ตอนที่ 121-4 ความรู้สึกต้องห้าม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“พี่หญิง” อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นพี่สาวที่กำลังครุ่นคิด ไม่พูดอยู่นาน ดูนางไม่เป็นสุข จึงยิ้มพลางปลอบโยน “ท่านวางใจได้ ข้าว่าพี่เขยฉินอ๋องก็ยังไม่นับว่าเกเรเกตุง! ก่อนที่จะไปก็ทำเอาท่านหญิงที่ไร้สาระเหมือนตดหมา[1]นั่นโกรธจนแทบคางเหลือง…” พูดจบ ก็เล่าเรื่องที่ฉินอ๋องพูดกับท่านหญิงหย่งจย่าอีกรอบ

 

 

พี่สาวน้องชายที่กำลังพูดคุย เสียงของอวิ๋นจิ่นจ้งก็ค่อยๆ ลดต่ำลง แล้วใช้แววตาบอกเป็นนัย “พี่หญิง…”

 

 

หลังจากที่ท่านหญิงหย่งจยาออกมา ก็เหลือบเห็นเจ้าเด็กเวรสกุลอวิ๋นกำลังกระซิบกระซาบกับอวิ๋นหว่านชิ่น จึงย่างกรายไปอย่างหน่วงหนืด หันศีรษะทันที แล้วเดินเอ้อระเหยเข้าไปหา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเผยสายตาที่ใสบริสุทธิ์ บอกให้น้องชายกลับไปที่รถก่อน แล้วเอนกายอยู่บนหน้าต่าง แสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์

 

 

“คุณหนูอวิ๋น” เมื่อเฉียวเย่ว์เห็นคุณหนูสกุลอวิ๋นไม่ลงจากรถ ก็ขมวดคิ้ว จะทะนงตัวมาจากไหนกัน จึงกล่าวซ้ำอีกรอบ “ท่านหญิงมาแล้ว”

 

 

ลงจากรถรึ? ทักทายหรือ?

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเผยลักยิ้มน่ามอง “ท่านป้าเจิ้งเตือนไว้ สถานะของข้าช่วงนี้ ไม่สามารถปรากฎตัวในวงสังคมเฉกเช่นเมื่อก่อนได้ ท่านหญิงหย่งจยา” แล้วเอ่ยอย่างอ่อนนุ่มว่า “เชิญทำตัวตามสบาย”

 

 

ทำตัวตามสบายหรือ? หย่งจยากำหมัดแน่น ชาตินี้ ไม่เคยมีใครพูดเช่นนี้กับตนมาก่อน ยัยอวิ๋นนี้ ยังไม่ทันได้เป็นชายาอ๋องอย่างทางการ ก็ทำตัวเย่อหยิ่งเสียแล้ว! ก็เป็นความจริง ท่านพี่รับหน้าที่อันมากมายขนาดนั้น แล้วมอบผลึกจินเฝ่ยให้แก่นางด้วยความยินดี ซึ่งก็เพื่อเป็นการบอกนัยว่านางเป็นชายา มอบให้สมเกียรติหน้านาง ให้นางได้หน้าได้ตา สุดท้ายยังมีให้ฮองเฮาและท่านลุงประทานพรแก่การแต่งงานด้วยตนเอง หากเป็นตน ก็ต้องเดินเข้าไปขวางเสีย!

 

 

ยัยอวิ๋น สวรรค์ทรงเอ็นดูนักนะ!

 

 

เฉี่ยวเย่ว์หัวเราะอย่างเยียบเย็น “แม้คุณหนูอวิ๋นจะมีสถานะคำสั่งแต่งงานจากฮ่องเต้ ทว่าตอนนี้ก็ยังมิใช่พระชายามิใช่รึ? ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท่านหญิงมาหา เจ้าก็เป็นถึงลูกขุนนาง การต้อนรับก็เป็นกฎพื้นฐาน คุณหนูอวิ๋นเป็นเยี่ยงนี้ ในภายภาคหน้าต้องเป็นพระชายาตามแบบสตรีที่ควรพึงมีกิริยามารยาทก็มิใช่หรือ?

