ตอนที่ 147 ซูจุ้ยเตี๋ย

ชายาเคียงหทัย

ในเมืองซิ่นหยาง

 

 

เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่ข้างกายม่อซิวเหยา อ่านจดหมายลับในมือที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่พร้อมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ

 

 

ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น ทันเห็นสีหน้าตื่นเต้นของนางพอดี จึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “มีเรื่องอันใดน่าสนใจหรือ”

 

 

เยี่ยหลียื่นจดหมายลับให้เขา “มีชนชั้นสูงจากวังหลวงของซีหลิงเดินทางมา เกรงว่าน่าจะถึงค่ายใหญ่ของซีหลิงภายในสองสามวันนี้”

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีชนชั้นสูงจากวังหลวงมาหรือ” ในวังหลวงของซีหลิงนอกจากองค์ฮ่องเต้ของซีหลิงแล้ว คนที่สามารถเรียกว่าเป็นชนชั้นสูงได้ก็มีเพียงพระสนมและองค์หญิงเท่านั้น เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนม่อซิวเหยาจะเอ่ยถามว่า “ไป๋หลง?”

 

 

“ท่านอ๋องช่างหลักแหลมนัก” เยี่ยหลีเอ่ยชมอย่างใจกว้าง

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงอ่านจดหมายในมือ ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเยี่ยหลีว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าอาหลีถึงขั้นมีคนเก่งเช่นนี้อยู่ในซีหลิง ยามนี้ข่าวในซีหลิงมิได้หาได้ง่ายๆ เลย”

 

 

ตั้งแต่หานหมิงเย่ว์ไปอยู่ที่ซีหลิง ตำหนักติ้งอ๋องก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า การทำงานขององครักษ์ลับในซีหลิงถูกขัดขวางโดยตลอด อย่างไรหานหมิงเย่ว์ก็เชี่ยวชาญด้านสายข่าว ทั้งยังถือว่าเป็นคนรู้จักตำหนักติ้งอ๋องเป็นอย่างดี

 

 

“ยามนี้องครักษ์ลับสองอยู่ที่ซีหลิงหรือ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ในบรรดาพวกจั๋วจิ้ง ก็มีองครักษ์ลับสองนี่แหละที่เหมาะเป็นสายข่าวมากที่สุด ซูจุ้ย…ไป๋หลงมายังต้าฉู่ เป็นข่าวที่ปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด ที่เขาสามารถสืบข่าวมาได้จนเกือบทันเวลาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าสายข่าวทางซีหลิงจำกัดอยู่ในวงเล็ก เพียงแต่…” เมื่อคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว จุดประสงค์แรกที่นางให้องครักษ์ลับสองไปยังซีหลิง มิใช่เพราะต้องการให้เขาสร้างสายข่าวขึ้นที่ซีหลิง แต่ด้วยเพราะดอกปี้ลั่วและดอกบัวเลี่ยหั่ว น่าเสียดายที่จนถึงยามนี้แล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวของดอกปี้ลั่ว ส่วนบัวเลี่ยหั่ว…คงต้องรอถึงเดือนหกเดือนเจ็ดปีหน้า

 

 

ม่อซิวเหยาใช้เวลาคิดเพียงเล็กน้อย ก็เข้าใจถึงเป้าหมายของเยี่ยหลีในการส่งองครักษ์ลับสองไปทันที เขาตบหลังมือเยี่ยหลีเบาๆ เป็นการปลอบใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่เป็นอันใดหรอก”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มพยักหน้า ปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ได้ในยามนี้ จะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ นางระบายยิ้ม มุมปากยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋อง ท่านว่าครานี้พวกเราจะได้ชื่นชมหญิงงามอันดับหนึ่งหรือไม่เพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาทำได้เพียงยิ้ม เลิกคิ้วถามว่า “ได้ชื่นชมแล้วอย่างไร ไม่ได้ชื่นชมแล้วอย่างไร”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องจะไม่นึกเสียดายหยกงามหรือเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและรักใคร่ “ในสายตาสามีแล้ว ในโลกนี้มีเพียงภรรยาเท่านั้นที่เป็นหยกงาม”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้มขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ก่อนโยนคำพูดหวานหูนั้นทิ้งไป

 

 

ด้วยเพราะได้รู้ข่าวก่อนแล้ว ยามเมื่อได้พบนางจึงมิได้มีอาการตื่นเต้นยินดีหรือโกรธเคืองอย่างที่ใครบางคนคิดจินตนาการไว้

 

 

เยี่ยหลีและม่อซิวเหยานั่งอยู่ในโถงดอกไม้ด้วยท่าทีนิ่งสงบ มองสตรีสาวงดงามหยาดเยิ้มที่มีคนนำตัวเข้ามาเมื่อครู่ ต้องยอมรับว่า ตัวจริงกับในภาพนั้นดูต่างกันอยู่ไม่น้อย ถึงแม้เดิมทีเยี่ยหลีจะคิดว่าสตรีในภาพงดงามมากแล้ว แต่เมื่อได้เห็นสตรีตรงหน้า กลับดูมีความเย้ายวนมากกว่าสตรีที่งดงามหยาดเยิ้มในภาพอีกหลายส่วน

 

 

เยี่ยหลีค่อยๆ ยกยิ้ม ผินหน้ามองไปทางม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้าง พวกเขาประหนึ่งรู้ใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ม่อซิวเหยาเองก็ผินหน้ามายิ้มน้อยๆ ให้นางเช่นกัน เยี่ยหลีเบ้ปากเล็กน้อยก่อนเบือนหน้าหนี

 

 

ภายในห้องโถง ซูจุ้ยเตี๋ยมองทั้งสองที่นั่งอยู่ประหนึ่งในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน ในใจนึกโกรธจัด เมื่อรู้ว่าจะได้มาพบกับม่อซิวเหยาอีกครั้ง นางจินตนาการภาพไว้มากมายนัก เขาอาจยินดี หรืออาจโกรธและเอ่ยคำพูดเชือดเฉือนน้ำใจให้นางเจ็บแสบ แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ม่อซิวเหยาจะทำเหมือนนางไม่มีตัวตนเช่นนี้ สำหรับหญิงงามแล้วนี่ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างมากทีเดียว

 

 

“ซิวเหยา…” เมื่อข่มความโกรธในใจลงแล้ว ซูจุ้ยเตี๋ยก็เอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ดวงตาสุกใสประหนึ่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วงเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา มองทั้งสองอย่างน่าสงสาร ในแววตายังมีแววตัดพ้อให้เห็น และน้ำตาดูพร้อมจะหยดลงมาได้ตลอดเวลา

 

 

ถึงแม้จะเป็นเยี่ยหลี ก็อดนึกชื่นชมฝีมือการเล่นละครของนางไม่ได้ เพียงแต่ถึงอย่างไรซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้ก็รู้จักกับม่อซิวเหยามาตั้งแต่เด็ก หรือว่านางจะไม่รู้จักนิสัยของม่อซิวเหยาสักนิดเชียวเหรือ นางคิดจริงๆ หรือว่าการพบหน้ากันเช่นนี้จะทำให้ม่อซิวเหยารู้สึกอันใดขึ้นมาได้ ถึงได้ทำให้สถานการณ์เป็นไปอย่างที่เป็นในยามนี้ ที่มีหญิงสาวแสนงดงามยืนอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าตัดพ้อต่อว่า มองบุรุษที่ดูประหนึ่งชายไร้หัวใจอย่างท่านติ้งอ๋องจิบชาด้วยท่าทีสงบนิ่ง แล้วยิ่งมีเยี่ยหลีที่นั่งชมละครฉากนี้อยู่ข้างๆ หากคนนอกมองเข้ามาคงได้เข้าใจผิดว่า บุรุษไร้หัวใจผู้นี้ไปล่อลวงสตรีแสนงามที่นอกบ้านให้หลงใหลจนตามเขามาถึงที่นี่เป็นแน่

 

 

เมื่อคิดขึ้นเช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดยิ้มอย่างเบื่อหนายขึ้นไม่ได้

 

 

ม่อซิวเหยาและซูจุ้ยเตี๋ยหันมองนางพร้อมๆ กัน เยี่ยหลีกระแอมไอเบาๆ ยืดตัวหนังขึ้นนั่งหลังตรง พยายามอย่างเต็มที่ให้ตนดูเป็นเจ้าบ้านที่ต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น “เอ่อ…ไป๋กุ้ยเฟย ผู้มาไกลถือเป็นแขก เชิญนั่งเถิด”

 

 

เมื่อได้ยินนางเรียกตนว่าไป๋กุ้ยเฟย สีหน้าของซูจุ้ยเตี๋ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดึงสายตาตัดพ้อต่อว่าของตนที่มองม่อซิวเหยา หันมองไปทางเยี่ยหลี เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านนี้คือชายาติ้งอ๋อง?”

 

 

เยี่ยหลีอดยกมือขึ้นลูบแขนที่ขนลุกขึ้นไม่ได้ สายตาที่ประหนึ่งตนทำอันใดผิดต่อนางนั่นหมายความเช่นไรกัน นางไม่รอให้เยี่ยหลีเอ่ยปาก ซูจุ้ยเตี๋ยก้าวเข้ามาย่อเข่าลงเล็กน้อย คารวะเยี่ยหลีอย่างนอบน้อม “พระชายาดูแลซิวเหยาคงลำบากท่านแล้ว จุ้ยเตี๋ยขอคารวะเป็นการขอบคุณ”

 

 

ถึงยามนี้ ในที่สุดเยี่ยหลีก็ไม่นิ่งอยู่อีกต่อไป นางยังคิดว่าซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้เป็นหญิงงามเมืองได้เช่นไรกัน ถึงแม้ในใจนางลึกๆ จะเชื่อในความจริงใจที่ม่อซิวเหยามีต่อตน แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่นี่มันเรื่องอันใดกัน ซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้คงมีปัญหาทางสมองกระมัง ถึงแม้นางจะเรียกตนว่าชายาติ้งอ๋อง แต่เรื่องการดูแลม่อซิวเหยา จำเป็นต้องให้นางมาเอ่ยขอบคุณด้วยหรือ

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองม่อซิวเหยาด้วยความไม่พอใจ อดีตคู่หมั้นของท่านเป็นอันใดไป สมองนางมีปัญหาหรืออย่างไร

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มให้นางอย่างไม่ใส่ใจ ข้าจะรู้ได้อย่างไร ไม่ได้พบหน้านางหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้มิใช่เช่นนี้เลยจริงๆ สายตาของเสด็จพ่อมิได้ย่ำแย่ถึงเพียงนี้!

 

 

เยี่ยหลีกระแอมเบาๆ แล้วก้มลงจิบชา ปรับสีหน้าตนให้กลับเป็นปกติ ก่อนยิ้มและเอ่ยกับซูจุ้ยเตี๋ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “ไป๋กุ้ยเฟยกล่าวเกินไปแล้ว ข้ากับท่านอ๋องเป็นสามีภรรยา ถือเป็นคนคนเดียวกัน การดูแลท่านอ๋องเป็นหน้าที่ของข้า อีกอย่าง ข้าอายุยังน้อยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ตามปกติจึงเป็นท่านอ๋องเสียมากกว่าที่เป็นคนดูแลข้า เรื่องนี้…คงไม่ต้องขอบคุณไป๋กุ้ยเฟยกระมัง”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจุ๊ยเตี๋ยดูเกร็งขึ้นทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของเยี่ยหลี ทำให้ก็นึกถึงคำเจิ้นหนานอ๋องที่เอ่ยเตือนนางก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ว่า “ชายาติ้งอ๋องมิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ หากประเมินนางต่ำไป มีแต่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”

 

 

ชายาติ้งอ๋องที่อยู่ตรงหน้านางนี้ ไม่ว่าจะเรื่องรูปลักษณ์ ท่วงท่าหรือความสามารถล้วนสู้ตนไม่ได้ทั้งสิ้น แต่กลับได้รับความชื่นชมจากเจิ้นหนานอ๋อง จึงทำให้ในใจซูจุ้ยเตี๋ยนึกไม่ยอมรับและรู้สึกเป็นอริกับนางขึ้นมา ดังนั้นเดิมทีนางจึงตั้งใจมองข้ามเยี่ยหลี จนเมื่อรู้ว่าม่อซิวเหยาไม่สนใจตนแม้แต่น้อย จึงได้เบนเป้าหมายกลับมายังเยี่ยหลี แต่แค่เพียงเอ่ยโต้ตอบกันเพียงสองประโยค ก็กลับทำให้นางพูดไม่ออกเสียแล้ว

 

 

“ซิวเหยา…หลายปีมานี้ท่านสบายดีหรือไม่” เมื่อพบว่าชายาติ้งอ๋องมิได้รับมือได้ง่ายอย่างที่ตนคิดไว้ ซูจุ้ยเตี๋ยจึงเบนสายตากลับไปทางม่อซิวเหยาอีกครั้ง

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ ยกชาขึ้นจิบก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ก็ไม่เลว เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยกัดปากอมชมพูของตน มองม่อซิวเหยาด้วยน้ำตาคลอหน่วย “ท่าน…ท่านยังโกรธข้าอยู่หรือ ข้ารู้ว่าท่านโทษข้า…มีหลายคราที่ข้าคิดอยากกลับมาหาท่าน ขอให้ท่านให้อภัยข้า เพียงแต่…เพียงแต่ข้าไม่กล้า…ฮือๆ…” ยังไม่ทันพูดจบ หยดน้ำตาประหนึ่งเม็ดไข่มุกก็หยดลงมาเสียแล้ว ภาพสายฝนที่หยดลงบนดอกหลีบนใบหน้าของหญิงยาม ช่างทำให้คนที่ได้เห็นอดใจหวิวขึ้นไม่ได้ น่าเสียดายที่คนที่นั่งอยู่ทั้งสองมิใช่คนทั่วไปเหล่านั้น

 

 

เยี่ยหลีนึกคันขึ้นที่ลำคอ เอ่ยพูดขึ้นว่า “ไป๋กุ้ยเฟย ที่ท่านอ๋องของพวกเราอยากถาม ก็คือตัวท่าน ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

 

“ข้า…ข้าแอบหนีออกมา” ซูจุ้ยเตี๋ยรีบเหลือบมองม่อซิวเหยา ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มแดงขึ้นทันที “ข้ารู้ว่าซีหลิงกับต้าฉู่เปิดศึกกัน และรู้ว่าซิวเหยาจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไร…ข้าก็เป็นคนของต้าฉู่ ข้ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว หากข้าถูกจับตัวกลับไป ฝ่าบาทและเจิ้นหนานอ๋อง จะต้องไม่ปล่อยข้าไปแน่…ซิวเหยา…ข้าขอร้อง ท่านอย่าได้ไล่ข้าไปเลย…”

 

 

เยี่ยหลีกรอกตาขึ้นฟ้าเงียบๆ เข้าใจแล้ว ซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้คิดอยากทำให้นางดูเป็นตัวตลกอย่างนั้นสิ

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ในเมื่อซูจุ้ยเตี๋ยชอบล้อเล่นนัก ก็เล่นไปกับนางเสียหน่อยเป็นไร “ไป๋กุ้ยเฟย คุณชายหมิงเย่ว์อยู่ที่ซีหลิงใช่หรือไม่”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบมองนาง เดิมทีนางไม่คิดอยากจะตอบ แต่เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาเองก็มองมาที่ตนเช่นกัน จึงทำได้เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ามิได้พบหน้าคุณชายหานนานแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “จะว่าไป…หานหมิงเย่ว์เป็นผู้ทรยศแผ่นดินไปเข้ากับศัตรู มีโทษถึงตาย แต่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไป ข้ากับท่านอ๋องจึงยังหาตัวเขาไม่พบเสียที ไม่รู้ว่าไป๋กุ้ยเฟยสามารถเชิญเขากลับมาต้าฉู่ได้หรือไม่”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยขมวดคิ้วมองเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด ข้าไม่ได้พบเขานานแล้ว เป็นความจริงนะ ซิวเหยา ข้ามิได้หลอกท่าน”

 

 

ม่อซิวเหยามิได้มีท่าทีเช่นไรกับคำพูดนางแม้แต่น้อย

 

 

เยี่ยหลียิ้มกว้างเอ่ยว่า “ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงไป๋กุ้ยเฟยอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าคุณชายหานจะไม่ยอมมาที่นี่ ท่านอ๋อง ท่านว่าจริงหรือไม่เพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “อาหลีกล่าวได้ถูกต้องมากทีเดียว ข้ามีบัญชีที่ต้องคิดกับหานหมิงเย่ว์อยู่พอดี เรื่องไป๋กุ้ยเฟยให้เป็นหน้าที่ของอาหลีก็แล้วกัน”

 

 

เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ดูจะทำร้ายจิตใจซูจุ้ยเตี๋ยอย่างมาก นางจับหน้าอกมองม่อซิวเหยาด้วยสายตาตัดพ้อ “ซิวเหยา…ที่แท้ท่านก็ยังโกรธข้าอยู่ ท่านอยากหลอกใช้ข้าจับตัวคุณชายหาน”

 

 

เยี่ยหลีก้มลงชื่นชมนิ้วเรียวของตน พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะกับซูจุ้ยเตี๋ยว่า “ไป๋กุ้ยเฟยที่มานี่มิได้มาเพื่อขอให้ท่านอ๋องของพวกเราอภัยหรือ”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า

 

 

เยี่ยหลีตีมือด้วยความยินดี “ดีจริง ขอเพียงไป๋กุ้ยเฟยช่วยให้พวกเราจับตัวคุณชายหมิงเย่ว์ได้ ท่านอ๋องของพวกเราจะต้องเชื่อในความจริงใจของไป๋กุ้ยเฟยเป็นแน่ ท่านอ๋อง ท่านว่าใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยแววตาอบอุ่น เอ่ยเสียงเบาว่า “อาหลีเอ่ยถูกต้องแล้ว”

 

 

ท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้ของม่อซิวเหยายิ่งทำให้ซูจุ้ยเตี๋ยรู้สึกรับไม่ได้ มองทั้งสองคนด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง ซูจุ้ยเตี๋ยถึงกับพูดไม่ออกขึ้นมาในบัดดล

 

 

เยี่ยหลีก็ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นก็ถือว่าไป๋กุ้ยเฟยรับปากแล้ว ดีจริงเชียว ถ้าเช่นนั้น ไป๋กุ้ยเฟยก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด อยู่ในเมืองซิ่นหยางนี้ ข้ารับรองว่าไม่ว่าจะเป็นคนของฮ่องเต้ซีหลิงหรือเจิ้นหนานอ๋อง ก็จะเข้าไม่ถึงตัวกุ้ยเฟยแม้แต่ปลายผม” แน่นอนว่า เรื่องที่จะส่งข่าวกลับไปนั้นก็อย่าได้หวังเลย

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยนิ่งอึ้งไปเพียงชั่วอึดใจ แล้วเรื่องนี้ก็จบลงด้วยเสียงกลั้วหัวเราะของเยี่ยหลี จนทำให้นางมิอาจบอกปัดไปได้เสียแล้ว

 

 

เมื่อเป็นไปตามที่นางตั้งเป้าไว้แล้ว เยี่ยหลีก็เรียกคนให้เข้ามาพาตัวซูจุ้ยเตี๋ยไปพักผ่อนอย่างอารมณ์ดี ทั้งยังได้เอ่ยกำชับให้คนคอยดูแลความปลอดภัยของซูจุ้ยเตี๋ยให้ดีอีกด้วย

 

 

เมื่อเห็นซูจุ้ยเตี๋ยเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่ยินดีแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีก็ค่อยๆ จางลง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจิ้นหนานอ๋องหมายความเช่นใดกัน”

 

 

บางทีซูจุ้ยเตี๋ยอาจเล่นละครเก่งจริง แต่ไม่มีทางหลอกม่อซิวเหยาที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนางไปได้ หากคิดอยากส่งคนแทรกซึมเข้ามาเป็นสายสืบในเมืองซิ่นหยางแล้ว อย่างไรซูจุ้ยเตี๋ยก็ดูจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม เยี่ยหลีย่อมมีวิธีการเป็นร้อยวิธีที่จะทำให้นางมิอาจส่งข่าวออกไปให้ผู้ใดได้เลยแม้สักครึ่งคำ

 

 

ม่อซิวเหยาก็หน้าขรึมลงไปเช่นกัน “เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงไม่มีทางใช้วิธีการที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่เกิดประโยชน์เช่นนี้เป็นแน่ อาหลี สั่งให้คนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของค่ายใหญ่แคว้นซีหลิงไว้ให้ดี”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ท่านกำลังจะบอกว่า ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นเพียงหมากที่ส่งมาเบี่ยงเบนความสนใจของท่านกับข้า แต่เจิ้นหนานอ๋องมีเป้าหมายอื่นอย่างนั้นหรือเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า หากคิดอยากสืบข่าว เจิ้นหนานอ๋องไม่มีทางเลือกซูจุ้ยเตี๋ย นางเป็นที่สะดุดตาเกินไป หรือหากคิดส่งซูจุ้ยเตี๋ยมาเพื่อใช้เล่ห์หญิงงาม ก็จะไม่เป็นเพียงลูกไม้ตื้นๆ เกินไปหรือ

 

 

“ข้ารู้แล้ว ข้าจะส่งคนไปคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของค่ายใหญ่ซีหลิงและเจิ้นหนานอ๋องไว้”