกเขาทำหน้าที่เป็นสายสืบคอยสืบข่าวเท่านั้นเองหรือ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงจึงรู้สึกห่อเ**่ยวไม่น้อย

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วเรียวขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกเจ้ามิได้อ่อนด้อยกว่านายทหารทั่วไปเลยจริงๆ อันที่จริงพวกเจ้าเก่งกาจกว่าพวกเขาหลายเท่านัก เพียงแต่…หากพวกเจ้าทั้งห้าสิบคนเข้าไปร่วมอยู่ในกองทัพจำนวนนับพันนับหมื่นคนแล้ว จะสามารถแสดงความสามารถของหนึ่งคนให้เท่ากับทหารร้อยคนได้หรือ”

 

 

ฉินเฟิงไม่ตอบ ในสนามรบอันวุ่นวาย คมดาบไม่มีตาไว้มองผู้ใดทั้งสิ้น จึงไม่สามารถวัดว่าผู้ใดเก่งกาจหรืออ่อนด้อยกว่าได้ง่ายอย่างในสนามฝึก บางครั้งโชคชะตาก็เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ที่รอดชีวิตหาใช่ผู้ที่แข็งแกร่ง ต่อให้วิทยายุทธสูงส่ง มีฝีไม้ลายมือร้ายกาจเพียงใด หากมีห่าธนูยิ่งเข้ามา ก็อาจกลายเป็นเม่นตัวหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

 

เยี่ยหลีมองเขาพร้อมเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่มีทางใช้หนึ่งคนเอาชนะคนร้อยคนได้ แต่สิ่งที่พวกเจ้าทุ่มเทกับการฝึกฝนนั้นมากกว่านายทหารทุกคนเป็นร้อยเท่า ดังนั้น สนามรบที่พวกเจ้าทุกคนต้องเผชิญจึงแตกต่างจากพวกเขา บางทีอาจมิได้เข้าห้ำหั่นกับศัตรูซึ่งๆ หน้า แต่แน่นอนว่าจะเป็นที่ตื่นตกใจอย่างแน่นอน การต่อสู้อย่างมีชั้นเชิงในพื้นที่ขนาดเล็กต่างหาก เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ ก่อนหน้านี้ข้าได้เคยพูดไว้แล้วว่า สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ คือสิ่งที่ทหารธรรมดาทั่วไปทำไม่ได้ อย่างการสะกดรอยตาม แทรกซึม สืบสวนศัตรู ช่วยเหลือตัวประกัน ทำลายการโจมตี ขโมยข่าวสาร การลักพาตัวและการลอบฆ่า สิ่งเหล่านี้ต่างหากถึงเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ เข้าใจหรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เข้าใจแล้วก็ดี ครานี้เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง ให้รีบทำการฝึกฝนครั้งที่สองโดยทันที วิธีการฝึกและวิชาต่างๆ อีกเดี๋ยวข้าจะเอาให้เจ้า ครานี้ให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภายในห้าปี จำนวนคนในหน่วยกิเลนจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งพันนาย”

 

 

ฉินเฟิงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ลูกน้องของเขาต่างเป็นยอดฝีมือ แต่ก็มีเพียงห้าสิบคนเท่านั้น ดูแล้วรู้สึกใจหวิวไม่น้อย ฉินเฟิงนึกภาพว่าต่อไปตนจะได้เป็นผู้นำหน่วยทหารยอดฝีมือหนึ่งพันนาย ความรู้สึกเช่นนี้ช่างไม่ต่างอันใดกับการได้นำทหารนับพันนับหมึ่นนายเลยแม้แต่น้อย จึงรีบเอ่ยตอบเสียงใสว่า “ข้าน้อยรับบัญชา ขอรับรองว่าจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ดีมาก ออกไปเถิด”

 

 

เมื่อฉินเฟิงและหลินหนานถอยออกไปแล้ว ม่อซิวเหยายิ้มหันมองสีหน้าที่ดูกระตือรือร้นของเยี่ยหลี “ยามนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาหลีถึงดูถูกองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องนัก เมื่อเทียบกับคนกลุ่มนี้ของอาหลีแล้ว ถือว่าห่างชั้นกับองครักษ์ลับมากจริงๆ ยามนี้ข้าเองก็ตั้งตารอวันที่กองทัพของอาหลีจะตั้งขึ้นมาแล้วเช่นกัน”

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ท่านอ๋องอย่าได้พูดเองเออเองไป ข้ามิเคยดูถูกองครักษ์ลับนะเพคะ” ในหมู่องครักษ์ลับต่างเป็นคนที่มีความสามารถเหนือคนธรรมดาอยู่มากแล้ว อย่างมากนางก็เพียงรู้สึกว่า ที่ตำหนักติ้งอ๋องใช้คนเช่นนี้ ดูจะใช้คนมีความสามารถเปลืองไปหน่อยก็เท่านั้น

