ปีนั้นก็ผ่านนานมากแล้ว ซย่าโหวซื่อถิงฟังนางกลับจำไม่ได้ เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงปีนั้นตนยังไม่ทันจะสิบขวบ ยังพักอาศัยอยู่ที่วัดเซียงกั๋ว ตำหนักหยาฝูยังไม่ได้ถูกสร้างเขาจึงอาศัยอยู่กับเณรน้อยคนอื่นๆ ในเรือนเซียงฝาง[1]ในสวนด้านหลัง ทุกวันภายในวัดจะกินเจสวดมนต์ ตักน้ำทำไร่ และกินยาเพื่อควบคุมอาการบาดเจ็บจากพิษอยู่เสมอ ปฏิบัติแต่ละวันอย่างใสสะอาดตามเฉกเช่นสามเณร ยามบ่ายวันหนึ่ง เขาออกจากที่พักไปรดน้ำที่แปลงผักในสวนของวัด พบเข้ากับเด็กสาวที่แต่งตัวอย่างสง่าประณีตกำลังถูกงูตัวหนึ่งจ้องเขม็ง งูตัวนั้นพบเห็นมนุษย์ ก็ชูคอขึ้นมา จับจ้องไปที่เด็กสาว พลางแลบลิ้น คาดว่าเด็กสาวคงตกใจมาก จนไม่กล้าแม้จะขยับตัว
เขาจำได้ว่าขณะนั้นตนไม่ได้คิดอะไร วางถังน้ำและขันในมือลง พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าไป คว้าจับงูเขียวยาวเจ็ดชุ่น[2]ไว้แน่น หลังจากนั้นก็เกิดเสียงตีดัง ‘ตุบ’ ขึ้นที่ข้างโขดหิน เขาตีงูตัวนั้นจนสิ้นใจ ในใจดีใจยิ่งยวด…โอสถอสรพิษของเดือนนี้ หาได้แล้ว!
ตอนนั้น เหยากวงเย่าเคยสอนให้เขาใช้เขี้ยวงูไม่มีพิษมาดูดพิษซึ่งเป็นวิธีบรรเทาอาการเจ็บปวด
แต่ที่ใดกันจะมีงูมากมายขนาดนั้น งูทุกตัวหลังจากที่ถูกใช้งาน ภายในร่างก็จะมีพิษอยู่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้อีก ทุกตัวใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นการหางูเมื่อใดก็ได้ก็กลายเป็นภารกิจประจำวันของเขาไป
เมื่อได้พบเข้าตัวหนึ่ง แน่นอนว่าเขากำลังรีบร้อนกับการจับงูอยู่นั่นเอง…
คงไม่ต้องคาดเดา น้องหญิงผู้นี้กลับคิดว่าเขาช่วยนางไว้อย่างไม่คิดชีวิต ตั้งแต่นั้นมาก็ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก จนจารึกไว้ในใจ
ซย่าโหวซื่อถิงขบขันเล็กน้อย กลับไอเบาๆ ขึ้นสองครา เอ่ยด้วยใจที่สงบเสงี่ยม “จะดูแลอ๋องอย่างข้ารึ? แม่หนูไร้เดียงสาอย่างเจ้า จะมาดูแลอ๋องผู้นี้อย่างนั้นรึ?”
