ตอนที่ 146 ชิงหรงกุ้ยเฟย

ชายาเคียงหทัย

ค่ายใหญ่ ทัพซีหลิน

 

 

ภายในค่ายใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง สีหน้าของเจิ้นหนานอ๋องดูย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ซีหลิงยกทัพออกมา

 

 

นับตั้งแต่ม่อซิวเหยาปรากฏตัวขึ้นและยึดเมืองซิ่นหยางกลับไปได้ กองทัพทั่วทั้งต้าฉู่ก็ประหนึ่งกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งในทันที ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน ดูเหมือนจทำให้ผลงานการรบที่สร้างมาทั้งหมดจะหายวับไปในทันที

 

 

ทัพเหนือถูกม่อซิวเหยาลอบโจมตีเสียจนเสียหายย่อยยับยังไม่เท่าไร แต่ทัพทางใต้เองก็ถูกโจมตีอยู่เนืองๆ มีเพียงทัพที่เจิ้นหนานอ๋องคุมอยู่เท่านั้นที่ยังถือได้ว่าสงบมั่นคง เพียงแต่หากคิดจะยึดเมืองซิ่นหยางกลับมาจากมือม่อซิวเหยาอีกครั้งก็คงไม่ง่ายนัก หนำซ้ำพวกเขายังเป็นฝ่ายแพ้ ต้องส่งเสบียงอาหารห้าหมื่นตันและเงินอีกนับล้านตำลึงให้กับชายาติ้งอ๋องอีก เสบียงอาหารของกองทัพซีหลิงที่เดิมก็ไม่ถือว่ามากเพียงพออยู่แล้ว ยิ่งเข้าใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้ ก็มีแต่จะยิ่งกลายเป็นน้ำค้างแข็งบนหิมะเท่านั้น

 

 

“ท่านอ๋องโปรดใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างเอ่ยด้วยความกลัว

 

 

เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเยาะขึ้นทีหนึ่ง “ใจเย็น ใจเย็น! นอกจากใจเย็นแล้วพวกเจ้าพูดอย่างอื่นไม่เป็นแล้วหรือ”

 

 

เมื่อรู้ว่ายามนี้ท่านอ๋องกำลังโกรธจัด จะมีผู้บัญชาการทหารท่านใดกล้าพูดออกมาอีกบ้าง ทำได้เพียงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่เท่านั้น

 

 

เหลยเถิงเฟิงยิ้มเรียบๆ ลุกยืนขึ้นเอ่ยกับเจิ้นหนานอ๋องว่า “เสด็จพ่อ ม่อซิวเหยารับมือได้ยากนั้น พวกเราต่างรู้กันดี เสด็จพ่ออย่าทรงทำให้พวกเขาลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาต่างก็ทำเต็มที่แล้ว”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ กวาดตามองพวกเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ “ไสหัวไป หากพรุ่งนี้ยังถูกกองทัพตระกูลม่อโจมตีจนทำอันใดไม่ถูกอีก พวกเจ้าก็ถอดเครื่องแบบออกไปเป็นทหารรับใช้ก็แล้วกัน!”

 

 

ทุกคนต่างรีบเอ่ยพ่ะย่ะค่ะ มองไปทางเหลยเถิงเฟิงอย่างทราบซึ้ง แล้วถอยกรูกันออกไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว

 

 

ภายในกระโจมเหลือเพียงพ่อลูกเจิ้นหนานอ๋อง ไม่มีคนอื่นอยู่อีก เหลยเถิงเฟิงถึงได้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เสด็จพ่อ จะรับมือกับม่อซิวเหยานั้นจะใจร้อนไม่ได้ ถึงแม้หลายวันนี้พวกเราจะเสียเปรียบไปไม่น้อย แต่หากดูจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว พวกเราก็มิได้เลวร้ายนักนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องถอนหายใจ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เหตุใดข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่…เถิงเฟิงเอ๋ย อย่าได้ประเมินม่อซิวเหยาต่ำไป เท่าที่ข้าเห็น ม่อซิวเหยาอันตรายกว่าม่อหลิวฟางเสียอีก!”