 

 

“ข้าไม่เข้าใจตรงสตรีควรพึงมีกิริยามารยาท” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ลดละรอยยิ้ม พลางลูบแก้มที่ขาวดุจหิมะ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายอกสบายใจ “แต่รู้ว่าอะไรคือศีลธรรมความสัมพันธ์อันเป็นสัจธรรม[2] ละเว้นซึ่งความสัมพันธ์อันเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คิดเพ้อฝันกับพี่ชายในตระกูลตัวเองนี่สิ ไม่น่าใช่มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานต่างหาก”

 

 

“เจ้า…” เฉี่ยวเย่ว์กริ้วสุดขีด ว่ากล่าวคนโดยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ก็ไม่อาจรับมาได้ ไม่งั้นคงเป็นการรับสารภาพออกมาเอง! ท่านหญิงหย่งจยาเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน แต่กลับยังสงบเยือกเย็น

 

 

หย่งจยารีบทำสีหน้าอ่อนโยน แล้วไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ “คุณหนูอวิ๋นไม่ใช่ว่าเข้าใจข้าผิดอะไรหรือไม่? นายน้อยอวิ๋นอายุยังน้อย มีเวลาก็ดูแลบ้างบ้าง ถ่ายทอดคำพูดก็ยังไม่ชัดเจน หย่งจยามีความรู้สึกท่านพี่น่ะไม่ผิด ย่อมมีช่วงที่ใกล้ชิดกันเล็กน้อยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก” แล้วยิ้มกว้าง เผยใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง “คุณหนูอวิ๋นอย่าได้เข้าใจผิด”

 

 

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่น่ามีอะไรกันอยู่แล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้มอย่างมั่นใจ “สถานะและความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่มีทางเลยเถิดได้ตลอดกาล ท่านหญิง ก็เป็นแค่ท่านหญิงตลอดกาล ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้พิเศษแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าข้าเพิ่งจะพูดไปรึ ศีลธรรมความสัมพันธ์อันเป็นสัจธรรม นี่เป็นขอบเขตพื้นฐานที่สุดที่ทำให้เป็นมนุษย์ ซึ่งข้าเข้าใจดี”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาถึงกับกัดฟันกรอด ปั้นยิ้ม ฟันเสียดสีกันทั้งบนล่าง แล้วสะบัดชายเสื้อจากไป

 

 

 

 

 

ในระหว่างที่ขบวนล่าสัตว์วสันต์ฤดูเดินทางมาถึงเมืองหลวง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ลากน้องชายไปด้วย โดยเปลี่ยนเป็นรถม้าสีแดงหลังคาสีทอง ที่ถูกส่งมากลับมาจากตำหนัก ในบัดดลฟ้าก็มืดเสียแล้ว ทว่าในจวนจุดไฟตะเกียงจนสว่างไสวราวกลางวัน

 

 

ที่ขั้นบันไดประตูจวน นอกจากม่อไคไหลจะนำคนรับใช้ในจวนที่ถือโคมไฟ แม้แต่อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ประคองถงซื่อ[3] ซึ่งตามด้วยเหลียนเหนียง[4] อนุฟาง คุณหนูสี่และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังรอมาได้สักพักใหญ่แล้ว

 

 

เจิ้งหวาชิวลงจากรถมาก่อน แล้วเปิดม่านออก ต้อนรับต่อพี่น้องสกุลอวิ๋น

 

 

ถงซื่อที่รอคอยก็มองหญิงสาวที่สุขุมหนักแน่น ท่าทางที่ไม่ธรรมดา ก็รู้เลยว่าเป็นนางในจากในวังหลวง หลานสาวผู้นี้ ต้องเป็นคนของพระชายาแน่นอน

 

 

ถงซื่อดีใจจนเกิดรอยเ**่ยวย่น ลงบันไดไปจับมือหลานสาว เหลียนเหนียงก็เข้าไปกับเหล่าไท่ไท่เช่นกัน ไปยืนอยู่ข้างๆ ฟังเหล่าไท่ไท่ที่ถามสารทุกข์สุขดิบ คุณหนูสี่ น้องเม่าและพี่จู้ต่างก็เข้าไปร่วมด้วย ซ้อนทับกันอย่างชิดใกล้

 

 