แม่หนูหรือ? ท่านหญิงหย่งจยาเกลียดที่ตัดเปลือกนอกนี้ออกไม่ได้ ที่มีภาพลักษณ์เช่นนี้ ต่อให้บุรุษผู้นี้มองตน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแม่หนูที่ไร้เดียงสา จึงเปรยขึ้นว่า “หย่งจยารู้ว่าความทะเยอทะยานและความสามารของท่านพี่ฉินอ๋อง ไม่แพ้องค์ชายองค์อื่นๆ ทว่าขาดโอกาสในการแสดงความสามารถ สายเลือดฝั่งมารดาก็เป็นอุปสรรค ฉินอ๋องมีตำแหน่ง ส่วนหย่งจยามีฮ่องเต้ที่รักและทะนุถนอม ฉินอ๋องอยู่นอกวัง หย่งจยาอยู่ในวัง หากฉินอ๋องต้องการความช่วยเหลือ หย่งจยาก็สามารถช่วยฉินอ๋องจากภายในได้ ช่วยให้ฉินอ๋องบรรลุปรารถนาได้ นี่เป็นสิ่งที่หญิงอื่นจะไม่มีทางทำได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าหญิงสาวที่เข้าใจแต่การแต่งหน้าแต่งตัวในวังหรือคุณหนูที่เอาแต่ดูแลดอกไม้ปลูกสมุนไพร”
เจิ้งเฟย[3]ของฉินอ๋องไม่ว่าจะเป็นใคร เวลานี้ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เหตุผลนี้แม้แต่หย่งจยาก็เข้าใจดี หากว่าเจ้าคนขี้อายขี้ขลาดเบาปัญญา ที่ง่ายต่อการจัดการ เหตุใดจึงได้จงใจทำตัวออกนอกลู่นอกทางเช่นนั้นเล่า สายตาเขาเห็นยัยอวิ๋นในกระดูกของตนได้รึ?
เมื่อคิดเช่นนี้ คงไม่สู้เรียกท่านอวี้โหรวจวงมาดีกว่า
เมื่อกล่าวถึงความคิดของเขา ในลำดับขั้นตอนปัจจุบันนี้ ก็ทำได้แค่เพียงซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดนั้น ทว่านางก็ไม่อาจอยู่เฉยได้เช่นกัน ต้องพิสูจน์ว่าตนดีกว่าว่าที่ชายาเอกในอนาคตของเขาเป็นร้อยเท่าให้ได้
หย่งจยาม้วนผมที่อยู่ข้างแก้ม
คำว่า ‘หญิงอื่น’ นี้เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำเป็นพิเศษ ในประโยคสุดท้ายยังทำท่าทางเหมือนกำลังคิดว่า ตัวอวิ๋นจิ่นจ้งที่ได้ยินมาตลอด นี่ไม่ใช่ว่ากำลังบอกว่าพี่สาวเป็นใครกันรึ?
หลังพุ่มไม้ อวิ๋นจิ่นจ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ อายุเขายังน้อย ก็พูดไม่ถูกว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ถูกต้องตรงไหน เพียงแค่รู้สึกว่าท่านหญิงผู้นั้นไม่ควรชิดใกล้ฉินอ๋อง ปากที่โสมมไม่ควรเอ่ยถึงพี่สาวด้วยซ้ำ รู้เพียงฉินอ๋องอาจเป็นว่าที่พี่เขยในอนาคต หญิงสาวอื่นอย่าได้คิดเพ้อฝัน
อวิ๋นจิ่นจ้งยิ่งหายใจเข้าออกอย่างไม่มีสาเหตุ ศีรษะร้อนขึ้น เก็บเศษหินขึ้นมา แล้วขว้างไปยังเป้าหมายหมายที่อยู่เบื้องหน้า
เกิดเสียง ‘ฟิ้ว’ จากหินที่ลอยแหวกอากาศเข้าไป ปานภาพนางฟ้าโปรยดอกไม้[4] และแล้วก็ขว้างไปโดนตัวหย่งจยาเข้า
“โอ๊ยยย” หย่งจยาร้องด้วยความเจ็บที่ถูกปาใส่ กรีดร้องขึ้น แล้วจนชักมือกลับมา โมโหเป็นอย่างมาก มองไปทั่วรอบด้าน ต้องมีคนแอบฟังอยู่ข้างๆ แน่นอน!
สายตาซย่าโหวซื่อถิงมืดหม่น ตะเบ็งเสียงขึ้นทันใด “ใครกัน?”