 

 

เหลยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเสด็จพ่อของตนจะประเมินม่อซิวเหยาไว้สูงเช่นนี้ จากการพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง ต้องบอกก่อนว่า ม่อหลิวฟางนั้นเป็นบิดาของม่อซิวเหยา ซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจเพียงคนเดียวในชีวิตของเสด็จพ่อ ที่แท้ก็…บุตรเก่งกาจกว่าบิดาอีกงั้นหรือ

 

 

“หากหลายปีมานี้ม่อซิวเหยาใช้ชีวิตอย่างราบรื่น บางทีข้าคงไม่เห็นเขาสำคัญถึงเพียงนี้ เพียงแต่เจ้าเองก็รู้ หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตมาอย่างไร ปีก่อนนั้นได้รับบาดเจ็บมาเพียงใด แล้วลองดูผลงานของกองทัพตระกูลม่อให้ช่วงหลายวันนี้ดูสิ ม่อซิวเหยาดูไม่จำเป็นต้องเคาะสนิมเลยแม้แต่น้อย แต่กลับวางการศึกได้อย่างเชี่ยวชาญเสียยิ่งกว่าที่คนเขาว่าเก่งกาจเสียอีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้บอกเราได้ว่า ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะปิดประตูตำหนักติ้งอ๋องด้วยเพราะป่วยหนักอยู่เป็นเจ็ดแปดปี แต่เขายังคงสามารถควบคุมสถานการณ์ของกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดไว้ได้ อีกทั้งกองทัพตระกูลม่อก็ยังคงเคารพนับถือเขาด้วยใจจริง เพียงแค่ข้อนี้…เถิงเฟิง เจ้าทำได้หรือไม่” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเรียบๆ

 

 

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ รอยยิ้มบนใบหน้าดูรู้สึกผิดและไม่อยากยอมรับ แต่ในที่สุดก็ส่ายหน้า เอ่ยว่า “ลูกไร้ความสามารถ ทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ยามนั้นม่อซิวเหยาบาดเจ็บหนักเพียงใด ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าเขา เขานึกถามตนเองว่าหากตนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น คงไม่มีทางควบคุมกองทัพตระกูลม่อได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ และอาจถึงขั้นถูกความเจ็บปวดเหล่านั้น ทำร้ายจนกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ หรือบางทีอาจถูกความแคว้นครอบงำจนกลายเป็นคนบ้าไปแล้วก็เป็นได้

 

 

เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้า เอ่ยปลอบใจว่า “แค่รู้ว่าตนไม่เก่งพอก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว ม่อหลิวฟางมีบุตรชายที่ดีนัก แล้วยังมีสะใภ้ที่ดีอีก…ช่างวาสนาดียิ่งนัก”

 

 

เหลยเถิงเฟิงนึกถึงสตรีที่อยู่ในชุดสีขาวประหนึ่งหิมะในวันแลกตัวประกัน และเอื้อนเอ่ยวาจาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ม่อซิวเหยาช่างมีวาสนาดีจริงๆ ที่ได้สตรีเช่นนั้นไปเป็นภรรยา เหล่าวีรบุรุษที่เก่งกาจทั่วทั้งใต้หล้าคงต้องนึกอิจฉาม่อซิวเหยาเป็นแน่

 

 

“เสด็จพ่อมีแผนการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยถาม

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าคิดว่าพ่อจะมีแผนการเช่นไรเล่า”

 

 

เหลยเถิงเฟิงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เมื่อครู่ถึงแม้เสด็จพ่อจะแสดงออกว่าโกรธจัด แต่ก็มิได้มีโทสะถึงเพียงนั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าในใจเสด็จพ่อมีแผนการวางไว้อยู่แล้ว” หากเสด็จพ่อมีโทสะจริง อย่าว่าแต่เขาขอร้องเลย เกรงว่าต่อให้เป็นเทพบนฟ้าลงมาก็คงไม่มีประโยชน์

 

 

เจิ้นหนานอ๋องหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งเล่น เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ปีนั้นม่อซิวเหยาถือว่าโชคดี จึงยังไม่ถึงกาลอวสานของตำหนักติ้งอ๋อง แต่ครานี้…ข้าจะคอยดูว่ามันจะยังโชคดีเช่นนั้นอยู่หรือไม่!”

