ตอนที่ 121-3 ความรู้สึกต้องห้าม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

หย่งจยารู้ดีว่าเขาที่ต้องการจะปกป้องเจ้าเด็กสกุลอวิ๋นนั่น การที่จะสู้กับเขานั้นไม่ง่ายเลย จึงทำเสียงฮึดฮัดในจมูก “ท่านพี่ มือของหย่งจยาถูกเขาปาหินใส่นะ ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นแผลด้วยหรือไม่”

 

 

“เจ้ายกมือขึ้นสิ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

 

 

หย่งจยาที่ยังไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ชายหนุ่มก็ดึงแขนของนางออกมาอย่างง่ายดาย ลองหมุนกลางอากาศดูหนึ่งรอบ แล้วเอ่ยด้วยโทนเสียงที่เย็นชา “แขนเสื้อก็ไม่ได้ขาด ข้อต่อก็ปกติดี โครงกระดูกล้วนสมบูรณ์ เวลาจับก็ไม่เห็นเจ้าจะร้องเจ็บอะไร ตรงไหนที่เจ็บกันละ?” แล้วสายตาก็เพ่งเล็งไปที่ร่างอวิ๋นจิ่นจ้ง พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่หล่อเหลาที่หากมีก็เหมือนไม่มี “ยังไม่มาอีก มาประคองอ๋องผู้นี้กลับไปที่รถ”

 

 

เข้าตรงประเด็น ไม่มีการยืดเยื้อแม้แต่น้อย พูดเสียจนหย่งจยาหายใจติดขัดที่อก แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะโต้แย้งที่ตรงไหนได้

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งใช่จะไม่รู้ความ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าฉินอ๋องกำลังแก้ไขสถานการณ์ให้ตนอยู่ เสียงรับคำสั่งดังขึ้น เครื่องพันธนาการของเฉี่ยวเย่ว์ก็อันตรธานไปทันที จึงรีบวิ่งไปที่ด้านหน้าฉินอ๋อง แล้วใช้มือหนึ่งประคับประคองอย่างดี

 

 

ซว่าโหวซื่อถิงใช้มือข้างหนึ่งถือไม้เท้าอีกข้างประคองเด็กที่อายุต่ำกว่าตนสองปี เดินไปได้สองก้าว ก็พลันหันศีรษะ ด้านหน้าปรากฎรอยยิ้มที่มีชีวิตชีวาบางๆ “หย่งจยาที่เพิ่งเสนอ…”

 

 

ชั่วขณะหนึ่งท่านหญิงหย่งจยาราวกับถูกคนฉีดยาเข้าที่หัวใจให้แข็งแกร่ง ร่างอันบอบบาง ประกายตาคู่เต้นระยิบ “ท่านพี่ฉินอ๋อง”

 

 

“เลือกสกุลอื่นเถิด พี่ไม่เคยคิดจริงๆ ว่าเจ้าจะมีความทะเยอทะยานมากมายเช่นนั้น มีจิตใจที่กระหายอำนาจ แน่นอนย่อมเป็นเรื่องดี ทว่าก็จะเหนื่อยเช่นกัน อ๋องผู้นี้ร่างกายไม่แข็งแรง รับไม่ไหวต่อความเหน็ดเหนื่อยนี้ อย่างที่เจ้ากล่าวไว้คนประเภท ‘เอาแต่แต่งหน้าแต่งตัว หรือเอาแต่ดูแลดอกไม้ปลูกสมุนไพร’ ช่างเหมาะสมอ๋องอย่างข้าเสียจริง”

 

 

น้ำเสียงเนือยๆ กลับเยือกเย็นราวคมมีดเหล็ก แต่ละคำไพเราะและทรงพลัง ที่สามารถเฉือนเนื้อกระดูกคนได้

 

 

คำพูดเหล่านั้นทำเอาหย่งจยาร่วงหล่นสู่พื้นโลก นางตกใจเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าเขาจะปฏิเสธตัวเองขนาดนี้

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งจึงหันศีรษะกลับไป แล้วทำหน้าทะเล้น พร้อมกับแลบลิ้นใส่

 

 