เฉี่ยวเย่ว์ที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไป หิ้วคอเสื้ออวิ๋นจิ่นจ้งที่คว้าได้เข้าไปด้วย แล้วนำตัวอวิ๋นจิ่นจ้งมาไว้ข้างหน้า “ฝ่าบาท ท่านหญิง เป็นเจ้าเด็กนี้เพคะ”
หย่งจยารู้ว่าเด็กน้อยที่หน้าตาจิ้มลิ้มเป็นน้องชายของอวิ๋นหว่านชิ่น สีหน้าจึงเครียดขึ้ง มาทำอะไรนี่กันนะ ส่งน้องชายมาสืบข่าวตัวเองรึอย่างไร? ทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน จึงตำหนิโทษว่า “แอบฟังผู้สูงศักดิ์อยู่มุมกำแพงหรือ? แล้วยังแอบลอบโจมตีอีก? ชีวิตมันน่าหงุดหงิดอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ว่าเป็นลูกชายตระกูลใดกัน จึงไม่เคยถูกอบรมสั่งสอนจากทางบ้านเช่นนี้!”
ใบหน้าเล็กงดงามของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ไม่แม้จะตอบท่านหญิงหย่งจยา ทำได้แค่สลัดจากเงื้อมมือเฉี่ยวเย่ว์ที่จับตนไว้แน่น “อย่ามาดึงนะ บุรุษและสตรีมิควรอยู่ใกล้ชิดกันไม่เข้าใจรึ? เหตุใดต้องเกาะเกี่ยวแขนเสื้อคนอื่นอย่างสนิทชิดเชื้อกันเล่า ก็ยังไม่เห็นผู้อื่นจะเต็มใจให้เจ้าโอบด้วยซ้ำ!”
สีหน้าเฉี่ยวเย่ว์เกิดความละอายขึ้น หย่งจยากลับเข้าใจดี นี่กำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว[5]นี่ ก็เหมือนกับพี่สาวของเขาเสียนี่กระไร เรียกคนที่ไม่มีเวลามาสบายใจแต่กลับร้ายกาจจนน่าหวั่นเกรง! จนหาข้อผิดพลาดของอวิ๋นหว่านชิ่นไม่เจอ สายตาผลุบต่ำไปที่น้องชายของนางที่ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ หรือแค่ยังไม่เจอ? จึงหัวเราะขึ้นอย่างดูแคลน น้ำเสียงหย่งจยาที่เยียบเย็น มองฉินอ๋องที่ยืนเงียบ พลางสัมผัสแขนเนียนที่ถูกหินปาใส่จนเจ็บ “เฉี่ยวเย่ว์ ส่งตัวคุณชายน้อยที่แสนกะล่อนไปที่กองกิจการภายใน! ดูสิทำร้ายพระราชวงศ์จะมีโทษเช่นไรกัน!”
“เพคะ ท่านหญิง” เฉี่ยวเย่ว์จึงดึงแขนอวิ๋นจิ่นจ้งอีกครั้ง ลากไปได้สองก้าว ซย่าโหวซื่อถิงที่เงียบมาชั่วครู่กลับหันศีรษะไป เอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่ล้ำลึกสงบนิ่ง “ทำร้ายพระราชวงศ์อย่างนั้นรึ? โทษนี้ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก”
——
[1] เรือนเซียงฝาง เป็นอาคารที่อยู่ด้านทิศตะวัตกและทิศตะวันออกของเรือนสี่ประสาน
[2] ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว
[3] เจิ้งเฟย หรือหวังเฟย (王妃) เป็นตำแหน่งที่เคยไว้ใช้เรียกชายาเอกของอ๋อง
[4] นางฟ้าโปรยดอกไม้ เป็นภาพสิริมงคลของนางฟ้าจะแสดงออกในลักษณะของเทพธิดาผู้งดงาม กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางหมู่มวลเมฆ และร่ายรำพร้อมทั้งโปรยดอกไม้จากฟากฟ้าลงมาสู่แดนดิน นับเป็นภาพแห่งความงดงามที่ติดตาตรึงใจกับชาวจีนมานานแสนนาน
[5] ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว อุปมาว่าทำเป็นด่าคนนี้ แต่ความจริงคือด่าคนนั้น ซึ่งตรงกับสำนวนไทย ‘ตีวัวกระทบคราด’