 

 

เหลยเถิงตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เสด็จพ่อ ท่านคิดจะ…”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องยิ้มเรื่อยๆ “ตำหนักติ้งอ๋องมิได้ขวางหูขวางตาข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”

 

 

“ท่านอ๋องเอ่ยถูกแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องขวางหูขวางตาใครหลายคนจริงๆ ในต้าหล้านี้มีคนคิดอยากให้เขาสาบสูญไปอยู่มากนัก” น้ำเสียงอ่อนนุ่มดังมาจากนอกกระโจม

 

 

เหลยเถิงเฟิงเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ สีหน้ามีแววรังเกียจ

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเห็นท่าทีของเขา จึงส่ายหน้าอย่างเห็นขัน

 

 

ม่านของกระโจมใหญ่ถูกเปิดออกจากด้านนอก เงาบางร่างหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน หมุนตัวเดินผ่านม่านบังตาลายราชสีห์คำรามกลางป่าเขาเข้ามา สตรีในเครื่องแบบชาววังสีชมพูปรากฏตัวขึ้นในกระโจมใหญ่ คิ้วเรียวเข้มโดยไม่ต้องแต่งเติม ปากรูปกระจับโดยไม่ต้องตกแต่ง ใบหน้างดงามอย่างไม่มีที่ติ ดวงตาเป็นประกาย เพียงดวงตากลมมองมา ประกายในแววตาก็ทำให้ผู้คนหลงใหลโดยไม่รู้ตัว

 

 

ถึงแม้เหลยเถิงเฟิงดูภายนอกจะรังเกียจเดียดฉันท์นางมากนัก แต่เพียงมองสบกับดวงตาที่นางมองมา ก็ยังอดสั่นไหวไปเล็กน้อยไม่ได้

 

 

เมื่อเห็นเหลยเถิงเฟิงอึ้งไป มุมปากของสตรีผู้นั้นก็ยกยิ้มขึ้นน้อย ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปโค้งตัวคารวะ “คารวะท่านอ๋อง ซื่อจื่อ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องมองนางเรียบๆ เอ่ยถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ไม่ต้องอยู่ดูแลฝ่าบาทหรือ”

 

 

ดวงตามีเสน่ห์ของหญิงสาวเปลี่ยนไป เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องล้อข้าเล่นแล้ว ยามนี้ฝ่าบาทป่วยหนักอยู่บนเตียง มีฮองเฮาอยู่ก็พอแล้ว ต้องมีข้าคอยอยู่ดูแลเมื่อใดกัน หรือว่า…ท่านอ๋องไม่อยากพบหน้าข้า?”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้ามาก็ดี ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยพอดี”

 

 

สตรีผู้นั้นระบายยิ้มกว้างขึ้นอย่างยินดี เพียงแค่นางยิ้ม บรรยากาศภายในกระโจมที่ดูอึดอัดเคร่งเครียด ก็ดูมีสีสันขึ้นหลายส่วน “คำสั่งของท่านอ๋อง หลงเอ๋อร์จะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อทำให้สำเร็จเพคะ” สตรีผู้นี้ ก็คือไป๋หลง ชิงหรงกุ้ยเฟยแห่งซีหลิง หรือก็คือ ซูจุ้ยเตี๋ยยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่ในสมัยนั้น

 

 

เหลยเถิงเฟิงใจลอยไปชั่วขณะเท่านั้น แต่เพียงเจิ้นหนานอ๋องเอ่ยปากพูด เขาก็เรียกสติกลับมาได้ทันที แค่เพียงนิ่งฟังทั้งสองสนทนากันอยู่เท่านั้น สายตาที่เขาใช้กวาดมองซูจุ้ยเตี๋ย ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูแคลน ประหนึ่งเห็นของสกปรกที่น่าสะอิดสะเอียน แต่ลึกลงไปภายในดวงตา กลับดูมีบางสิ่งที่ย้อนแย้งกันซ่อนอยู่

 

 