ม่อไคไหลได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเมี่ยวเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมองออก จึงเอ่ยว่า “พ่อบ้านม่อวางใจได้ เมี่ยวเอ๋อร์เปลี่ยนรถที่ประตูเมืองแล้ว ถูกข้าหลวงพาเข้าวังไปแล้ว ตอนนี้กลัวแค่ว่าที่พักได้รับราชโอการให้ไปเป็นคนรับใช้นางสนม พระองค์สัญญาไว้ว่า รอจนถึงแก่เวลา ให้สะสมประสบการณ์ จึงเป็นผู้สูงศักดิ์ได้ นับตั้งแต่นี้ไป ความมั่งคั่งร่ำรวยและยศศักดิ์ก็จะไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ผ่านวันเวลาที่ยากลำบากอีกแล้ว และไม่หวาดกลัวอีก ให้มักคิดว่ามีคนพานางไปส่งแล้ว” ยามที่พูด ก็แอบชำเลืองท่านพ่อที่อยู่บนบันได

 

 

ม่อไคไหลที่ได้ฟัง ก็วางใจได้แล้ว พร้อมเผยใบหน้าที่ดูปลื้มปีติ

 

 

แม้อวิ๋นเสวียนฉั่งจะได้ยินเรื่องชะตาของเมี่ยวเอ๋อร์มาก่อนแล้ว ทว่าก็โดนสายตาจากลูกสาว สีหน้ายังคงละอายใจ ไหนเลยจะนึกถึงชีวิตภรรยาสาวที่บ้านนอกนั่นอีก!

 

 

มีเพียงอนุฟางที่ซื่อบื้อ ไม่มีการตอบสนอง ที่คิดลูกสาวตนออกเรือนแล้วจะได้ดีที่สุด ไม่ต้องคาดเดาว่าผู้นี้ก็จะร่วมเป็นเจ้าสาวของราชวงศ์อย่างชอบธรรม! อีกทั้งตอนนี้เว่ยอ๋องก็แสนอันตราย ทำเอาจนถงเอ๋อร์เสียหน้า เกรงว่าถ้ายังมีเอี่ยวด้วยอยู่ ก็จะยิ่งน่ารังเกียจ!

 

 

ทว่า…ได้ยินมาว่ามารดาของฉินอ๋องเป็นคนชนเผ่าทางเหนือ ร่างกายเขาจึงไม่ค่อยดี พยายามอดกลั้นในตำหนักตลอดทั้งวัน ภาระหน้าที่ก็คงเป็นหน้าที่เล็กน้อยในสำนักพระราชวัง กลับใช่ว่าจะดีนักหนา!

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ อนุฟางก็บุ้ยปาก มองดูแล้ว ถงเอ๋อร์ของตนก็ใช่ว่าจะแย่กว่าอวิ๋นหว่านชิ่น สุดท้าย…ก็ยังสามารถสู้สักตั้งได้นี่!

 

 

มีสองสามคนเข้าจวนแล้ว เมื่อถึงห้องโถงใหญ่ ทักทายกันสองสามประโยค ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ถงซื่อก็ไปส่งเจิ้งหวาชิวออกเรือนกลับวังด้วยตนเอง และยังมอบของกำนัลเล็กน้อย เหลียนเหนียงก็ติดตามเหล่าไท่ไท่ออกไปส่งแขกด้วย

 

 

ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นก็เรียกคนให้พาน้องชายกลับห้องไปพักผ่อน แล้วจิบชาร้อนสองสามอึก ซึ่งกำจัดความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คิดว่าอวี้โหรวจวงคงถึงเมืองหลวงนานแล้ว จึงเปิดปากถามถึงสถานการณ์ช่วงนี้ของอวี้โหรวจวง หลังจากได้ฟังก็ตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเครียดขึ้งมาทันที

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ตดหมา ใช้เปรียบเทียบกับคำพูดที่ไร้สาระเชื่อถือ เอาความอะไรไม่ได้

 

 

[2] ความสัมพันธ์อันเป็นสัจธรรม มาจากแนวคิดของเมิ่งจื่อ ซึ่งหมายถึง มีความรักกันระหว่างพ่อแม่ลูก มีความภักดีระหว่างกษัตริย์ขุนนาง มีความแตกต่างระหว่างสามีภรรยา มีลำดับความสำคัญระหว่างผู้อาวุโสผู้เยาว์ และมีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างมิตรสหาย

 

 

[3] ซื่อ ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ซื่อ(แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายด้วยนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุด เพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี

 

 

[4] เหนียง ใช้เป็นคำต่อท้ายเรียกชื่อหญิงที่มีอายุมากกว่าด้วยความเคารพ