แม่น้ำที่อยู่ตรงข้ามป่าเล็กๆ อันเงียบสงบ เมื่อเทียบกับการรวมตัวตกปลาจับกุ้งอย่างเพลิดเพลินของเหล่าจวิ้นอ๋อง[1]แล้วก็นับว่าวังเวงไม่น้อยทีเดียว เป็นเสมือนโลกเล็กๆ ซึ่งลี้ลับไร้ผู้คน
แสงระเรื่อของดวงอาทิตย์ยามสายันต์ดุจทองหลอมละลายที่สาดส่องด้านบนป่า จนเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามแวววาวอลังการ ทว่ามันกลับนำมาซึ่งความสงบ มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วกลับรังดังมาเป็นระยะๆ บางครั้งก็ลอดผ่านกิ่งยอดไม้ เป็นการก่อกวนความสงบสุขอยู่บ้างเล็กน้อย
หย่งจยาไม่ทันได้ย่างกรายเข้าใกล้ ก็เหลือบเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ริมน้ำ
ชายที่รูปร่างราวต้นไผ่ต้นสนเขียวขจี ให้อารมณ์ดุจภูผาสีครามที่สันโดษ สวมใส่เสื้อคลุมต้าฉ่างขนจิ้งจอกขาวที่เย็บปักถลายห้ากรงเล็บ กำลังนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ โดยมีไม้เท้าสีชาดพาดเอียงอยู่ด้านข้าง
คนหนึ่งที่แสนสงบนิ่ง แม้ไม่มีแม่น้ำที่แสนคึกคักนั่นกลับไม่จืดชืดเงียบเหงาแต่อย่างใด และบัดนี้สิ่งรอบข้างได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งงดงามตระการตาตามแบบธรรมชาติ
จิตใจของนางสั่นไหว แก้มร้อนวูบ นางไม่เคยมองเขาเป็นพี่ชายในตระกูล เดิมทีไม่…ครั้งแรกที่เห็นเขา เขาก็เป็นชายที่ตนรักแล้ว โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งเขาในภายหน้า รูปร่างหน้าตา จิตใจ และท่าทางของเขาในตอนนี้
หย่งจยาแอบโบกมือเป็นสัญญาณให้เฉี่ยวเย่ว์รอที่นี่ จะได้ไม่รบกวน ตอนที่ตนเดินเข้าไปริมน้ำ
เฉี่ยวเย่ว์ค้อมตัวรับคำสั่ง ถอยไปยังทางเข้าป่า ให้ท่านหญิงของตนเดินไป หารู้ไม่ว่าเจ้านายร่างเล็กที่เดินผ่านตนไปนั้น จะซ่อนตัวอยู่หลังหินก้อนใหญ่แล้ว
ซย่าโหวซื่อถิงเพิ่งเปลี่ยนผ้าพันแผลสำหรับวันนี้ในรถเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน และตามคำแนะนำหมอกำชับไว้ เขาต้องเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อย การปิดแผลเอาไว้นานจะไม่ดี เขาจึงลงจากรถมาเดินสักสองสามก้าว แล้วไล่ซือเหยาอันไป
ที่ริมแม่น้ำ เหล่าพี่น้องต่างมารดาทั้งหลายกำลังรวมกลุ่มกันตกปลา ช่างน่าหนวกหูยิ่ง ส่วนด้านนี้แสนเงียบสงบ ซย่าโหวซื่อถิงที่พักมาครู่หนึ่ง ตอนนี้ดูท่าจะใกล้ครบชั่วยามแล้ว จังหวะที่เตรียมใช้ไม้เท้าสีชาดพยุงตัวขึ้นนั้น เสียงหญิงสาวที่เล็กแหลมก็ดังขึ้น เอ่ยถามอย่างที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่า “ท่านพี่ฉินอ๋องอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?”