คนหนึ่งตัวใหญ่คนหนึ่งตัวเล็ก คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยทั้งสองเดินออกมาจากป่า ซือเหยาอันที่เห็นองค์ชายสามไม่กลับมาเสียที จึงเดินตามหา จนพบทั้งสองอยู่ด้วยกัน รู้สึกแปลกใจนัก แล้วรีบเดินเข้าไปหา อวิ๋นจิ่นจ้งมองเขาที่เดินติดตามมา เป็นคนที่ไปด้วยกันในวันเริ่มต้นฤดูหนาวคืนนั้นก็ปล่อยมือ พลางกระซิบว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ยังเสแสร้งอยู่อีก ซ้ำพูดอะไรเกี่ยวกับข้าราชบริพารที่วังหลวงอีกนะ หลอกเด็กเก่งเป็นมือหนึ่ง ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเคยหลอกพี่สาวข้า…”

 

 

“ใจกล้านัก คุณชายอวิ๋นพูดอะไรกับท่านอ๋อง?” แม้ซือเหยาอันจะรู้ว่าองค์ชายสามไม่อาจมองคาดโทษต่อหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นได้ ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังต้องตำหนิเสียหน่อย ด้วยน้ำเสียงที่ขอไปที อ่อนปวกเปียก และอืดอาด ราวกับกลัวว่าเสียงขู่จะไปขัดใจว่าที่น้องชายท่านอ๋องในอนาคต ซย่าโหวซื่อถิงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองเขา ช่วงที่ไม่มีใครเห็นซือเหยาอันเองก็ดื้อดึงมากไป

 

 

“เรื่องข้าราชบริพารที่วังหลวงเจ้าน่ะคาดเดาไปเอง” ซย่าโหวซื่อถิงชี้แจงอย่างสงบนิ่ง ด้วยสีหน้าที่ไม่มีความอัปยศอดสูแต่อย่างใด “ข้าแค่บอกว่าตนเองดูแลงานทั่วไปในราชวงศ์เท่านั้นเอง”

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งที่ไม่มีเวลามาอ้อมค้อมกับเขา จึงวางมาดขรึม พร้อมกับตัดไม้ข่มนาม “ข้าราชบริพารก็ดี หรือนายท่านในวังหลวงก็ช่าง ข้าล้วนไม่เกี่ยวข้อง ข้ารู้เพียงว่าคิดอยากเป็นพี่เขยนายน้อยอวิ๋นอย่างข้าก็ต้องปฏิบัติต่อพี่สาวข้าอย่างดี มิเช่นนั้น” เขาหยุดพูดชั่วขณะ ก่อนที่ถอยหลังไปสิบก้าว อยู่ห่างสมควร ไม่สำคัญว่าฉินอ๋องจะเจ็บขาอยู่หรือไม่ ทว่าผู้ติดตามข้างกายเขากลับแข็งแกร่งยิ่ง “มิเช่นนั้นนายน้อยอย่างข้าจะไปป่วนวังหลวงเจ้าจนแม้แต่สุนัขไก่ก็อยู่ไม่เป็นสุข[1]! ฮึ! พี่สาวข้าก็มีน้องชายและครอบครัวคอยหนุนหลังนะ!”

 

 

ซือเหยาอันที่กำลังจะเข้าไปดึงหูของเขา ก็กลับโดนองค์ชายสามตวาดกลับมา

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองอวิ๋นจิ่นจ้งวิ่งแจ้นไป ก็ขบคิดคำพูดของเจ้าเด็กนี้อีกรอบ พลันรู้สึกหวานล้ำขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สักพักจึงเลิกคิ้วว่า “ไปกันเถอะ”

 

 

ทางด้านอวิ๋นหว่านชิ่นที่ถูกเจิ้งหวาชิวขัดขวางไม่ให้ออกไปเพ่นพ่าน ทำได้เพียงงัดด้านข้างรถม้า แล้วมองดูทิวทัศน์ด้านนอก ตอนที่กำลังมองทิวทัศน์บางอย่างพลันผิดแปลกไป ร่างใหญ่ร่างเล็กปรากฎในขอบเขตสายตา จึงเพ่งพินิจดู ดูไม่ผิด นั่นมิใช่น้องชายที่กำลังพยุงอีกคนอยู่รึ เลยมองยังที่คนนั้นที่ถูกรับขึ้นรถม้าไป แล้วเรียกเจิ้งหวาชิวให้พาน้องชายมาหา ขมวดคิ้วว่า “ไปไหนกัน”

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งก็ไม่ได้ปิดบัง พร้อมกับอธิบายเรื่องที่ติดตามท่านหญิงหย่งจยาอย่างละเอียดไม่มีหมกเม็ด เขาก็ยังมัวห่วงแต่เล่น เมื่อต้องร่ำเรียน มันสมองเขาก็จัดว่าดี โดยเฉพาะเรื่องการจำนับว่าร้ายกาจยิ่ง เวลาที่ถ่ายทอดเรื่องราว ไม่มีตกแม้แต่ตัวเดียว พูดได้อย่างสมจริงสมจังยิ่ง

 

 

ราวมีอะไรมาสั่นสะท้านในใจอวิ๋นหว่านชิ่น รู้สึกเพียงหลายวันที่คาดเดาไปนั้น ในที่สุดทุกสิ่งก็กระจ่าง

 

 

ก็ว่ารู้สึกแปลกๆ ที่สนามม้าสวินหลาน ล่าสัตว์วสันตฤดูปีนี้คนได้ถึงมาอย่างคุ้มคลั่งกัน พากันเบียดเสียด ปีก่อนๆ ก็ไม่ได้มากัน แต่นี่กลับมาทั้งหมด

 

 

เป็นเช่นนี้นี่เอง

 

 

จะบังเอิญอะไรเยี่ยงนี้? ท่านหญิงหย่งจยานั่นก็รีบมาหาฉินอ๋อง

 

 

ท่านหญิงหย่งจยา ไม่ใช่บุตรสาวของลี่หยางอ๋อง และเป็นหลานสาวของฮ่องเต้! ชะตาลิขิตเช่นนี้คงยากต่อการห้ามความรู้สึกที่มันผุดขึ้นมา หรือจะเรียกว่าเจ้าคน…น่ารังเกียจ ใต้หล้านี้ไม่มีชายหนุ่มหรือไร? ถึงได้มามองแค่พี่ชายตัวเอง มันคุ้มค่ารึ? ได้ฟังสิ่งที่น้องชายเล่ามาก็ยิ่งกระจ่างชัดเจน ท่านหญิงหย่งจยาเตรียมพร้อมในเรื่องต่อสู้อย่างหาญกล้า[2] ณ จุดนี้ ยังต้องพะเน้าพะนอท่านลุงอย่างจักรพรรดิหนิงซีนั่น ที่ลุ่มหลงข้าราชบริพารในห้องพระชายา และยังใจกล้าเอาลูกสาวคนรักเก่าเข้าวังอีก!

 

 

มิน่าเล่าจักรพรรดิหนิงซีถึงได้เอ็นดูท่านหญิงหย่งจยา ที่แท้ก็เห็นดีเห็นงามช่วยกันปกป้องนี่เอง ทั้งลุงทั้งหลานชอบเล่นกับความรักต้องห้าม

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคิ้วขมวด ทันใดนั้นเองในหัวก็มีความคิดบางอย่างขึ้น นึกถึงเรื่องที่จุดแวะพักหลินรั่วหนาน…ถ้าเวลาเที่ยงคืนมีคนเข้ามาปล่อยงู เดิมทีก็คิดว่าจะเป็นอันตรายต่อตนเอง ทว่าหลังจากที่พลาดท่า มือสังหารยัดเยียดของโจรใส่ร้ายในกระเป๋าของอวี้โหรวจวงแทน…ไม่ว่าจะใส่ร้ายอย่างไรที่ร้ายคือสตรีที่ฉินอ๋องมีเอี่ยวด้วยต่างหาก

 

 

เช่นนั้นแล้ว จะเป็นใครได้อีกเล่า!

 

 

ใจนางกระจ่างแจ้งดี เพียงแต่เสียดายที่ไม่มีหลักฐาน ต้องอาศัยการคาดเดาของตน

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] สุนัขไก่ก็อยู่ไม่เป็นสุข เปรียบว่า ก่อกวนหรือรบกวนทำให้เดือดร้อนเป็นอย่างมาก

 

 

[2] สู้อย่างหาญกล้า หรือแปลตรงตัวว่าคนข้างหน้าล้มลงไปคนข้างหลังก็กระโจนเข้าต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย เป็นการเปรียบว่าสู้เข้าใส่อย่างกล้าหาญไม่กลัวการเสียสละ