เจิ้นหนานอ๋องคอยสังเกตสีหน้าบุตรชายของตนมาตั้งแต่ตนเริ่มเอ่ยปาก เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของเขาจึงอดทอดถอนใจในใจไม่ได้ เหลยเถิงเฟิงถือว่าเป็นบุตรที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาทายาทของเขา หรือแม้กระทั่งของฮ่องเต้แคว้นซีหลิง น่าเสียดายที่ยังห่างชั้นจากม่อซิวเหยาอยู่พอควร

 

 

“ท่านอ๋องมีอันใดจะสั่งการหรือเพคะ” ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยยิ้มๆ

 

 

เจิ้นหนานอ๋องมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ที่หลงเอ๋อร์รีบร้อนมาที่นี่เช่นนี้ เชื่อว่าคงด้วยเพราะได้ข่าวว่าม่อซิวเหยาอยู่ในเมืองซิ่นหยาง?”

 

 

ซูจุ้ยเตี้ยอึ้งไปเล็กน้อย มีประกายบางอย่างแวบขึ้นในดวงตา แต่ก็ใช้รอยยิ้มมีเสน่ห์ปกปิดไว้ได้อย่างรวดเร็ว เหลือบมองเจิ้นหนานอ๋องพร้อมเอ่ยว่า “หลงเอ๋อร์รู้ว่าม่อซิวเหยาอยู่ที่เมืองซิ่นหยางจริงเพคะ เพียงแต่เมื่อยามที่รู้นั้น หลีเอ๋อร์เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว หรือว่าจะมาที่นี่เพราะคิดถึงท่านอ๋องมิได้หรือเพคะ ท่านอ๋องไม่อยากเห็นหน้าหลงเอ๋อร์จริงๆ เสียด้วย”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องมองสีหน้ากระเง้ากระงอดของหญิงงามตรงหน้าอย่างเพลินตา ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือไปดึงนางเข้ามากอด เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าจะไม่คิดถึงหลงเอ๋อร์ได้อย่างไร”

 

 

“ท่านอ๋อง…” หญิงงามอิงแอบอยู่กับอกเจิ้นหนานอ๋อง ตัวอันอ่อนยวบประหนึ่งไม่มีกระดูก พร้อมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

 

 

เหลยเถิงเฟิงมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้ เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเยาะหยันว่า “เสด็จพ่อ หากไม่มีอันใดแล้ว ลูกขอตัวก่อน”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องปล่อยแขนที่กอดซูจุ้ยเตี๋ยอยู่ออก ส่ายหน้าให้เหลยเถิงเฟิง “เจ้าลูกคนนี้อะไรก็ดีหรอก จริงจังกับทุกเรื่องเกินไปสักหน่อยเท่านั้น”

 

 

รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าอยู่เป็นนิจ ย่อมไม่มีให้เห็นในยามนี้ เขาปรายตามองซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยว่า “ลูกไม่จำเป็นต้องเอาจริงเอาจังอันใดกับหญิงร่านที่ยอมให้ผู้ใดเป็นสามีก็ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ แค่เพียงเห็นแล้วนึกสะอิดสะเอียนเท่านั้น”

 

 

“เจ้า! เหลยเถิงเฟิง เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” หน้าซูจุ้ยเตี๋ยเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด หันไปทำตาแดงใส่เจิ้นหนานอ๋องอย่างน่าสงสาร เอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านอ๋อง ท่านดูซื่อจื่อของท่านกล้าพูดเช่นนี้กับข้า ข้า…หลงเอ๋อร์ไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่แล้ว!”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่ายหน้า “พอแล้ว พูดธุระกันดีกว่า หลงเอ๋อร์ เรื่องม่อซิวเหยา เจ้ามีแผนการเช่นไร”

 

 

คิ้วเรียวของซูจุ้ยเตี๋ยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นระบายยิ้ม “ท่านอ๋องอยากให้หลงเอ๋อร์กลับไปหาเขาหรือเพคะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “กลับไปหาเขา? เจ้าคิดว่าเขาในยามนี้จะยอมรับเจ้าหรือ ในใต้หล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่า ท่านติ้งอ๋องรักใคร่พระชายาอย่างลึกซึ้งแต่เพียงผู้เดียว”

 

 