 

 

ม่อซิวเหยาย่นคิ้วนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “ในเมื่ออาหลีมีความตั้งใจที่จะขยายหน่วยกิเลน เช่นนั้นเมื่อกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว ก็ให้องครักษ์ลับทั้งหมดเข้าร่วมการฝึกพิเศษของหน่วยกิเลนด้วยเถิด ต่อไปตำหนักติ้งอ๋องจะยกเลิกหน่วยองครักษ์ลับเสีย”

 

 

“เช่นนี้จะดีหรือเพคะ” เยี่ยหลีรู้สึกเป็นกังวลกับการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและรวดเร็วของม่อซิวเหยาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงหัวหน้าองครักษ์ลับที่แสนจะแปลกประหลาดนั่นด้วยแล้ว หากรู้ว่าม่อซิวเหยาตัดสินใจจะทำเช่นนี้ ม่อหวาคงได้คิดอยากจะกินหัวนางเป็นแน่

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้ม จับผมนางเล่นพลางเอ่ยว่า “มีอันใดไม่ดีหรือ ในเมื่อมีหนทางที่มีประโยชน์กว่า เหตุใดถึงจะไม่ใช้เล่า”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “องครักษ์ลับมิได้มีไว้เพื่อปกป้องประมุขของตำหนักติ้งอ๋องหรือเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ามิได้บอกว่าหนึ่งในภารกิจของหน่วยกิเลนคือการคุ้มกันหรือ อีกอย่างที่ไปเป่ยหรงครานี้ พวกเขาก็ทำได้ดีมาก” ดีมากจริงๆ คนที่เยี่ยหลีฝึกมา ทำได้ทั้งต่อสู้และฆ่าฟัน พูดเป็น เล่นละครเป็น แกล้งโง่เป็น สามารถวางยาพิษ สืบถามข่าวได้อย่างง่ายได้ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้

 

 

เยี่ยหลีมองเขาอย่างไม่รู้จะเอ่ยอันใด ที่แท้เขาก็มีความคิดเช่นนี้นี่เอง

 

 

“ท่านอ๋องช่างคิดได้รอบคอบเสียจริงเพคะ” เยี่ยหลีปรายตามองเขาอย่างไม่เห็นขันด้วย

 

 

แต่สายตาเช่นนี้ของนาง สำหรับม่อซิวเหยาแล้วกลับ กลับดูมีเสน่ห์และยั่วอารมณ์เขาได้ดียิ่งนัก ใจเขาสั่นไหว จนต้องยื่นมือออกไปดึงนางเข้ามากอดก่อนก้มลงไปจูบ

 

 

ริมฝีปากและลิ้นทั้งสองเกี่ยวพันเข้าด้วยกัน เยี่ยหลีถูกจูบเสียจนเกือบหายใจไม่ทัน มือใหญ่ของม่อซิวเหยาที่ลูบคลำไปทั่วยิ่งทำให้ตัวนางอ่อนระทวยไปหมด ตั้งแต่กลับมาจากเป่ยหรง เมื่อเทียบกับม่อซิวเหยาคนก่อนหน้านี้แล้ว ดูมีความเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ความเปลี่ยนแปลงของเขานี้ ทำให้เยี่ยหลีอิ่มเอมใจ แต่บางครั้งก็เกินจะรับไหว “อื้อ…ม่อซิวเหยาคนบ้า ท่าน…ไม่แสดงความรักบ้างจะตาย…หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงต่ำ ริมฝีปากที่เย็นน้อยๆ ของเขาค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปตามลำคอเรียว พร้อมลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดลงบนผิวของนาง จนทำให้เยี่ยหลีหน้าแดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

ตาบ้าม่อซิวเหยา! ตาเยี่ยหลีเป็นประกาย ยกมือขึ้นหมายจะตีเขาให้หนักๆ

 

 

แต่ประหนึ่งม่อซิวเหยาจะรู้ว่านางจะมาไม้นี้ จึงยกมือขึ้นจับมือที่ยกสูงอยู่ของนาง จับมานวดเบาๆ “อาหลี เจ้าตีข้าเจ็บๆ แล้วเจ้าไม่สงสารข้าหรือ”

 

 

เยี่ยหลีกรอกตามองขึ้นฟ้า ยกมือขึ้นอังหน้าผากม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยามองนางพร้อมเลิกคิ้วขึ้น บอกว่าตนไม่เข้าใจ

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ได้เป็นไข้นี่ มาฝันอันใดกลางวันแสกๆ”

 

 

เมื่อม่อซิวเหยาได้ยินเช่นนี้ ก็ชะงักไปเล็กน้อย ก้มลงหัวเราะกับหัวไหล่ของเยี่ยหลีอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อาหลีช่างใจร้ายนัก ต่อให้อาหลีไม่สงสารข้า แต่สามีก็คงเป็นห่วงว่าอาหลีจะเจ็บมือเอาได้นะ”

 

 

เยี่ยหลีถึงกับหมดแรง นางไม่คุ้นเคยกับความน้ำเน่าของม่อซิวเหยาที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้นัก ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาอาจมีล้อเล่นกับนางบ้างเป็นครั้งคราว อย่างเรียกกันว่าภรรยาบ้างสามีบ้าง แต่ครานี้ตั้งแต่ม่อซิวเหยากลับมา ดูจะชอบคลอเคลียอยู่ใกล้นางมากขึ้นไปอีก

 

 

เยี่ยหลีนั่งอยู่ในอ้อมกอดของม่อซิวเหยา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ซิวเหยา ท่านเป็นอันใดหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไป เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เป็นอันใดอะไรกัน อาหลีรังเกียจสามีหรือ”

 

 

เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้านิ่งขรึม รอยยิ้มบนใบหน้าของม่อซิวเหยาค่อยๆ อ่อนลง ก่อนกอดนางเข้าแนบอกอีกครั้ง สูดหายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยว่า “อาหลี ข้านึกกลัวเล็กน้อย…”

 

 

ใจเยี่ยหลีกระตุก ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะแสดงออกว่าสุขุมและสง่างามมาโดยตลอด แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่าเขาเป็นบุรุษที่หยิ่งทระนงเพียงใด หากมิใช่ว่าเขารู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ เขาไม่มีทางแสดงความอ่อนแอของตนออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น ไม่สิ ต่อให้เขารู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ เขาก็ไม่มีทางแสดงออกให้คนนอกได้เห็น

 

 

“มีอันใดหรือ”

 

 

“ยามที่ข้าอยู่เป่ยหรง แล้วได้ยินว่าตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวงเกิดเหตุนองเลือดขึ้น…ยามที่ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องแวดล้อมไปด้วยคนที่ละโมบโลภมากอย่างม่อจิ่งฉีและพวกชนชั้นสูงเหล่านั้น แล้วยังต้องนำทัพออกศึก ข้าก็นึกเสียใจ…เสียใจ…” เสียใจที่เหตุใดตนถึงได้รับปากม่อจิ่งฉีว่าจะเดินทางมาเป่ยหรง หากเขายืนยันว่าจะไปไม่ ม่อจิ่งฉีย่อมไม่กล้าบังคับเขาเป็นแน่ เขาถึงขั้น…เสียใจว่าเหตุใดถึงไม่ฆ่าคนเหล่านั้นไปเสียให้หมดตั้งแต่แรก ทุกครั้งยามที่เขาคิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเสียนางไป ในใจเขาร้อนรุ่มไปด้วยความกลัวและความอาฆาตจนแทบจะเผาไหม้ทุกคนและทุกอย่างที่อยู่ในสายตาให้มอดไหม้ “อาหลี…โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร…”

 

 

เยี่ยหลีไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเป็นคนใจอ่อน แต่ยามนี้ใจนางอ่อนยวบประหนึ่งปุยนุ่นก็ไม่ปาน บุรุษที่เข้มแข็งและแข็งแกร่ง กลับเปลี่ยนเป็นอ่อนแอและหวาดกลัวก็เพราะนาง เยี่ยหลีไม่เคยรู้จักตนเองได้ดีเช่นในยามนี้มาก่อนเลย

 

 

เยี่ยหลีโอบบ่าเขาไว้เบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและหนักแน่นว่า “ไม่มีทาง ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะอยู่ข้างท่านตลอดไป”

 

 

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงเอาหน้าผากตนชนเข้ากับหน้าผากนาง “จริงหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ขอเพียงท่านไม่จากไปไหน ข้าก็จะไม่ละทิ้งท่าน”

 

 

นี่เป็นคำสัตย์สาบานที่นางสามารถพูดออกมาได้จากใจจริง เยี่ยหลีรับรู้มานานแล้วว่า สิ่งที่ม่อซิวเหยาทำให้นางนั้นมากเกินพอแล้ว และนางยิ่งรู้ดีกว่า ตนทนเห็นบุรุษผู้นี้เป็นทุกข์ใจไม่ได้

 

 

“ไม่ลาไม่จาก…” ม่อซิวเหยาเอ่ยพึมพำเสียงเบา เขาชอบคำนี้ ความคิดที่ว่าตนกับอาหลีจะไม่มีวันพรากจากกันทำให้ใจเขารู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดี ดังนั้นคนที่กล้าขัดขวางพวกเขา เขาจะให้พวกมันได้ชดใช้อย่างสาสม!