ซย่าโหวซื่อถิงคิ้วขมวด องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้ายิ่งขับราศีวีรบุรุษขึ้นไปอีก “หย่งจย่า เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” เขาเลิกคิ้วขึ้น มองหย่งจยาที่ใจเต้นราวกับกวางน้อยก็ยิ่งถอนหายใจนึกเสียดาย รูปร่างหน้าตางดงามตามฉบับราชวงศ์ต้าเซวียน แต่จะมีสักกี่คนที่ทัดเทียมเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอำนาจและอิทธิพลที่สูงเสียดฟ้าในอนาคต ชายหนุ่มเช่นนี้ หากหย่งจยาปล่อยให้หลุดมือไป เช่นนั้นก็โง่น่ะสิ!
“อืม” หย่งจยาทำเสียงอ้ำอึ้งพลางเดินเข้าไป เหมือนทุกครั้งที่พบชายผู้นี้ จะเลือกปอยผมที่ปรกหน้าผาก ที่ราวกับหน่อไม้ที่อ่อนนุ่มพันเกลียวกันไปมาระหว่างนิ้ว เสมือนว่าดูไม่ใส่ใจใดๆ หญิงสาวเผยเสน่ห์ที่น่ารักไร้เดียงสาอย่างเต็มที่ “หย่งจยาเห็นรถม้าจอดอยู่ จึงไปดูว่าอาการบาดเจ็บท่านพี่ดีขึ้นหรือไม่ แต่กลับไม่เห็นคน ได้ยินแค่ใต้เท้าซือพูดว่าท่านพี่ไปเดินเตร่คนเดียว หย่งจยารู้ว่าท่านพี่ชอบสถานที่ที่สงบเงียบ จึงตั้งใจมาหา ไม่คิดว่าจะเจอท่านอยู่ที่นี่อย่างที่คิดเอาไว้จริงด้วย”
“อืม เช่นนั้นก็ควรกลับได้แล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงยืดหลังตรง หย่งจยายื่นมือหยิบไม้เท้าที่พิงอยู่ข้างหินให้เขา พลางจับแขนเขา ประคองอย่างแนบแน่น
“หย่งจยา” ร่างชายหนุ่มหยุดชั่วขณะ ขมวดคิ้วว่า “ไม่เข้าท่าเสียเลย ปล่อย”
หย่งจยายิ้มกริ่ม แหงนศีรษะ “ก็ขาท่านพี่ฉินอ๋องเดินไม่สะดวกนี่ หย่งจยาผู้เป็นน้องสาวก็มาช่วยประคอง ใครจะไปนินทากันรึ? ยิ่งไปกว่านั้น หย่งจยาแค่จะช่วยพาท่านไปที่ทางออกป่า หลังจากนั้นก็ค่อยเรียกเกี้ยวให้พาท่านพี่ฉินอ๋องรีบขึ้นรถม้าไป ไม่ต้องกังวล จะไม่มีใครเห็นแน่”
“ปล่อย ขาของอ๋องผู้นี้มิได้พิการ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วย ยิ่งไม่ต้องการเกี้ยว เจ้าอายุก็มิใช่น้อยแล้ว อีกสักสองปี เกรงว่าเสด็จพ่อคงชี้แนะให้เจ้าออกเรือน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก จะทำให้ชื่อเสียงเจ้าไม่ดีเอาได้” เสียงชายหนุ่มไม่ชอบใจนัก ซ้ำยังกลับเก็บโทสะไว้อีก
หย่งจยาเห็นเขาไม่รับน้ำใจไว้ แทนที่จะตำหนิตนเอง กลับเชิดริมฝีปากแดงขึ้นอย่างไม่พอใจ “หย่งจยาจะประคองท่านพี่ก็ไม่ได้ ครานั้นท่านพี่ฉินอ๋องกลับให้คุณหนูอวิ๋นช่วยปลดเสื้อคลุมได้ การแบ่งแยกบุรุษสตรีของท่านพี่ฉินอ๋อง แต่ละคนไม่เท่ากัน[2]สิท่า? ไม่ยุติธรรมเลย
นี่…นี่ยังมีเหตุผลอยู่จริงๆ หรือ? กล้ามเนื้อใบหน้าซย่าโหวซื่อถิงกระตุก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ
หย่งจยาเห็นเขายอมรับโดยปริยาย ในใจยิ่งหงุดหงิด ขนตางอนกระพริบปริบๆ และดวงตาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอก “ท่านพี่ฉินอ๋องอยากจะแต่งงานกับคุณหนูสกุลอวิ๋นจริงๆ หรือ? เซวียนเซวียนต้องการพี่สะใภ้มากกว่านี้จริงหรือ?”
น้องหญิงผู้นี้ สนิทกับตนตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนนี้แค่พอหอมปากหอมคอก็จะหยุด รู้หลักทำนองคลองธรรมดี ทุกวันนี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง เรียกร้องความสนใจยิ่งกว่าเดิม
ซย่าโหวซื่อถิงจับมือนางเอาไว้ ดึงแขนของตนกลับมาไว้ข้างกาย ด้วยสีหน้าแม่นมั่น “หย่งจยา”
หย่งจยาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด โอบแขนชายที่สูงชะลูดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยราวกับเด็กที่น้อยใจ กลิ่นลมหายใจที่ประหนึ่งดอกกล้วยไม้ และสายตาจับจ้องมาที่ชายหนุ่ม “ท่านพี่ยังจำปีนั้นที่พวกเราได้เจอกันครั้งแรกที่วัดเซียงกั๋วได้หรือไม่? ที่ข้าติดตามไทเฮาเข้าไปในวัด จุดธูป แล้ววิ่งเข้ามาเล่นภายในวัดคนเดียว วิ่งจนมาเล่นสวนเล็กๆ หลังวัด แต่ไม่ทันระวังจนเจองูเขียวตัวหนึ่งเข้า ตอนที่ข้าเห็นมันแลบลิ้น ข้าตกใจจนขยับตัวไม่ได้ โชคดีที่เจอท่านพี่ฉินอ๋อง ท่านได้ช่วยหย่งจยาไว้ โดยที่ไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆ พุ่งเข้ามาช่วยข้าโดยขว้างเจ้างูเขียวนั้นออกไปฟาดกับหิน เพราะกังวลว่าข้าจะกลัว จึงคว้างูเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา ความใส่ใจและมีเมตตานั้น หย่งจยาบันทึกไว้ในใจเสมอมา หย่งจยามิใช่คนที่ไม่คิดตอบแทนบุญคุณ ท่านพี่ฉินอ๋องทำเพื่อหย่งจยาแล้ว กระทั่งชีวิตก็ไม่คำนึงถึง บัดนี้ถึงแก่เวลาแล้ว ตั้งแต่นี้ไปท่านพี่ฉินอ๋องคือคนที่หย่งจยาสนิทมากที่สุด ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่ได้ ไม่ว่าท่านพี่จะประสบทุกข์เช่นไร หย่งจยาจะดูแลอย่างเต็มที่ แต่ แต่เหตุใดกัน ในตอนนี้ท่านพี่ฉินอ๋องกลับไม่ใส่ใจหย่งจยาอย่างแต่ก่อนแล้ว”
——
[1] จวิ้นอ๋อง เป็นยศรองจากตำแหน่งชินอ๋องหนึ่งขั้น ผู้ที่จะได้รับการอวยยศเป็นชินอ๋องต้องเป็นพระราชโอรส พระเชษฐาหรือพระอนุชาขององค์จักรพรรดิ ดังนั้นจวิ้นอ๋องจึงมักเป็นทายาทของชินอ๋องซึ่งนับเป็นพระนัดดาขององค์จักรพรรดิ
[2] แต่ละคนไม่เท่ากัน เปรียบว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีความแตกต่าง