ดวงตาซูจุ้ยเตี๋ยมีแววตัดพ้อ แต่ใบหน้างามที่เงยขึ้นมายังคงเต็มไปด้วยความเย้ายวน เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านอ๋องไม่เชื่อข้าหรือเพคะ หลงเอ๋อร์โตมาด้วยกันกับติ้งอ๋องตั้งแต่เล็กๆ เชียวนะเพคะ หรือว่าข้ามีตรงใดที่สู้เยี่ยหลี คุณหนูผู้ไร้ซึ่งคุณสมบัติทั้งสามประการไม่ได้”

 

 

นังเยี่ยหลีนั่นนอกจากมีพื้นเพตระกูลที่ไม่เลวนักแล้ว นางยังมีอันใดอีกบ้าง ไม่สิ แม้แต่พื้นเพตระกูลที่ไม่เลวนางก็ยังไม่มี เพียงแค่มีสามีที่ดีหน่อยเท่านั้น น่าเสียดายที่ท่านชิงอวิ๋นไม่วุ่นวายเรื่องราชสำนักมาหลายปีแล้ว ส่วนนางเป็นคู่หมั้นที่ถูกต้องของติ้งอ๋อง เป็นยอดหญิงงามแห่งต้า…ใต้หล้า หรือว่านางจะสู้สตรีที่ไม่มีทั้งความสามารถและความงามมิได้เชียวหรือ

 

 

เหลยเถิงเฟิงส่งเสียงหึเบาๆ อย่างดูแคลน แสดงความคิดของตนออกไปอย่างไม่ปิดบัง

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยถลึงตาใส่เขาอย่างหัวเสีย

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าย่อมเชื่อว่าหลงเอ๋อร์เป็นยอดหญิงงามเพียงคนเดียวแห่งยุค ม่อซิวเหยาจะไม่พ่ายแพ้แทบชายกระโปรงเจ้าได้อย่างไร”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยหันไปส่งยิ้มให้เหลยเถิงเฟิงอย่างได้ใจ “ท่านอ๋องอยากให้ข้าทำเช่นไรเพคะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องอมยิ้มไม่ตอบ

 

 

“เสด็จพ่อ ม่อซิวเหยาจะติดกับหรือพ่ะย่ะค่ะ” จนเมื่อซูจุ้ยเตี๋ยออกไปจากกระโจมแล้ว เหลยเถิงเฟิงถึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น

 

 

เจิ้นหนานอ๋องหันมองเขาพร้อมถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าหลงใหลนางหรือไม่”

 

 

เหลยเถิงเฟิงส่ายหน้า เขาย่อมมองออกว่าถึงแม้เสด็จพ่อของเขาจะมีความสัมพันธ์กับซูจุ้ยเตี๋ย แต่ไม่มีทางมีความรู้สึกที่แท้จริงให้กับนาง

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อข้ายังไม่ติดกับนาง แล้วม่อซิวเหยาจะติดกับนางได้อย่างไร”

 

 

“เช่นนั้นเสด็จพ่อ ที่ให้นางไปยั่วยวนม่อซิวเหยา จะเป็นละครเด็กเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หากหญิงผู้นั้นมีความสามารถยั่วยวนม่อซิวเหยาได้ นางจะมาอยู่ที่ซีหลิงได้อย่างไร

 

 

เจิ้นหนานอ๋องยิ้ม “ผู้ใดบอกว่าข้าจะให้นางไปยั่วยวนม่อซิวเหยาเล่า เขามีชายาติ้งอ๋องที่แสนวิเศษเช่นนั้นอยู่แล้วทั้งคน ไป๋หลงก็เป็นเพียงแจกันดอกไม้ที่สวยงามแต่ใช้การไม่ได้เท่านั้น”

 

 

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้ว ก่อนเงยหน้าขึ้นหันไปเอ่ยกับเจิ้นหนานอ๋องว่า “เสด็จพ่อมีแผนการอื่น”

 

 

“ก็เพียงต้องการให้นางคอยเป็นหูเป็นตา คอยจับตาดูม่อซิวเหยาแทนข้าก็เท่านั้น หากเรื่องแค่นี้นางยังทำไม่ได้ นางก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว” เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก ไม่เหลือร่องรอยอ่อนหวานในน้ำเสียงอย่างเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย